อารัมภบท
พุทธศักราช ๒๕๑๐
พระนคร
รถยนต์สีเข้มค่อย ๆ ขับเคลื่อนไปตามถนนด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก ทว่าเสียงจอแจและกระแสความวุ่นวายจากภายนอกก็สามารถปลุกคนที่นอนหลับอยู่บริเวณเบาะหลังให้ตื่นขึ้น เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ทั้งดวงตาที่ปรือปรอยลืมขึ้นมองเหตุการณ์นอกตัวรถ
“ใกล้ถึงแล้วครับคุณวัชร์”
“...”
คนขับรถเอ่ยรายงานอย่างรู้หน้าที่ ในขณะที่ผู้ฟังเริ่มมีใบหน้าไม่สบอารมณ์ในฉับพลัน วัชร์ หรือ วัชรินทร์ หลุบสายตาลงมองแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของตน ครั้นเมื่อนึกถึงคนที่สวมมันให้ตนในวันแต่งงานแล้วก็เริ่มหน้ามุ่ย นึกอยากจะให้คนขับรถเปลี่ยนเส้นทางไปที่อื่นเหลือเกิน
“พาฉันไปที่อื่น”
“คุณไท่เน้นย้ำเอาไว้ว่าห้ามออกนอกเส้นทางเป็อันขาดครับ”
ร่างขาวจิ๊ปากขัดใจ หุบพัดในมือแล้วตวัดสายตามองคู่สนทนาคล้ายจะเอาเื่ ทว่าฝ่ายนั้นก็ยังคงขับรถตรงดิ่งไปยังสถานที่เป้าหมายตามหน้าที่ ส่วนคนที่ทำอะไรไม่ได้ จึงทำได้เพียงส่งเสียงร้องฮึดฮัดในลำคออย่างขัดอกขัดใจเท่านั้น
วัชรินทร์ในวัยยี่สิบสี่ปี คิดว่าตัวเองกำลังมาถึงจุดที่ตกต่ำที่สุดในชีวิต...ั้แ่วันแรกที่ได้ออกมาลืมตาดูโลกก็ถูกพันธนาการไว้ด้วยคำทำนายแปลกประหลาดจากหมอดูที่ทั้งตระกูลให้ความเคารพและเชื่อถือ
‘บุตรคนนี้...หากเกิดเป็หญิง เมื่อเติบโตขึ้นจะรุ่งเรือง เป็เกียรติเป็ศรีให้แก่วงศ์ตระกูล...แต่หากเกิดเป็ชาย จะเป็ไอ้บุตรอัปรีย์ เมื่ออยู่ก็มีดวงดึงดูดให้พบเจอแต่เื่ฉิบหายทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น เมื่อตายก็ไม่มีใครจดจำ’
เพื่อแก้เคล็ด พลิกร้ายให้กลายเป็ดี พ่อและแม่ของเขาจึงตั้งชื่อให้ใกล้เคียงกับสตรีว่า ‘วัชรินทร์’ แม้แต่ทรงผมที่เกล้ามวยสูงแล้วปักปิ่นก็ยังเป็ผลมาจากคำทำนายดังกล่าวเช่นกัน...ถึงกระนั้น ตัวชายหนุ่มเองก็ยังไม่พ้นถูกมองเป็ลูกชังหลานชังของวงศ์ตระกูลอยู่ดี
่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกิดโรคระบาดประหลาดแพร่กระจายไปทั่วเชียงใหม่ พ่อและแม่ของเขาล้มป่วยด้วยโรคนี้อยู่นาน กระทั่งไม่กี่เดือนก่อนก็เสียชีวิตลงในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน งานศพถูกจัดขึ้นได้เพียงไม่กี่วันก็ต้องรีบเผา...เหล่าญาติมิตรล้วนพร้อมใจกันชี้นิ้วตราหน้า ว่าเป็เพราะคนดวงอัปรีย์อย่างวัชรินทร์แท้ ๆ เื่ราวบัดซบทุกอย่างจึงเกิดขึ้น
“เหอะ...”
