ทั้งร่างมันสั่นระริก ดวงตาเปี่ยมด้วยความเกลียดชังผสานโศกเศร้า น้ำตาก็หลั่งไหลไม่หยุด หลี่เฉิงเฟิงเดินไปยังพวกโจรที่ยังมีชีวิตอยู่ เห็นดังนั้นไป๋หยุนเฟยก็ไม่ได้ห้ามปราม เพียงหยิบหนามธารน้ำแข็งสีครามจากข้างศพหัวหน้าหอแซ่จงเดินเข้าหมู่บ้านไป
เสียงร้องโหยหวนดังจากด้านหลังครั้งแล้วครั้งเล่า มันถอนหายใจเบาๆแต่ก็ไม่ได้หันไปมอง
เหล่าชาวบ้านวุ่นวายกับการกำจัดศพของพวกโจรอยู่ทั้งวัน อาวุธและเงินทองถูกยึดเอาไว้ ที่เหลือล้วนถูกฝังรวมกันในหลุมศพ เนื่องเพราะมีพวกโจรล้มตายไปมากมายชาวบ้านจึงไม่อาจทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้ มิเช่นนั้นอาจกลายเป็หายนะของหมู่บ้านได้
พวกโจรตายไปทั้งสิ้นสามสิบหกศพ แม้แต่โจรที่ไป๋หยุนเฟยจับตัวมาก็ถูกฆ่าหลังจากถูกสอบปากคำ หากปล่อยให้มีคนเล็ดรอดไปได้ย่อมนำมาซึ่งหายนะอย่างใหญ่หลวง
เช่นเดียวกับม้า หากขายทั้งหมดในคราเดียวย่อมเกิดคำถามเพราะถูกสังเกตพบโดยง่าย ดังนั้นพวกมันจึงเก็บม้าเอาไว้ที่หลังเขาค่อยๆทยอยขายออกไป
หลังประสบเหตุการณ์ครานี้ชาวบ้านล้วนรู้สึกว่าพวกมันโชคดีที่รอดพ้นหายนะได้ ไป๋หยุนเฟยและหลี่เฉิงเฟิงก็กลายเป็วีรบุรุษของหมู่บ้านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่เฉิงเฟิง นอกจากดูคลุ้มคลั่งไปบ้างยามเผชิญหน้าพวกโจร ตัวมันเองเป็คนจิตใจดีงามและสัตย์ซื่อยิ่ง หลิงเอ๋อร์ก็ติดตามอยู่ข้างกายคอยทำแผลให้มันอย่างระมัดระวัง
… … … …
วันต่อมา ก่อนรุ่งสางไป๋หยุนเฟยลืมตาขึ้นช้าๆหลังจากผนึกมือในรูปแบบที่แปลกพิสดาร มันนั่งขัดสมาธิฝึกปรือฝีมือมาทั้งคืน เมื่อเหยียดเอวบิดี้เีทั้งร่างก็ส่งเสียงกระดูกลั่นไม่หยุด ไป๋หยุนเฟยถึงกับครางเบาๆอย่างสุขสบาย
มันยกมือขวาขึ้นกำหมัดตรงหน้า รอยยิ้มยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ปัจเจกิญญาระดับต้น... ข้าได้รับประโยชน์จากการต่อสู้เมื่อวานไม่น้อย... การใช้กระบวนการอัพเกรดนับเป็หนทางลัดที่จะเพิ่มพูนพลังิญญาได้ แต่ยังคงจำเป็ต้องฝึกหาประสบการณ์ในการต่อสู้จริง หากข้า้าเป็ผู้เข้มแข็งยังต้องผ่านหนทางอีกยาวไกลนัก!”
หลังจากบรรลุด่านปัจเจกิญญาแล้ว สิ่งแรกที่มันกระทำคือนำม้วนเคล็ดวิชาออกมาฝึกฝนการควบคุมโลหิตและกระดูกของด่านปัจเจกิญญา เนิ่นนานจึงวางม้วนคัมภีร์ลงและก้มหน้ากล่าวอย่างครุ่นคิด “การควบคุมโลหิตและกระดูกช่างซับซ้อนและยากเย็นกว่าการควบคุมิัและกล้ามเนื้อมากนัก... ข้าเพียงเรียนรู้ได้ทีละน้อยจากการเข้าสมาธิฝึกปรือ ต่อไปก็...”
