บทที่ 2
เบบ หมายถึง ที่รัก
ที่มาจากคำว่า Babe เป็คำที่มักใช้เรียกคนรักสำหรับชาวตะวันตก พ่อตั้งใจว่าถ้ามีลูกคนแรกจะให้ชื่อ เบบ เพราะพ่อเคยดูหนังรักฝรั่งเื่หนึ่งกับแม่ ในตอนที่ตัวละครทั้งสองตกลงเป็แฟนกัน พระเอกจึงเรียกนางเอกด้วยคำนี้ ต้นกำเนิดของชื่อก็มาจากความฝันในวัยเยาว์ของผู้เป็พ่อ
และเมื่อมีลูกคนแรก ลูกคนที่สองจึงตามมา…
พ่อและแม่พยายามหาชื่อที่มีความหมายคล้ายกับลูกคนแรกให้มากที่สุด แม้จะไม่ได้ชื่อที่คล้องจองกันก็ตาม ขอเพียงชื่อของสองพี่น้องมีความหมายใกล้เคียงกันก็พอ
ชื่อนี้จึงถูกเสนอขึ้น…
ที่รัก หมายถึง ผู้เป็ที่รัก
นั่นคือความหมายโดยแท้จริงที่ปู่ตั้งใจจะสื่อ ทว่าคนอื่นสามารถตีความคำว่า ที่รัก ได้อีกหลายความหมาย แต่ท้ายที่สุดขอเพียงแค่เ้าของชื่อเป็ที่รักของทุกคนก็เพียงพอแล้ว
ผู้หญิงตัวเล็กมีผมสีน้ำตาลยาวประบ่ากำลังนั่งมองน้องชายที่หลับสนิทอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นั้แ่เมื่อคืน เ้าของชื่อความหมายใกล้เคียงกับเธอโดนรุมรักสมใจปู่ จนในเวลานี้ยังไม่ตื่นเพราะพิษรักจากแอลกอฮอล์ที่รุ่นพี่คนหื่นมอบให้
มือเรียวยกขึ้นเสยผมหน้าม้าของตัวเองลวก ๆ พลางไล่สายตามองไปตามร่างกายของน้องชายเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยอีกรอบ แม้ว่าเมื่อคืนเธอจะดูจนแน่ใจดีแล้วว่าน้องไม่ได้โดนรุ่นพี่ล่วงเกิน แต่ก็อดห่วงไม่ได้จึงตรวจดูอีกครั้ง
นอกจากนิสัยที่แตกต่างกันคนละขั้วแล้ว หน้าตาของเราสองพี่น้องก็ยังต่างกันมาก เว้นเสียแต่ร่างกายที่มีรูปร่างเล็กและผอมบางเหมือนกัน เพียงแต่น้องชายนั้นสูงกว่าเธอเกือบยี่สิบเซน
และหน้าตาของเธอค่อนไปทางแม่ซะส่วนใหญ่ ได้ดวงตากลมโตของแม่มาเต็ม ๆ ใคร ๆ มักจะบอกว่าเธอน่ารักบ้องแบ๊วขัดกับนิสัยสุดๆ
ส่วนที่รักนั้นได้ทั้งพ่อและแม่ผสมกันไป ทว่าออกมาดูดีจนเธอยังคิดอิจฉา บนใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นมีส่วนเล็กส่วนน้อยเต็มไปหมด
หากให้เลือกว่าส่วนไหนที่ทำให้ะเิตู้มกลายเป็คนน่ารัก เบบคิดว่าคงเป็ดวงตาเรียวรีที่ในแววตาเต็มไปด้วยความซุกซน แม้ในยามนี้จะถูกเปลือกตาสีไข่ไก่บดบังไว้ แต่เธอยังจำั์ตาอีกฝ่ายได้ดี หรืออาจจะเป็ริมฝีปากเรียวบางสีแดงสด ไม่ก็คงเป็จมูกโด่งรั้นที่แม่ให้มา และก็ใจดีให้เธอมาเช่นกัน หรือบางทีคงเป็เพราะแก้มย้อย ๆ ที่ไม่รู้ไปขนมาจากไหนเยอะแยะ
แต่พอเอาเข้าจริงเธอไม่สามารถเลือกได้หรอก ทำได้เพียงแค่มองรวม ๆ และคิดหมั่นเขี้ยวน้องเท่านั้น
อะไรที่เป็ที่รัก ผู้คนก็มักจะหลงรักเสมอนั่นแหละ
และเมื่อโทรศัพท์ของน้องชายที่วางอยู่ข้างเ้าตัวสั่นแจ้งเตือน ความคิดชื่นชมน้องชายภายในใจเพียงคนเดียวก็พลันหยุดลง ดวงตากลมโตหลุบมองโทรศัพท์ของน้องที่สั่นเป็เ้าเข้า เธอถอนหายใจบางเบาก่อนจะตัดสินใจรับสายแทน
(ไอ้รัก เป็ไงบ้าง? ...กว่าจะรับสายกูได้)
“พี่เองลี้ รักยังหลับอยู่เลย”
(อะ อ้าว…จริงเหรอพี่ มันโอเคไหมอะ?)