ร่างขาวแค่นหัวเราะในลำคอ ปรายตามองเหล่าคนเมืองกรุงที่เดินสวนกันขวักไขว่ ตั้งใจค้าขาย แข่งกันชักชวนลูกค้าเข้าร้านจนเกิดเสียงดังเซ็งแซ่...พอสิ้นบุพการีไป ก็คล้ายกับเสาหลักใหญ่ที่ใช้พักพิงถูกหักโค่น นอกจากจะถูกคนในละแวกนั้นคอยขับไล่แล้ว สมาชิกคนอื่นในตระกูลก็ไม่ต้อนรับเขาเช่นกัน
‘สิ้นบุญพ่อแม่แล้วย่อมไม่มีใครดูแล ไปอยู่พระนคร ให้สามีที่มีอิทธิพลกว้างขวางคอยดูแลจะได้ปลอดภัย’
คิดหรือว่าวัชร์จะโง่เง่ารู้ไม่ทัน ถ้อยคำสวยหรูพวกนั้น ล้วนเป็ข้ออ้างหาเหตุผลเพื่อถีบหัวส่งเขาให้ไปอยู่ไกลหูไกลตาก็เท่านั้น...เขายืนกรานต่อต้านอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ทนการถูกขับไล่จากทุกทิศทางไม่ได้อยู่ดี สภาพไม่ต่างจากคนจนตรอกที่ต้องระเห็จมาซบคนอื่นเพื่อหาร่มเงาให้พักพิง
“ถึงแล้วครับ”
เพราะมัวแต่จมอยู่ในห้วงความคิดของตน จึงไม่ทันรู้ตัวว่าได้นั่งรถมาถึงที่หมายแล้ว พวกเขาหยุดอยู่ที่หน้ารั้วบ้านหลังใหญ่ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในซอกซอยลึกของชุมชนคนจีน แม้จะผ่านความวุ่นวายและเสียงเอ็ดตะโรมาตลอดเส้นทาง ทว่าที่บริเวณนี้กลับเงียบสงบ ไร้ซึ่งเงาของคนนอก ราวกับเป็พื้นที่หวงห้าม
เห็นชายหนุ่มในชุดสูทคนหนึ่งเดินออกมาตรวจสอบ เมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่เบาะหลังเป็ใครจึงยอมเปิดประตูรั้วให้แต่โดยดี...วัชรินทร์เพิ่งจะลงจากรถได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงเรียกรั้งกันเอาไว้เสียก่อน
“ทางนี้ครับคุณวัชร์”
“...”
“ต้องเข้าไปทำความเคารพเ้าของบ้านก่อน ”
ชายในชุดสูทคนดังกล่าวผายมือไปยังบ้านหลังใหญ่ที่แทบจะต้องเรียกว่าคฤหาสน์ พร้อมกับบอกเหตุผลที่ทำเอาผู้ฟังหน้าไม่สบอารมณ์...เขาไม่อยากเข้าไปเจอเลยสักนิด
เ้าของบ้านคือใครน่ะหรือ...ย่อมเป็เ้าของแหวนวงนี้ที่ประดับอยู่บนนิ้ว
ก็สามีของเขายังไงล่ะ
“คุณไท่มารออยู่ก่อนแล้วครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยพูดในระหว่างที่เดินนำทางกันไป ภายในห้องโถงใหญ่โตโอ่อ่าเสียจนน่าใ ไม่ว่าจะเป็ภายในหรือภายนอก ก็มีการออกแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมจีนและยุโรปออกมาได้อย่างลงตัว
ั้แ่ก้าวเท้าเข้ามาก็ได้ยินเสียงแอบกระซิบกระซาบไม่หยุด สายตานับหลายคู่จดจ้องไปยังร่างเพรียวที่ย่างเท้าเดินอ้อยอิ่ง ได้ยินเสียงกระพรวนข้อเท้าดังขึ้นในทุกจังหวะ กระนั้นดวงหน้างามกลับเชิดขึ้นอย่างทระนงอยู่ตลอด พลันทุกคนให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันทันที
ภรรยาของคุณไท่ที่เคยได้ยินแต่ชื่อมาตลอดหลายปี เพิ่งจะเคยได้เห็นตัวจริงก็วันนี้
...แต่คนงามผู้นี้ดูเย่อหยิ่งเหลือเกิน ใครหน้าไหนจะไปกล้าเข้าใกล้
เื่คำทำนายบ้าบอเกี่ยวกับดวงชะตาของวัชรินทร์ยังไม่จบเพียงเท่านั้น กล่าวกันว่าดวงชะตาของเขานั้นเหมือนคนดวงตกไร้วาสนา หากได้ตบแต่งกับคนที่เกิดปีั บารมีของฝ่ายนั้นจะเกื้อหนุนให้ดีขึ้น