ด้วยการเพ่งจิตสิ่งของหลากหลายในแหวนช่องมิติก็ปรากฏในความคิดมัน พลังิญญาของมันััม้วนคัมภีร์สองม้วนที่ก่อนนี้ไม่อาจนำออกมาได้ ยามนี้ความรู้สึกของไป๋หยุนเฟยกระจ่างชัดกว่าเดิม จึงรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพลังิญญาของมันถูกพลังจากคัมภีร์ม้วนหนึ่งผลักดันอย่างนุ่มนวลขณะที่พยายามจะเข้าไปัั จึงไม่อาจส่งพลังิญญาเข้าไปใกล้ได้ กับคัมภีร์อีกม้วนยามที่พลังิญญาของมันััถูกก็หายวับมาปรากฏในมือของไป๋หยุนเฟย
เมื่อมองม้วนคัมภีร์สีขาวในมือ ไป๋หยุนเฟยก็ตื่นเต้นไม่น้อย มันถ่ายเทพลังิญญาเข้าไปอย่างเร่งรีบ
“‘วิชาระลอกคลื่น’ เป็เคล็ดิญญาชั้นมนุษย์ระดับกลาง ใช้วิธีอันพิสดารควบคุมการปะทุและยืดขยายกล้ามเนื้อและกระดูกแขน ส่งพลังหมัดออกราวระลอกคลื่น ปลดปล่อยพลังมากกว่าการออกหมัดทั่วไปหลายเท่า...” หลังจากรับทราบเนื้อหาของคัมภีร์แล้ว ไป๋หยุนเฟยเรียบเรียงทำความเข้าใจอย่างละเอียดอยู่ชั่วครู่ “เคล็ดิญญานี้... ข้าต้องควบคุมทั้งกล้ามเนื้อและกระดูกในคราเดียวกัน มิน่าจึงสามารถฝึกได้เมื่อบรรลุด่านปัจเจกิญญา เช่นนั้นก็หมายความว่า อย่างน้อยข้าต้องบรรลุด่านวีรชนิญญาจึงจะใช้งานคัมภีร์ม้วนสุดท้ายได้ ในนั้นจะมีเคล็ดิญญาอีกหรือไม่?”
“อีกทั้งนอกจากวิชาระลอกคลื่นยังมีวิชาทวน นี่หมายความว่า...” ยามนี้ไป๋หยุนเฟยมีสีหน้ายินดีอีกครา พลังิญญาของมันกวาดผ่านภายในแหวนช่องมิติแล้วทวนสีชาดก็ปรากฏอยู่ในมือ
ไป๋หยุนเฟยรู้สึกหนักอึ้งจนข้อมือมันแทบพลิก “ทวนนี้... ช่างหนักอึ้ง อย่างน้อยต้องหนักกว่าร้อยชั่ง คนทั่วไปจะกวัดแกว่งมันยังยาก อย่าว่าแต่จะใช้ต่อสู้ มิน่าเล่าต้องเป็ผู้บรรลุด่านปัจเจกิญญาเช่นข้าจึงจะใช้ได้”
หอกนี้ยาวหนึ่งวากับสองเชียะ ค่อนข้างหยาบหนา เป็สีแดงชาดั้แ่หัวจรดท้าย ทั้งยังแผ่ความร้อนออกมาจางๆอีกด้วย บริเวณคอทวนฝังไว้ด้วยผลึกกลมสีแดงโปร่งแสงจำนวนสามลูก
ไป๋หยุนเฟยวาดทวนอย่างชื่นชม ก็รู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่แผ่ออกมา มันแทบอดใจไม่ไหวออกไปทดลองกวัดแกว่งดูสักครา
ทันใดราวกับมันนึกบางอย่างออก ไป๋หยุนเฟยจับจ้องไปยังทวนในมือและเพ่งความคิด
“ระดับไอเทม: สมบัติตกทอดระดับต่ำ”
“พลังโจมตี: 586”
“สิ่งจำเป็ในการอัพเกรด: แต้มิญญา 85 แต้ม”
ไป๋หยุนเฟยตาถลนอ้าปากค้างอยู่เนิ่นนานจึงสั่นศีรษะโดยแรง หลังจากตรวจสอบข้อมูลของทวนอีกคราก็พึมพำ ตะกุกตะกัก “มะ... มารดาของเรา! พลังโจมตีห้าร้อยแปดสิบหก นี่... นี่มันบ้าอะไร?”