“ไม่รู้ดิ ตื่นมาไม่รู้จะเมาค้างหรือเปล่า…คนไม่ค่อยดื่ม”
(พูดแล้วก็รู้สึกผิดเลย ขอโทษนะพี่เบบ)
“คนที่ต้องขอโทษคือไอ้ชั่วโอ้ ไม่ใช่ลี้หรอก… แต่ก็ต้องขอบคุณฟ้ามาก ถ้าไม่ได้ฟ้า ไม่รู้ป่านนี้รักจะเป็ยังไง”
(เมื่อเช้าเห็นลุงมาหาพี่ฟ้าที่บ้าน สงสัยไอ้โอ้ไปแจ้งความมั้ง…)
เบบลอบถอนหายใจอีกรอบพอได้ยินปลายสายพูดอย่างนั้น เธอพอจะรู้มาบ้างว่าลุงของหมื่นฟ้าเป็นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และคอยดูแลรักษาความปลอดภัยให้ร้านของหมื่นฟ้า ถ้ามาหาหมื่นฟ้าถึงบ้าน คงไม่พ้นมีเื่ใหญ่โตแน่ ๆ เพราะพ่อของไอ้โอ้ก็เป็ตำรวจยศใหญ่เหมือนกัน รุ่นพี่คนนี้ถึงได้กร่างทำพฤติกรรมไม่ดีไปทั่ว
ก็จริงที่พ่อของเราก็เป็ตำรวจเหมือนกัน แต่พ่อเป็เพียงแค่ตำรวจชั้นประทวนเท่านั้น หากพูดให้ถูกพ่อเป็ผู้ใต้บังคับบัญชาของลุงหมื่นฟ้าและพ่อไอ้โอ้ แม้จะไม่ได้เป็ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงเพราะพ่อไม่ได้ประจำการอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของผู้ใหญ่ทั้งสอง แต่ก็ต้องเคารพให้เกียรติตามชั้นยศและระบบาุโ ทว่าเบบรู้นิสัยของพ่อตัวเองดียศถาบรรดาศักดิ์ไม่มีความหมาย หากลูก ๆ โดนรังแก ต่อให้ใหญ่โตมาจากไหน อาจจะโดนพ่อถีบแสกหน้าโดยไม่สนใจ
เธอเลยเลือกเก็บเื่นี้ไว้ก่อน…
“ทำให้ฟ้าเดือดร้อนแท้ ๆ เลย ไว้เดี๋ยวพี่จะโทรไปขอโทษฟ้าเอง รอรักตื่นก็จะให้ไปขอโทษด้วยตัวเองอีกด้วย”
(ไม่ต้องเครียดหรอกพี่ พี่ฟ้าไม่แคร์หรอก เื่แค่นี้เอง แต่เมื่อคืนที่เพื่อนโทรบอกผมว่าพี่ฟ้าต่อยพี่โอ้กลางร้าน ผมยังไม่อยากเชื่อเลยนะ)
“ตอนดอมโทรมาเล่าให้ฟังเมื่อเช้าพี่ก็ไม่เชื่อ ปกติฟ้าเป็คนนิ่ง ๆ เงียบ ๆ คือพอจะรู้แหละว่าหัวร้อนง่าย แต่ก็ควบคุมอารมณ์ได้ ไม่เคยเห็นว่าหรือด่าใครเลย ดอมบอกว่าไม่เคยนินทาคนอื่นด้วยซ้ำ”
(อันนี้จริง พี่ฟ้าไม่ค่อยเอาใครนะพี่เบบ…ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวกับเพื่อนคือไม่สนใจเลย ท่าทางจะหลงเสน่ห์แก้มย้อย ๆ ของไอ้รักเข้าไปมั้ง ฮ่า ๆ)
“ฟ้าได้ยินแบบนี้จะมีชีวิตรอดปะลี้?”
(โธ่ พี่ก็อย่าไปบอกสิ ผมแค่แซวพี่ตัวเองเล่น ๆ …เออ คุยเพลินเลย ผมจะโทรมาเตือนรักว่าตอนบ่ายมีส่งชิ้นงานกับอาจารย์จิ)
พอได้ยินชื่ออาจารย์ขาโหดประจำคณะ เบบก็รู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาทันที เธอผ่านมาแล้ว และหวังว่าน้อง ๆ จะรอดชีวิตจากวิชาเอกประจำสาขานี้ไปได้เหมือนกัน
“ถ้างั้นพี่คงต้องปลุกอะ…”
(จริง ๆ อยากให้มันนอนพักนะ แต่งานชิ้นนี้ต้องไปพรีเซนต์กับอาจารย์ด้วยตัวเอง…แล้วดันเป็วิชาของอาจารย์จิด้วย พี่ก็รู้ใช่ไหมว่าแกโหดขนาดไหน)
“อือ รู้ดีเลยแหละ งั้นก็ต้องปลุก…เดี๋ยวพี่ให้รักโทรกลับหาลี้ละกัน”
(ครับ ๆ)
เบบวางสายจากเพื่อนสนิทของน้องชายก่อนจะเอื้อมมือไปสะกิดเบา ๆ ที่แขนพร้อมเรียกชื่อคนที่หลับอยู่ ทว่าทำแบบนี้อยู่สักพักคนที่นอนราวกับซ้อมตายก็ไม่ยอมลืมตาตื่น ไม่แม้แต่ปรือตาสักนิดด้วยซ้ำ
“รัก…ยังไม่ตื่นอีกเหรอ?”