ทั้งสองตระกูลที่ทั้งสนิทชิดเชื้อและมีพระคุณต่อกันมารุ่นต่อรุ่น จึงตัดสินใจดองญาติกัน โดยยกเหตุผลเื่คำทำนายขึ้นมา ไม่ไถ่ถามความสมัครใจเลยแม้แต่น้อย...ั้แ่จำความได้วัชร์ก็มีคู่หมั้นเป็ของตัวเองเสียแล้ว ครั้นเมื่ออายุได้ยี่สิบปี พิธีแต่งงานก็ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
...ทว่าเป็พิธีแต่งงานที่พวกเขาแทบจะไม่มองหน้ากันเลยด้วยซ้ำไป
“คุณวัชร์มาถึงแล้วครับคุณไท่”
ลูกน้องคนหนึ่งรายงาน พลันดวงตาเฉี่ยวคมหยุดลงที่ร่างสูงมากด้วยภูมิฐานในชุดเสื้อคอจีนสีดำ ปักลวดลายัทองวิจิตรและกางเกงขายาวเนื้อสบาย นั่งไขว่ห้างอ่านเอกสารฉบับหนึ่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางองอาจ บนโต๊ะขนาดเล็กข้างกายมีถ้วยชาวางอยู่หนึ่งจอก
ซูเหวิน ไท่ คือผู้นำคนปัจจุบันของกลุ่มหยางหลง (阳龍) ซึ่งเป็กลุ่มที่มีอิทธิพลครอบคลุมไปแทบทั่วทั้งฝั่งพระนคร มีธุรกิจมากมายทั้งยังขยายกิจการใหญ่โต นับวันยิ่งขยายฐานอำนาจและทรงอิทธิพล กระทั่งคนในพื้นที่เริ่มลือกันปากต่อปาก ว่าเ้าตัว คือ ‘เ้าพ่อนครบาล’ โดยไม่มีผิดเพี้ยน
ร่างสูงละสายตาจากกระดาษในมือ สายตาคมกริบเหลือบมองสมาชิกใหม่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลเพียงครู่เดียว ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉย ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดเป็พิเศษ ก่อนจะโบกมือไล่ลูกน้องที่กำลังคุยงานกับตนออกไป
“ไว้ค่อยคุยทีหลัง”
“ครับคุณไท่”
คล้อยหลังลูกน้องคนดังกล่าวไป บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ก็ตกอยู่ในความเงียบทันที บรรยากาศแสนน่าอึดอัด เมื่อสองสามี ภรรยาเอาแต่มองกันอยู่นาน ทว่ากลับไร้ซึ่งบทสนทนา ก่อนจะเป็ซูเหวินที่เริ่มตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ทักทายผู้ใหญ่ไม่เป็หรือ”
“...”
วัชร์หน้ามุ่ย มองผู้เป็สามีด้วยสายตาไม่พอใจเช่นกัน ถึงอย่างนั้นก็รู้ตัวดีว่าตนมาในฐานะผู้ขออยู่อาศัย ยอมยกมือขึ้นไหว้ทักทายแต่ไม่พูดอะไร...หลังจากจบพิธีแต่งงานเมื่อสี่ปีที่แล้ว พวกเขาก็แยกกันอยู่ราวกับไม่รู้จักกัน การที่วัชร์มาเยือนพระนครในครั้งนี้ คือการพบปะกันเป็ครั้งแรกในรอบสี่ปี
เขาไม่คิดปฏิเสธว่าคนตรงหน้าดูดีขึ้นมากเสียจนเผลอมองอยู่นาน...แต่ท่าทีเ็าและห่างเหินต่อกัน ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาแต่อย่างใด
น้ำในเหยือกถูกรินใส่จอกชา ทั้งน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยพูดต่ออย่างใจเย็น
“เฮียสั่งให้คนเตรียมห้องเอาไว้ให้ อยู่ที่บ้านอีกหลัง”
ั้แ่ลงจากรถมา เขาเห็นบ้านเรือนไทยตั้งอยู่ถัดจากบ้านหลังนี้ไม่ไกลสักเท่าไร เดินออกไปจากตรงนี้ไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ถึงแม้ว่าบ้านหลังนี้จะใหญ่โตโอ่อ่า มีห้องหับให้อยู่มากมายก็ตามที แต่ก็ดีแล้ว หากให้พวกเขาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน คงไม่พ้นต้องนอนฝันร้ายทุกคืน