ผ่านไปเนิ่นนานสุดท้ายมันจึงสงบใจได้ “สมบัติตกทอดระดับต่ำ? ข้ากลับไม่เคยพบเห็นระดับสิ่งของเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งการอัพเกรดคราแรกยังใช้แต้มิญญาถึงแปดสิบห้าแต้ม นี่เท่ากับที่ใช้อัพเกรดมีดสั้นจนถึงระดับ +10 ทีเดียว”
“ใช่แล้ว...” ไป๋หยุนเฟยวางทวนลงบนตักแล้วพลิกข้อมือ อาวุธที่ได้มาจากหัวหน้าหอแซ่จงนั้นก็ปรากฏในมือ นับว่าตรงข้ามกับทวนยาวอย่างชัดเจน อาวุธนี้เย็นเฉียบราวน้ำแข็งและแผ่กระแสอากาศเย็นะเืออกมาเล็กน้อย คำว่า ‘หนามธารน้ำแข็ง’ ที่ปรากฏเหนือด้ามจับ สมควรเป็ชื่อของอาวุธนี้
“ระดับไอเทม: หายากระดับต่ำ”
“พลังโจมตี: 237”
“สิ่งจำเป็ในการอัพเกรด: แต้มิญญา 63 แต้ม”
ไป๋หยุนเฟยงงงันวูบ “หายากระดับต่ำ? เป็ระดับสิ่งของที่ข้าไม่เคยเห็นอีก ดูเหมือนความเข้าใจต่อกระบวนการอัพเกรดของข้ายังคงห่างไกลจากความถูกต้องนัก...”
“อาวุธทั้งคู่นี้เห็นได้ชัดว่าระดับแตกต่างจากที่ข้าซื้อหาจากข้างถนน หรือเพราะเป็อาวุธสำหรับผู้ฝึกปรือิญญา? ไม่ถูกต้อง อาวุธที่ทรงพลังเช่นนี้ไม่สมควรมีแพร่หลาย เดิมทีหัวหน้าหอแซ่จงนั้นก็ใช้เพียงดาบใหญ่ธรรมดาเช่นกัน...”
“ไม่ทราบว่าหากอัพเกรดแล้วจะเป็เช่นไร...”
เมื่อติดสินใจได้ก็ดำเนินการทันที ก่อนอื่นมันเก็บทวนเอาไว้ หากให้เลือกจะอัพเกรด หนามธารน้ำแข็งนี้นับเป็ทางเลือกที่เหมาะสม เพราะสูญเสียพลังิญญาที่ใช้อัพเกรดน้อยกว่า
ผ่านไปครู่ใหญ่ไป๋หยุนเฟยฝืนยิ้มที่มุมปากมองดูหนามธารน้ำแข็งในมือ “แต้มิญญาที่ต้องใช้อัพเกรดกลับไม่เพิ่มขึ้น ยังคงใช้หกสิบสามแต้มอยู่ตลอด แต่ทว่า... ยังคงไม่เพียงพออีก!”
“ระดับไอเทม: หายากระดับต่ำ”
“ระดับการอัพเกรด: +8”
“พลังโจมตี: 237”
“พลังโจมตีเพิ่มเติม: 89”
“สิ่งจำเป็ในการอัพเกรด: แต้มิญญา 63 แต้ม”
แม้ว่ามันจะโชคดีเป็พิเศษที่อัพเกรดไม่ผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว แต่หลังจากอัพเกรดครั้งที่แปด ไป๋หยุนเฟยก็รู้สึกว่าพลังิญญามันใช้ไปแทบหมดสิ้น ยามนี้แม้มันบรรลุระดับต้นด่านปัจเจกิญญา แต่เป็ไปได้ว่าพลังิญญาของมันจะมีปริมาณเพียงราวห้าร้อยแต้ม
ยามนี้ฟ้าสางแล้ว ไป๋หยุนเฟยก็ไม่ใส่ใจจะค้นคว้าอีก มันเริ่มนั่งเข้าสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังิญญา จนกระทั่งด้านนอกมีผู้มาเคาะประตูเชื้อเชิญไปรับประทานอาหารเช้า มันจึงลุกขึ้นและออกจากห้องไป...