เ้าของเรือนผมสีน้ำตาลประบ่าละสายตาจากคนตรงหน้าหันมองตามเสียงแหบแห้งของคนที่เพิ่งเข้ามาในบ้าน ปู่ที่มีผมสีขาวโพลนทั้งศีรษะก้าวเข้ามาหาหลานชายคนโปรดพร้อมรอยยิ้ม เบบเดาว่าปู่คงออกไปเดินเล่นในสวนก่อนจะตั้งใจมาหาที่รัก เพราะปกติ่ก่อนเที่ยงอย่างเช่นตอนนี้ น้องชายมักจะคุยเล่นกับปู่อยู่ที่สวนหลังบ้านแทบจะทุกวัน
ชายชราอายุราว ๆ แปดสิบกว่าปีที่มีร่างกายอ่อนแรงไปตาม่วัยค่อย ๆ ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นตรงหน้าหลานชาย เบบเห็นอย่างนั้นจึงรีบะโลงจากโซฟาไปนั่งข้าง ๆ ปู่
“ปู่ ปลุกรักให้เบบหน่อย น้องต้องไปส่งงาน”
คนฟังยิ้มแย้มพร้อมพยักหน้ารับ “อือ…เดี๋ยวปู่จะปลุกให้”
“…”
“รักเอ๊ย…ตื่นได้แล้วลูก ปู่ไม่มีคนกินขนมด้วยเลย” ว่าพลางส่งมือสากไปััที่ข้างแก้มสีแดงระเรื่อราวกับลูกมะเขือเทศเบา ๆ เ้าของใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัยขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดสงสัยว่าหลานไม่สบายหรือเปล่า แก้มสีขาวเนียนที่เคยเห็นเป็ประจำถึงได้แดงเหมือนลูกมะเขือเทศเช่นนี้ เพราะความเป็กังวลจึงเอ่ยถามหลานสาวแทน “รักไม่สบายใช่ไหม? แก้มแดงเชียว”
เบบกลืนน้ำลายลงคอ กลอกตาไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อคิดไตร่ตรองว่าจะบอกกับปู่อย่างไรดี เพราะเมื่อคืนตอนที่น้องกลับมา ปู่หลับไปแล้ว และไม่รู้ด้วยว่าที่รักเมามาก
เธอเชื่อว่าปู่เข้าใจหากเด็กผู้ชายจะดื่มเหล้า แต่ดื่มจนเมามายขาดสติขนาดนี้ บอกไปมีแต่จะทำให้กังวลเปล่า ๆ
“…เอ่อ…”
“อื้อ…”
ราวกับคนเบื้องบนไม่อยากให้เธอทำผิดบาปด้วยการโกหกปู่ น้องชายตัวดีถึงได้รู้สึกตัวตื่น คนตัวเล็กที่นอนอยู่บนโซฟาครางเสียงอื้ออ้าในลำคอ บ้างก็หลุดพูดบางประโยคที่คล้ายจะบอกว่า ‘รักปวดหัวจะแตกแล้ว’ แต่เพราะที่รักพูดอู้อี้เสียงแ่เบาเกินไป จึงไม่สามารถจับใจความประโยคคำพูดของน้องได้ เบบเดาว่าเ้าตัวยังเมาค้างจากท่าทางที่ไม่เป็ปกติ
ที่รักปรือตาตื่นด้วยความทรมาน เหมือนสมองของเขามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึงสองโล อยากจะยกศีรษะขึ้นหน้าก็ทิ่มลงหมอนเหมือนเดิม และรู้สึกปวดร้าวไปหมดทั้งตัวด้วย ที่รักไม่รู้ว่าอาการเหล่านี้มันเรียกว่าอะไร แต่พอจะรู้ว่าเกิดจากแอลกอฮอล์แน่ ๆ
เขาขอเรียกมันว่า…อาการเลวร้ายก่อนแล้วกัน
“ตื่นแล้วเหรอลูก?”
ที่รักยกมือขึ้นขยี้หัวตาก่อนเพ่งมองเ้าของเสียงที่นั่งอยู่ตรงหน้า พอสายตาเริ่มปรับให้ภาพทุกอย่างชัดเจน เขาก็เห็นรอยยิ้มอบอุ่นที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าปู่ กับสีหน้าเรียบนิ่งไม่ค่อยสบอารมณ์ของพี่สาว
หากอยากสบายใจและโดนปลอบประโลมโดยไม่ถูกซักถามให้ปวดหัวมากกว่าเดิม ที่รักคิดว่าอ้อนปู่จะดีที่สุด แต่ถ้าอยากทวนความจำพร้อมรับรู้ความจริงเื่เมื่อคืนที่คาดว่าน่าจะพังพินาศสุด ๆ เขาคิดว่าต้องแลกด้วยการโดนพี่เบบสวดยับ
สวดไปเลยยาว ๆ
สามวันสามคืนแบบ Non Stop
“ปู่ครับ…”
และใช่…ร่างกายยังไม่พร้อม งั้นเข้าทางปู่ก่อนดีกว่า
“รักไม่สบายหรือเปล่าลูก?”