“เื่อาหารการกิน จะมีคนยกสำรับไปให้ทุกเช้า”
ประโยคถูกเว้น่ไปจังหวะหนึ่ง ก่อนดวงตาคมจะช้อนขึ้นมองสบกับผู้เป็ภรรยาแล้วเอ่ยต่อ
“ที่นี่มีแต่อาหารจีน หวังว่าคุณวัชร์คงจะพอกินได้”
วัชรินทร์แอบขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบอาหารจีนเลยแม้แต่น้อย หากจะให้กินก็คงจะต้องบังคับใส่ปากเท่านั้น...คนที่มีบริวารคอยรับใช้รอบตัว มีเงินทองมากมายให้ถลุงไปอีกหลายชาติ คงไม่ขัดสนถึงขั้นสั่งทำอาหารเหนือสักสำรับให้ใครสักคนไม่ได้ ทว่าจงใจไม่ทำให้มากกว่ากระมัง
“วัชร์ทำอาหารเองได้ ไม่จำเป็ต้องไปขอแบ่งสำรับจากใคร”
พลันคนอายุน้อยกว่าเชิดหน้าขึ้นตอบโต้อย่างไม่คิดยอมความต่อใคร แว่วได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นหลังจากนั้น
“ยโสเหลือเกินนะ”
...หากเป็เื่ค่อนขอดภรรยา คงจะเป็สิ่งที่เ้าพ่อนครบาลคนนี้ทำได้ถนัดนัก พลันบรรยากาศรอบตัวตกอยู่ในความเงียบสงัด เหล่าหญิงและชายรับใช้ต่างพากันก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนอย่างขะมักเขม้น คาดเดาสิ่งหนึ่งไปในทิศทางเดียวกัน
...ว่าซูเหวิน ไท่ คงจะแสนชังภรรยาคนนี้ของตนเหลือเกิน
“ถ้าอย่างนั้นก็รู้เอาไว้ ว่าวัชร์จะไม่อยู่ให้คุณลำบากนานนักหรอก”
“เฮียจะช่วยอุปการะ จนกว่าคุณวัชร์จะเก็บข้าวของออกไปจนหมดก็แล้วกัน”
น้ำเสียงของวัชรินทร์เริ่มแฝงไปด้วยความประชดประชัน ตามอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่น ในขณะที่เ้าของบ้านยังคงตอบโต้กลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด ยิ่งนานเข้า บทสนทนาธรรมดาก็เริ่มจะแปรเปลี่ยนกลายเป็การทะเลาะกันเสียแล้ว
การคลุมถุงชนส่งผลกระทบมากกว่าที่คิด...อย่างน้อยก็คนทั้งสองที่ต้องถูกพันธนาการเข้าด้วยกัน เป็ศัตรูแสนน่าชังของกันและกันในคราบของคู่ชีวิต
“วัชร์เดินทางมานาน อยากเข้าห้องไปพักผ่อน”
เอ่ยพูดเสียงสั้นห้วน เมื่อคิดว่านั่งคุยกันต่อไปก็มีแต่ทะเลาะ อยากจะรีบเข้าห้องไปทุบตีหมอนระบายอารมณ์ให้หนำใจ ซูเหวินหันไปเปิดลิ้นชักข้างกาย ก่อนจะหยิบกุญแจดอกหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็กุญแจห้องมาวางไว้บนโต๊ะน้ำชา คล้ายกับเป็การบ่งบอกทางอ้อม ‘หากอยากได้ ก็ให้มาหยิบเอาเอง’
“...”
วัชรินทร์ยอมเดินเข้าไปหยิบกุญแจด้วยตนเองโดยไม่คิดเล่นตัว ถึงอย่างนั้น การเดินลงเท้าปึงปังในแต่ละก้าวก็บ่งบอกกิริยาดื้อดึงและก้าวร้าว ครั้นเมื่อคว้ากุญแจได้ก็รีบหันหลังจะเดินออกไปโดยไม่ร่ำลา ก่อนจะต้องชะงักไป เมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยตามไล่หลัง
“ไม่เคยรู้มาก่อน ว่าที่เชียงใหม่ค่อนข้างหละหลวมเื่การสอนมารยาทเวลาอยู่กับผู้ใหญ่”
“...”