… … … …
ยามที่ไป๋หยุนเฟยบอกกล่าวทุกคนว่าจะออกเดินทางไปยังภูไม้ดำ หลี่เฉิงเฟิงก็เงียบงันอยู่นาน แต่ทันใดมันก็พลันกล่าวว่า้าร่วมทางไปกับไป๋หยุนเฟย
ไป๋หยุนเฟยทราบว่าความเกลียดชังพวกโจรของมันกลับไม่ได้ลดทอนลงหลังจากฆ่าล้างหัวหน้าหอแซ่จงทั้งกลุ่ม กลับกันเนื่องเพราะมันที่ได้รับพลังมาก็ไม่ระงับความเคียดแค้นในใจอีก การได้เป็ผู้แข็งแกร่งและทำลายล้างพวกโจรที่ทำให้มันทุกข์ทนไม่จบสิ้นกลับเป็สิ่งที่มันปรารถนาอย่างแท้จริง
อันที่จริงไป๋หยุนเฟยก็เข้าใจความรู้สึกของหลี่เฉิงเฟิงได้ มันก็มิใช่อยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันหรอกหรือ...?
เดิมทีหลี่เฉิงเฟิงอาศัยอยู่ใกล้กับภูไม้ดำ ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับบริเวณโดยรอบ อีกทั้งยามนี้มันได้กลายเป็ผู้ฝึกปรือิญญาหาใช่ชาวบ้านอ่อนแออีกต่อไป การเดินทางสู่ภูไม้ดำครานี้ย่อมต้องอันตรายกว่าที่ไป๋หยุนเฟยเคยคาดการณ์ไว้ อันที่จริงก่อนหน้านี้มันไม่คาดคิดว่ากลุ่มโจรเหล่านี้จะชุมนุมไปด้วยผู้ฝึกปรือิญญาเช่นนี้
ดังนั้นหลังจากใคร่ครวญชั่วครู่ ไป๋หยุนเฟยก็ตกลงให้หลี่เฉิงเฟิงร่วมทางตามที่ขอ
… … … …
ขณะยืนที่หน้าหมู่บ้านมองไปยังูเาและป่าทึบซึ่งห่างออกไป แววตาไป๋หยุนเฟยเลื่อนลอยไม่อาจทราบได้ว่ามันครุ่นคิดอันใด พลันมีเสียงฝีเท้าแว่วมาปลุกมันจากภวังค์ จึงหันไปพบเห็นหลี่เฉิงเฟิงวิ่งมาเบื้องหน้าพร้อมห่อผ้าสะพายบนไหล่ด้วยท่าทีสำนึกผิด “จอมยุทธ์ไป๋ ขออภัยที่ให้ท่านรอคอย...”
ไป๋หยุนเฟยโบกมือด้วยท่าทีไม่ใส่ใจกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ไม่เป็ไร พวกเราร่วมต่อสู้เคียงข้างกันมา ฉะนั้นต่อไปเรียกข้าว่าหยุนเฟย เ้าปลอบขวัญหลิงเอ๋อร์แล้วหรือไม่? อย่าได้ทำให้นางเศร้าโศก...”