“คือรัก…”
“รัก…ลี้ให้โทรกลับ ด่วน ๆ ด้วย”
ที่รักละสายตาจากปู่เพื่อมองพี่สาวที่ลุกพรวด พี่เบบก้าวถอยไปยืนข้างหลังปู่ที่นั่งอยู่ที่เดิม แล้วทำปากขยุบขยิบเป็เชิงบอกให้เขาเก็บเื่ดื่มเป็ความลับไปก่อน
“รักแค่ปวดหัวน่ะครับ ไม่เป็อะไรมากหรอกปู่”
“เอาโอวัลตินร้อน ๆ ไหม เวลานี้รักชอบดื่มโอวัลตินนี่ ปู่จะไปชงให้…”
ที่รักนอนตะแคงส่งยิ้มให้ปู่ แม้ในตอนนี้จะรู้ว่าตัวเองไม่สามารถกินอะไรได้เลย ทุกอย่างที่ถูกกลืนลงคอพร้อมจะพุ่งพรวดออกมาเพราะรู้สึกคลื่นไส้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งที่รักคิดว่าเป็อาการ เมาค้าง อย่างที่พันลี้เคยเป็
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพยักหน้ารับอีกฝ่าย ถ้าเขาปฏิเสธปู่จะต้องลำบากสรรหาเมนูโปรดต่าง ๆ มาให้ตอบตกลงจนได้ เพราะเื่กินของเขาสำคัญสำหรับปู่มาก
“งั้นเดี๋ยวปู่มา…เบบเอาด้วยไหมลูก เดี๋ยวปู่ชงเผื่อ”
“ไม่เอาค่ะปู่”
ทันทีที่ปู่ลุกออกไป พี่สาวตัวเล็กกว่าเขาก็ทิ้งตัวนั่งลงตรงปลายเท้าก่อนจะเอื้อมมือมาช่วยพยุงร่างเขาให้ลุกนั่ง
“โอ๊ย…พี่เบบ บ้านหมุนอะ…” ที่รักร้องโอดครวญพลางยกนิ้วชี้ไปที่ตู้โชว์เครื่องลายครามของแม่ “ถ้วยใบโปรดของแม่จะตกมาแตกไหมเนี่ย ตู้มันโยกเยกไปหมดเลย”
“มันเป็ที่สมองแกเองรัก ตู้ไม่ได้โยก…นี่ดื่มไปแค่แก้วเดียวจริง ๆ เหรอ ฉันว่าไม่ใช่แค่แก้วเดียวแน่ ๆ ”
“เท่าที่จำได้แค่แก้วเดียว…” ที่รักตอบก่อนจะคว้าหมอนที่อยู่ข้างกายมากอดไว้ ในเวลานี้รู้สึกหาความสมดุลไม่ได้เลย ตัวเขาโยกเยกไปมาพอ ๆ กับตู้โชว์ตรงหน้า
ระหว่างที่นั่งตั้งสติพร้อมประคองร่างพัง ๆ ของตัวเอง ที่รักก็พยายามนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ภาพในหัวตัดไปตัดมาจนสับสนไปหมด เขาเลยหลับตาเพื่อทบทวนดี ๆ
ภาพแรก…พี่โอ้…นั่งยิ้มแบบนั้นอยู่
แล้วก็ภาพ…ภาพ…ไม่ใช่ภาพสิ…เป็ความรู้สึกกลัว แล้วตัวเองก็ร้องไห้
ภาพไทป์กำลังลุกมาหา…
ที่รักกำลังจะเลิกเปลือกตาที่หนักอึ้งพอ ๆ กับศีรษะตัวเองขึ้น ทว่ามีภาพบางอย่างทับซ้อนอยู่ในหัวก่อนเขาจะลืมตา แต่พอหลับตาลงอีกครั้งก็ไม่เห็นภาพนั้นแล้ว
เหมือนจะจำได้แค่ัั…
กอดเหรอ?
คงเป็กอด…เพราะมันอุ่น ๆ
มือเรียวขาวซีดข้างหนึ่งยกขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างอ่อนเพลีย ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการรื้อฟื้นความทรงจำตอนเมาค้างต้องใช้พลังงานมากขนาดนี้
“ฉันไม่รู้จะด่าแกยังไงดี…คิดแล้วก็โมโห”
“โอ๊ย ~ อย่าทำน้องค้าบ…”
แค่พี่เบบพูดตำหนิก็เจ็บแสบไปถึงหัวใจแล้ว ยังส่งฝ่ามือเล็ก ๆ ที่โคตรหนักมาผลักศีรษะไม่สมประกอบในตอนนี้ของเขาอีก
ดวงตากลมโตมองหัวทุยที่กระเด้งไปอีกทางด้วยฝีมือตัวเองก่อนที่หัวกลม ๆ จะกระเด้งกลับมาวางแหมะลงบนไหล่ของเธออย่างออดอ้อน
“ไม่ต้องมาอ้อน ไม่ใช่ปู่”
“ขอโทษ รักขอโทษนะพี่เบบ…ต่อไปจะไม่ให้เกิดเื่แบบนี้ขึ้นอีก จะระวังตัวเองให้มากขึ้น จะไม่เชื่อใครง่าย ๆ อย่างที่พี่เบบบอกด้วย”
“ก็ถ้าฟ้าไม่ไปช่วย…แกจะได้มานั่งขอโทษฉันแบบนี้ไหม คิดแล้วก็โมโหว่ะ…นี่แม่ยังไม่รู้นะว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันบอกว่าแกเผลอดื่มเข้าไปเลยเมาจนฟ้าต้องมาส่ง ถ้าขืนบอกไปว่าแกโดนมอม…พ่อได้บึ่งมาฆ่าไอ้โอ้แน่”
เดี๋ยวก่อน…
พ่อบึ่งมาฆ่าพี่โอ้น่ะแน่นอน
“ใครมาส่งนะพี่เบบ?”