“ที่นี่มีครูดีหลายคน เผื่อว่าคุณวัชร์อยากได้อาจารย์มาสั่งสอนเื่นี้สักคน”
ประโยคเชือดเฉือนเมื่อครู่ ราวกับเป็การราดน้ำมันลงไปในกองเพลิงที่กำลังเริ่มปะทุ เพียงพริบตาเดียว กองไฟขนาดย่อมก็แปรเปลี่ยนกลายเป็ห่าเพลิงกัลป์ได้โดยง่าย วัชร์หุบพัดผ้าไหมในมือทันทีแล้วหันหลังกลับไปตวัดตามองสบอย่างเอาเื่
ดูท่าแล้ว เขากับสามีคงจะต้องได้เห็นดีกันั้แ่วันแรกเสียแล้วกระมัง
ร่างอรชรเดินกลับเข้าไปหาอย่างไวว่อง ทั้งยังหยุดยืนค้ำหัวคนมีอายุมากกว่าตนหลายปีโดยไม่คิดเกรงกลัว ทำเอาหลายชีวิตที่แอบมองสถานการณ์อยู่ต้องรีบยกมือขึ้นทาบอกด้วยสีหน้าคล้ายอยากจะเป็ลม สถานการณ์ทั้งตึงเครียดและน่ากลัวเข้าไปทุกที...นึกสงสัยนักว่าคุณไท่ยังคงนิ่งอยู่ได้อย่างไร
“วัชร์ไม่้าครูมาสอนมารยาท”
กัดฟันพูดด้วยอารมณ์โมโหเต็มพิกัด ซูเหวินเพียงส่งเสียง ‘อ้อ’ ในลำคอแ่เบา ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง กลายเป็วัชรินทร์เสียเองที่ต้องแหงนคอขึ้นไป ดวงตาสีรัตติกาลกวาดมองกันครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามต่อด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน...ราวกับกำลังพูดคุยกับเด็กไร้พิษสงคนหนึ่ง
“หรือว่าเธอยินดีที่จะให้เฮียเป็คนสั่งสอนเองมากกว่า”
ภาพจำของซูเหวิน ไท่ ในสายตาของวัชร์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด ในวัยเยาว์อีกฝ่ายเคยใจร้ายกับเขาอย่างไร ในวันนี้ก็แทบไม่มีอะไรแตกต่าง นอกจากอายุของพวกเขาที่มากขึ้น และสถานะที่เปลี่ยนไป จากคู่หมั้นสู่การเป็คู่สมรสโดยสมบูรณ์ก็เท่านั้น
วัชร์ในตอนนี้กำลังโมโหจนแทบบ้า ในหัวเอาแต่ฉายภาพของตนที่กำลังตะบันหมัดใส่หน้าของคนอายุมากกว่าโดยไม่ยั้งแรง ยิ่งเห็นเ้าตัวกำลังจะเดินออกไป ทั้งที่เพิ่งจะทิ้งะเิลูกใหญ่เอาไว้ก็ไม่คิดยินยอม
อย่าคิดว่าคนอย่างวัชรินทร์ รณวงศา จะยอมให้ใครมาต่อว่าแล้วจากไปได้โดยง่าย
!!!
“ว้าย!!!!”
เสียงร้องอย่างใของหญิงรับใช้ดังขึ้น เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที วัชรินทร์ปรี่เข้าหาผู้เป็สามีด้วยความว่องไว แล้วผลักอีกฝ่ายจนหลังชนเข้ากับผนังอย่างแรง ปิ่นปักผมถูกดึงออกมาเป็อาวุธ จนมวยผมที่เกล้าเอาไว้ร่วงลงประบ่า
ปลายคมของปิ่นเกือบจะััที่ลำคอของผู้นำกลุ่มหยางหลง หากแต่เ้าตัวสามารถจับข้อมือขาวปรามเอาไว้ได้ทันท่วงที เหล่าผู้ติดตามเตรียมจะเข้ามาประชิด ทว่าซูเหวินเพียงยกมือขึ้นปรามอย่างใจเย็นเท่านั้น
“คอยดูเถอะ”
“...”
“หมดบุญคุณเมื่อไร...สักวัน วัชร์จะฆ่าคุณให้ตาย”
เสียงแต่ละคำถูกเปล่งลอดไรฟัน แม้จะแ่เบานัก แต่ก็ยังดังมากพอให้ได้ยินอย่างชัดเจน ...ภายในดวงตาคมไม่ได้ฉายแววตระหนกใแต่อย่างใด เพียงหลุบลงมองคนตรงหน้าที่เริ่มหายใจถี่กระชั้นเท่านั้น
“งั้นหรือ”
“...”
เอ่ยถามเสียงเย็นเยียบ ก่อนจะใช้แรงที่มากกว่าแย่งปิ่นจากมือของวัชรินทร์ออกมาได้อย่างง่ายดาย ไม่หักหรือโยนทิ้งไป ทว่ากลับยึดมันมาไว้อยู่ที่ตนเอง
“อยากรู้จริง ว่าคนที่เก่งแต่แยกเขี้ยวขู่ไปวัน ๆ อย่างเธอ จะทำอะไรเฮียได้บ้าง”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้