“ฮ่า ฮ่า... ดี เช่นนั้นต่อไปท่านต้องเรียกข้าว่าเฉิงเฟิงเช่นกันอย่าได้ห่างเหินไปนัก ข้าให้สัญญากับหลิงเอ๋อร์ว่าหลังกลับจากภูไม้ดำจะไปสู่ขอนางและดูแลนางไปตลอดชีวิต...” หลี่เฉิงเฟิงยิ้มอย่างเป็สุข มันหันกลับไปมองที่หมู่บ้านอีกคราและโบกมือให้แก่หญิงสาวซึ่งยืนจับจ้องมาจากอยู่หน้าบ้านตนเอง แล้วมันจึงหันหลังจากไปพร้อมไป๋หยุนเฟยและค่อยๆลับตาเข้าไปในป่า
ยามนี้เนื่องเพราะมีหลี่เฉิงเฟิงเป็ผู้นำทางและทั้งคู่มีฝีเท้าที่รวดเร็วจึงรีบเร่งเดินทาง เพียงสามวันพวกมันก็มาถึงละแวกใกล้ภูไม้ดำ ตามคำบอกของหลี่เฉิงเฟิงพื้นที่อิทธิพลของค่ายไม้ดำกล่าวได้ว่าเริ่มต้นจากที่นี้ พวกโจรในบริเวณนี้จะรวมกลุ่มวนเวียนออกชิงทรัพย์หมู่บ้านใกล้เคียงหรือออกปล้นชิงขบวนสินค้าที่เดินทางผ่าน
มีถนนสายหลักเชื่อมจากเมืองลั่วซีไปยังเมืองกานหลิงผ่านทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือไม่ไกลจากภูไม้ดำ เนื่องเพราะขบวนสินค้าระหว่างทั้งสองเมืองมักจะใช้เส้นทางนี้จึงกลายเป็เป้าหมายหลักของพวกโจร ทว่าพวกโจรไม่ได้ฆ่าผู้คนทุกคราไป ขอเพียงขบวนสินค้าส่งมอบ’ค่าผ่านทาง’ที่น่าพอใจให้ พวกมันจะปล่อยให้ผ่านไปโดยไร้อันตราย หาไม่แล้วพวกโจรจะฆ่าล้างขบวนสินค้าและปล้นสินค้าไปอย่างโเี้ แน่นอนว่ามีขบวนสินค้าที่สามารถผ่านไปได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางหากมีผู้คุ้มกันที่ผู้เข้มแข็งดังเช่น ผู้ฝึกปรือิญญา
ยามสนธยาภายในป่ากว้าง ได้ยินเสียงต่อสู้อย่างรุนแรงจากเงาร่างสองเงาเข้าต่อสู้พัวพันและปะทะชนกัน เสียงกำปั้นพวกมันปะทะกันช่างน่าหวาดเสียวนัก
ทว่าเห็นได้ชัดว่าสองคนที่ต่อสู้กันสาสมใจยิ่ง เหงื่อเม็ดโตไหลจากหน้าผากผ่านรอยยิ้มที่มุมปากพวกมัน ทั้งคู่ปล่อยหมัดขวาชกใส่ไหล่ซ้ายของฝ่ายตรงข้ามพร้อมกัน พวกมันทั้งคู่ก็ถอยกายไปหลายก้าวจึงหยุดยืนเผชิญหน้ากัน
พวกมันจะเป็ใครหากไม่ใช่ไป๋หยุนเฟยและหลี่เฉิงเฟิง
“วันนี้หยุดเพียงเท่านี้เถอะเฉิงเฟิง เ้านับว่าเชี่ยวชาญการควบคุมกล้ามเนื้ออย่างยิ่งแล้ว เ้าฉวยโอกาสปะทุพลังอย่างเหมาะเจาะ ข้าต้องขายหน้าที่ด้อยกว่าแล้ว” หลังจากบีบนวดไหล่ซ้ายเล็กน้อย ไป๋หยุนเฟยพลิกมือขวาก็ปรากฏถุงใส่น้ำสองถุงในมือ มันโยนให้แก่หลี่เฉิงเฟิงถุงหนึ่งจากนั้นเอนกายพิงต้นไม้ใหญ่แล้วดื่มน้ำหลายอึกใหญ่
หลี่เฉิงเฟิงนั่งลงบนพื้น ดื่มน้ำหลายอึกและสั่นศีรษะกล่าว “ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเ้า ที่เป็เช่นนั้นเพราะเ้ากดพลังเอาไว้ให้เท่ากับข้า หากเ้าใช้วิชาระลอกคลื่น เกรงว่าข้าไม่อาจต้านรับได้แม้แต่หมัดเดียว...”