แต่ชื่อของคนที่มาส่งน่ะ..ได้ยินไม่ค่อยชัดเลย
“ฟ้าไง…หมื่นฟ้าอะ”
“…”
อ๋อ…หมื่นฟ้าของใคร ๆ นี่เองที่เป็คนมาส่งคนเมาเละอย่างเขา
แต่เอาจริง ๆ ก็…T____T ไม่เอาดิ ไม่เอาพี่ฟ้าได้ปะ ใคร ๆ ก็รู้ว่าขี้ดุจะตาย
ที่รักนั่งนิ่ง ๆ จ้องมองตู้โชว์ของแม่ที่โยกเยกน้อยลงแล้ว ก่อนจะเอ่ย “ใครมาส่งรักนะ?”
“เมาจนเพี้ยนแล้วมั้ง? ก็บอกว่าฟ้ามาส่ง!”
ที่รักพยักหน้ารับอย่างเลื่อนลอย นั่งขัดสมาธิแล้วเอาหน้าซุกหมอนที่ตัวเองกอดรัดอยู่ ก่อนหลับตาลงเพื่อรื้อฟื้นบางอย่างในหัวอีกครั้ง แต่จู่ ๆ ที่รักก็รู้สึกว่าััที่ตัวเองกอดหมอนแน่ ๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้…หรือบางทีอาจจะเกิดขึ้นเมื่อคืน
ทว่านึกยังไงก็ไม่สามารถขุดซากความทรงจำที่เพิ่งผ่านมาได้เลย ความรู้สึกอบอุ่นคล้ายอ้อมกอดจึงติดค้างอยู่ในห้วงความรู้สึกของเขาจนถึงตอนนี้
“ฟ้าเอาแกขี่หลังพามาส่งยันโซฟาเลย…แล้วก็อยู่ช่วยฉันเช็ดตัวให้แกอีกสักพักถึงกลับไป”
เป็ในตอนนั้นเองที่ที่รักรู้สึกเขินผู้ชายด้วยกันจนใบหน้าเห่อร้อน เขาไม่สามารถอธิบายความรู้สึกเขินอายอย่างแปลกประหลาดนี้ได้ เพราะไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน แม้กระทั่งกับแฟนเก่าที่เป็ผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่เคยคบกันตอนปีหนึ่งก็ไม่เคยสักครั้ง
หากจะให้เปรียบเทียบความรู้สึกนี้กับสถานการณ์หนึ่ง ที่รักคิดว่าเหมือนคนที่ตากฝนมาตลอดทั้งวันและวิ่งเข้าห้องแอร์เย็น ๆ โดยไม่อาบน้ำ ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ไข้ขึ้นสูงตามลำดับ ตัวร้อนขึ้นเรื่อย ๆ อุณหภูมิภายในพุ่งทะยานรวดเร็วเหมือนจรวดจนหมอควบคุมไม่ได้ มันเป็แบบนั้นเลย
“พี่เบบเช็ดคนเดียวก็พอแล้วปะ? พี่เบบเช็ดตัวให้รักใช่ปะล่ะ?” แกล้งถามย้ำไปอย่างนั้นเพื่อความแน่ใจ ทั้งที่มั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่าหน้าที่นี้พี่สาวจอมโหดไม่ปล่อยให้ใครทำแน่ ๆ
“ใช่…ฉันเช็ด”
เฮ้อออ....โล่งอก :)
ที่รักแย้มยิ้มอย่างโล่งอกขณะพักหัวกลม ๆ ไว้กับไหล่เล็ก ๆ ของพี่สาว ไม่มีใครแตะเนื้อต้องตัวเขาได้หรอก ถ้าพี่เบบยังมีชีวิตอยู่
“แต่เช็ดแค่หน้าแล้วก็ขึ้นไปบนห้องหาชุดให้แกเปลี่ยน…ที่เหลือฟ้าช่วยเช็ดให้”
“หือ…”
หัวทุยรีบผงกยกขึ้นอย่างลืมสังขารตัวเอง ที่รักไม่สนใจบ้านที่หมุนติ้ว ๆ กับตัวพี่สาวที่โยกเยกเหมือนตู้โชว์อีกต่อไป เขาจ้องลึกเข้าไปในตาของคนพี่เพื่อคาดคั้นเอาความจริง
…ทั้งที่รู้ว่าพี่สาวไม่ชอบโกหก
และไม่เข้าใกล้คำว่าอำเล่นด้วย
“ทำหน้าอ๊องทำไม?”
“รักก็จะทำหน้าแบบนี้เวลาไม่เข้าใจและไม่เชื่ออะไรสักอย่าง…”
เบบนิยามใบหน้าตลก ๆ นี้ว่า หน้าอ๊อง ๆ เพราะมันแปลกและทำให้เธอขำทุกเมื่อที่เห็น ไม่รู้มันคือการแสดงสีหน้าด้วยความรู้สึกอะไร แต่เ้าตัวก็มักจะทำหน้าแบบนี้เวลาที่คิดว่าเธอแกล้งหลอกกันเพื่อจับผิด
อีกอย่างคำว่าอ๊องเหมาะกับคนเด๋อ ไม่รู้เื่รู้ราวอย่างที่รักดี การตั้งชื่อใบหน้าตลก ๆ เป็เอกลักษณ์นี้ว่า หน้าอ๊อง จึงเหมาะสมที่สุดแล้ว
และหน้าอ๊องอย่างที่น้องชอบทำก็คือการเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เบิกดวงตาเรียวรีคล้ายคนสงสัย ทว่ามีความสับสนแฝงอยู่ในแววตา รูจมูกทั้งสองบานออกนิด ๆ และสุดท้ายริมฝีปากบางที่อ้าค้างจนแมลงสามารถเข้าไปทำรังได้
“แล้วไม่เข้าใจอะไร ฉันก็บอกทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว”
“รักเข้าใจทุกอย่าง แต่แค่ไม่เชื่อว่าพี่เบบจะปล่อยให้….ให้…”
“ให้อะไร?”
จู่ ๆ ประโยคคำพูดของเขาที่พร้อมจะเปล่งออกไปเมื่อกี้ก็กลายเป็ก้อนบางอย่างที่จุกอยู่ตรงลำคอไม่สามารถพูดออกไปได้
แต่เพราะพี่สาวของเขาฉลาดจนเกินไปถึงได้เดาออกว่าประโยคที่กลายเป็ก้อนกลมในลำคอของเขาคืออะไร พี่เบบจึงเลือกเอ่ยแทน
“ปล่อยให้ฟ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แกน่ะเหรอ?”
ไม่ใช่สิ…ก้อนในลำคอคือคำว่า เช็ดตัว ต่างหาก
“เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย?”
“ก็เออน่ะสิ! รัก…ถึงแกจะตัวเล็กกว่าเด็กผู้ชายคนอื่น แต่สำหรับฉันแกตัวใหญ่นะเว้ย ฉันเปลี่ยนไม่ไหวหรอก อีกอย่างฉันก็ไม่อยากเห็นหนอนของแกด้วย ถึงจะเห็นมาั้แ่เด็กก็เหอะ”
T______T พอฟังจบที่รักก็ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลเป็สาย แต่แค่เพียงในใจน่ะนะ
“แล้วพี่เบบปล่อยให้คนอื่นมาเห็น…เห็นอันนั้นของรักอะนะ…”
“แล้วมันจะเป็อะไรไป ฟ้าก็มีน้องชายปะ แล้วน้องชายมันก็เพื่อนสนิทแก อีกอย่างฉันรู้ว่าฟ้าไม่เอาเื่อันเล็กอันน้อยไปล้อให้เสียเวลางานตัวเองหรอก”
“เดี๋ยว ๆ อันเล็กอันน้อยอะไรของพี่เบบ ทะลึ่งใหญ่แล้วนะ”
“ฉันรู้ว่าแกอาย แกเป็เด็กซนที่โคตรขี้เขินในบางครั้ง แต่ครั้งนี้ฉันจนปัญญาจริง ๆ ถึงต้องปล่อยให้คนอื่นเช็ดตัวให้แก…เอาเป็ว่าขอโทษที่ยอมให้ฟ้าเห็นหนอนน้อยของแก”
“โอ๊ยยย…พี่เบบ เลิกพูดไปเลย รักไม่อยากฟังแล้วอะ…”
ใจจริงที่รักอยากจะรู้รายละเอียดลึก ๆ มากกว่านี้ อยากให้พี่สาวเล่าให้ฟังทุกขั้นตอน ั้แ่ถอดเสื้อผ้า…จนกระทั่งใส่ชุดใหม่ให้เขา แต่ที่รักก็รู้ตัวอีกเช่นกันว่าตัวเองไม่สามารถทนฟังเื่น่าอายจนจบได้ ถ้าได้ฟังพร้อมกับจิตนาการตามครบทุกขั้นตอน
ตัวของเขาคงะเิตู้มแหลกละเอียดจนไม่เหลือชิ้นดี…
“…ฉันเชื่อว่าฟ้าไม่ยอมทำแบบนี้ให้ใครหรอก ไม่รู้เป็เพราะเห็นแก่ฉันที่เป็แฟนเพื่อนสนิทตัวเองหรือเปล่า ถึงได้ยอมช่วย…รู้อย่างนี้แล้วก็ไปขอโทษเขาซะ แล้วก็ขอบคุณที่เขาช่วยด้วย”
“…”
“ที่ให้ขอโทษเพราะฟ้าคงเดือดร้อนเพราะแกแล้ว”
ที่รักกะพริบตาปริบ ๆ จ้องมองพี่สาวด้วยความสงสัย นอกจากเมาไม่รู้เื่แล้ว เขาไปก่อเื่อะไรไว้อีก “รักไปทำอะไรอีกล่ะพี่เบบ?”