“พลังิญญาเ้าตื่นขึ้นเต็มที่ไม่กี่วันก่อน แต่เ้าใกล้บรรลุระดับกลางด่านนวกะิญญาแล้ว ข้าไม่ทราบว่าผู้ฝึกปรือิญญาอื่นฝึกฝนได้เร็วเพียงใด แต่เ้ากลับฝึกได้รวดเร็วกว่าข้าเมื่อแรกเริ่มมากนัก ช่างน่าอนาถที่ข้าเคยคิดว่าตนเองพัฒนาได้รวดเร็ว”
“แยกกันฝึกต่อเถอะ ข้าต้องฝึกวิชาทวนเพิ่มเติมเพื่อสามารถรับมือการต่อสู้ในอนาคตอันใกล้ได้ จริงสิ เ้าไม่้าหนามธารน้ำแข็งนั้นจริงหรือ? นั่นเป็อาวุธที่ร้ายกาจกว่ามีดสั้นคู่นั้นมากนัก”
“ไม่จำเป็ มีดสั้นคู่นี้นับว่าดีมากแล้ว พวกมันไม่อ่อนด้อยแม้แต่น้อย ข้ายังรู้สึกละอายที่รับมาจากเ้าด้วยซ้ำ แล้วยังจะให้ข้ารับหนามธารน้ำแข็งอีกหรือ? มิหนำซ้ำข้าไม่คุ้นเคยกับอาวุธที่ใช้ทิ่มแทงเพียงอย่างเดียว” หลี่เฉิงเฟิงสั่นศีรษะและชักมีดสั้นทั้งคู่จากข้างเอวมาสะบัดควงอย่างคล่องแคล่ว
ไป๋หยุนเฟยก็ไม่กล่าวอันใดอีก มันเดินไปอีกด้านและยื่นมือออก ทวนสีแดงเพลิงยาวหนึ่งวาสองเชียะก็ปรากฏในมือและแผ่คลื่นความร้อนออกมารอบด้าน แม้แต่หลี่เฉิงเฟิงที่ห่างออกไปสิบห้าวายังรู้สึกได้ ยามมองทวนสีชาดในมือไป๋หยุนเฟยดวงตาหลี่เฉิงเฟิงก็ทอประกายชื่นชม
หลังจากหมุนควงทวนอย่างเรียบง่าย มันก็เริ่มฝึกฝนเคล็ดการใช้ทวน
กวาดขวาง ทะลวงตรง ตวัดขึ้น ฟาดลง... แม้ว่ามันเรียนรู้เพียงสามวัน แต่กระบวนท่ามันนับว่าสอดคล้องกลมกลืน อีกทั้งยิ่งมายิ่งรวดเร็ว ยามนี้ไป๋หยุนเฟยถูกปกคลุมด้วยเงาทวนพร่าเลือนนับไม่ถ้วน มองจากที่ห่างไกลดูราวกับลูกไฟ
ฉับพลันร่างมันหยุดเคลื่อนไหว เงาทวนมากมายก็สาบสูญไป มันะโเสียงค่อยพุ่งหอกไปยังต้นไม้ใหญ่ขนาดสองคนโอบเบื้องหน้า
ยามที่พุ่งออกทวนทั้งเล่มพลันเปล่งสีแดงน่าหลงใหล ผลึกทั้งสามที่คอทวนก็แดงเจิดจ้าดูราวกับห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีชาด
“ผัวะ!” ได้ยินเสียงดังแ่เบายามปลายทวนผ่านเนื้อไม้เข้าไปในอย่างง่ายดาย ขณะที่ทวนทะลวงเข้าสู่ต้นไม้ ดวงตาไป๋หยุนเฟยสาดประกายวูบ มันะโเสียงทุ้ม “ปะทุ!!”
“ปัง!!!”
เศษไม้ปลิวว่อนออกรอบด้าน แสงเจิดจ้าส่องผ่านรอยแตกบนต้นไม้ จากนั้นส่วนลำต้นพลันะเิออก คลื่นความร้อนที่ดุดันกว่าเดิมหลายเท่าแผ่กระจายออกทุกทิศทาง จากนั้นต้นไม้ใหญ่นี้ก็ล้มลงไปด้านหลัง ที่ลำต้นส่วนโคนถูกคว้านหายไป หลงเหลือไว้เพียงรอยตัดที่ถูกเผาไหม้เป็สีดำ...