“ฟ้าต่อยไอ้โอ้ และลี้ก็บอกว่าเมื่อเช้าลุงมาหาที่บ้าน ดอมเคยเล่าให้ฟังว่าลุงของฟ้าเป็รองผู้การ นครบาล ก็คอยช่วยดูแลร้านให้หลานด้วยนั่นแหละ…ถ้ามาหาเองขนาดนี้ ฉันคิดว่าไอโอ้คงไปแจ้งความอะ พ่อมันก็เป็ตำรวจเหมือนกัน เท่าที่ได้ยินมานะ แต่ไม่รู้ยศอะไร งานนี้ฟ้าโดนดุหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ดวงตาเรียวรีหลุบลงต่ำด้วยความรู้สึกผิด ไม่สนิทกัน แต่มาเดือดร้อนเพราะเขาแท้ ๆ
“แกคิดว่าเื่ที่ฟ้าต่อยไอ้โอ้เมื่อคืนจะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงร้านฟ้าปะ?”
เป็ครั้งแรกที่พี่สาวขอความเห็นจากเขา โดยปกติพี่เบบจะคิดไตร่ตรองเื่ต่าง ๆ ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว น้อยครั้งนักที่จะถามน้องชายเด๋อ ๆ อย่างเขา ครั้งล่าสุดที่พี่สาวขอความเห็น ที่รักจำได้ว่าเป็ตอนที่พี่เบบเรียน ม.4 และก็ถามเื่ที่ง่ายกว่านี้เยอะ อย่างเช่น ‘แกว่าฉันทำตัวห้าวเกินผู้หญิงไปไหม?’
ไม่ใช่คำถามที่ต้องวิเคราะห์โดยการเอาปัจจัยต่าง ๆ รอบตัวมาประกอบกันแบบนี้ ที่รักว่าคำถามนี้ยากไปสำหรับคนคิดน้อยและมองทุกอย่างในแง่ดีอย่างเขา
ความรู้สึกเขินอายที่ไม่มีวี่แววจะหายไปหรือลดน้อยลง ในเวลานี้มันถูกเจือจางด้วยความเป็กังวล ทำให้ที่รักพอจะมีสติคิดทบทวน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถคาดเดาได้อยู่ดี
“รักก็ไม่รู้อะ ร้านพี่ฟ้าดังมากไหมพี่เบบ?”
“มีชื่อพอสมควร…ถ้าไปเที่ยวแถวนั้นแล้วต้องเลือกร้านไหนสักร้านหนึ่ง ร้านแรกที่ทุกคนเลือกคงเป็ร้าน Your Sky อะ”
“โห..แล้วมาเสียชื่อเพราะรักไปแค่ครั้งเดียวเนี่ยนะ”
เบบหลุดหัวเราะออกมาเพราะคำพูดของน้อง ก่อนเอ่ย “เอาเถอะ ๆ ยังไงก็ไปขอโทษฟ้าด้วย ให้ลี้พาไปหานะ”
“…”
“เออ…โทรกลับหาลี้ด้วย”
“อื้อ…”
“เดี๋ยวฉันไปโทรหาดอมก่อน มันจะมารับไปกินข้าว…ไปด้วยกันปะ?”
“หึ ไม่ดีกว่า”
“เออ…รถเอาไปใช้ได้นะ กุญแจอยู่ในห้อง ฉันไม่ได้ใช้เพราะเดี๋ยวดอมมารับ”
ที่รักพยักหน้ารับ นั่งมองพี่สาวที่เดินหายขึ้นไปชั้นสองของบ้าน เหมือนปู่รู้ว่าเราคุยธุระกันเสร็จแล้วถึงได้ถือแก้วกระเบื้องที่มีควันลอยพวยพุ่งเหนือปากแก้วเข้ามา แก้วกระเบื้องสีขาวที่มีลายเด็กชาย ชาลี บราวน์ ยืนกอดเ้าหมาสนูปี้ถูกยื่นมาให้เขา
ปู่ยังความจำดีผิดกับผู้สูงอายุทั่ว ๆ ไป ปู่สามารถจำทุกอย่างที่เขาชอบได้ทั้งหมด แม้ว่าเื่นั้นจะเล็กน้อยเพียงใด อย่างเื่แก้วใบโปรดที่ต้องคู่กับเครื่องดื่มสุดโปรด
แก้วชาลี บราวน์ กับ โอวัลตินร้อน
“ดื่มโอวัลตินก่อนสิรัก จะได้รู้สึกดีขึ้น”
“คะ ครับ…” มือเรียวรับแก้วใบโปรดไว้ ที่รักหลุบตามองของเหลวสีน้ำตาลเข้มในแก้ว หากเป็ตอนปกติเขาจะยิ้มแฉ่งและรีบซดของโปรดให้หมดแก้วภายในเวลาไม่ถึงห้านาที แต่ในตอนนี้ทำได้เพียงเงยหน้าส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ปู่แล้วยกแก้วขึ้นจิบน้ำอุณหภูมิร้อนที่มีรสหวานจับใจ
“รสชาติเหมือนเดิมไหมลูก?”
“เหมือนครับปู่…” รสชาติอร่อยเหมือนเดิมทุกอย่าง มีแต่เขาที่ไม่เหมือนเดิม
พอโอวัลตินไหลผ่าน่ลำคอลงไปถึงกระเพาะ ก็เหมือนมีบางอย่างในช่องท้องกำลังก่อฏกับร่างกายอย่างรุนแรง เท่าที่จำได้เมื่อวานเขาไม่ได้กินอะไรรองท้องก่อนออกจากบ้านเลย อาหารมื้อสุดท้ายที่ตกถึงท้องคือแซนด์วิชแฮมชีสที่กินตอนอยู่มหา’ ลัย และนั่นเป็ตอนบ่ายสามโมงของเมื่อวาน
ไม่รู้ว่าเศษซากของแซนด์วิชยังหลงเหลืออยู่มากน้อยแค่ไหน แต่บางอย่างที่กำลังตีตื้นขึ้นมาในโพรงปากทำให้เขาต้องฝืนใจกลืนมันลงไปอีกครั้งทั้งที่อยากปล่อยให้พุ่งออกมาใจจะขาด
“ปู่…เดี๋ยวรักขอตัวไปโทรหาเพื่อนเื่งานก่อนนะครับ”
“เอาสิ ไม่ต้องห่วงปู่ เดี๋ยวปู่จะเข้าไปนอนพักในห้องสักหน่อย”
“ครับ เดินระวัง ๆ นะครับปู่”
พูดจบที่รักก็ลุกพรวดวิ่งขึ้นบันไดทั้งที่มีแก้วโอวัลตินอยู่ในมือ มือเรียวข้างที่ว่างอยู่ผลักประตูไม้บานใหญ่สีขาวอย่างรีบร้อน เ้าของห้องสาวเท้าเร็ว ๆ เข้าไปในห้องน้ำส่วนตัว วางแก้วกระเบื้องไว้บนเคาน์เตอร์ล้างหน้าก่อนปล่อยให้ของเหลวที่ปั่นป่วนอยู่ในกระเพาะพุ่งพรวดใส่ชักโครก
ทั้งแสบคอทั้งแสบจมูกไปหมด แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้ร่างกายทำโทษตัวเองไป ไม่มีอาหารหลงเหลืออยู่ในตัวเขาสักนิด สิ่งที่ปล่อยทิ้งมีเพียงน้ำอย่างเดียวเท่านั้น
คลื่น ~
ที่รักเอื้อมไปกดชักโครกชำระล้างของเสียในร่างกายก่อนออกมานั่งพักที่โต๊ะทำงานอย่างไร้เรี่ยวแรง มือเรียวล้วงโทรศัพท์ที่เก็บใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงั้แ่ตอนไหนก็ไม่รู้ออกมากดโทรหาเพื่อนสนิท
(ว่าไง ~ ฟื้นแล้วเหรอมึง?)
“อือ…แค่ก ๆ ” เพราะยังไม่ได้ดื่มน้ำล้างคอหลังจากอาเจียนไปอย่างหนัก เขาถึงได้รู้สึกแสบเคืองที่คอจนต้องไอออกมา
(โห ท่าจะแย่ ไหวไหมเพื่อนกู…)
“แย่จริง…”
(วันนี้มีนัดส่งงานไทร์โปร* อาจารย์จินะเว้ย…มึงลืมปะเนี่ย?)
ที่รักถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลับตาลงสงบใจ เขาลืมจริง ๆ นั่นแหละ ถ้าเมื่อคืนไม่ไปเมาเละกลับมา เขาก็ไม่ลืมสนิทขนาดนี้
“เออ…ลืมจริง ๆ อะ”
(ถึงมึงบอกว่าลืมกูก็ไม่เป็ห่วงเท่าคนอื่นหรอก เพราะมึงคงทำงานเสร็จแล้ว แต่ถ้าเป็ไทป์กับจอย ถ้าแม่งบอกว่าลืมเมื่อไหร่คือฉิบหายแน่ ๆ เพราะพวกแม่งคงลืมจริง ๆ แบบไม่มีชิ้นงานส่งอะ…)
“อื้อ งานน่ะพร้อม แต่ร่างกายกูเนี่ย…ไม่พร้อมเลยยย”
(ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมอะครับคุณรัก อาจารย์จิรอแจกเอฟพวกไม่ส่งงานอยู่นะครับ)
“เซคเราพรีกี่โมงนะ?”
ปกติที่รักจะจำเื่พวกนี้ได้เป็อย่างดี จนเพื่อน ๆ ขนานนามว่าเป็ตารางสอนประจำกลุ่ม มีเรียนหรือชดเชยวันไหน กระทั่งส่งงานนอกรอบตอนไหน ที่รักจำได้อย่างแม่นยำ
แต่ตอนนี้…ไอ้น้ำสีขาว ๆ นั้นล้างตารางเรียนในหัวไปหมดแล้ว
(บ่าย 3)
“มีเวลาอยู่…งั้นเจอกันที่มหา’ ลัยเลยนะ”
(โอเค ๆ …เออ แต่มึงให้กูไปรับเปล่า?)
“ไม่เป็ไร วันนี้พี่เบบไปกับพี่ดอม ทิ้งรถไว้ให้ใช้อยู่”
“โอเค ~”
หลังจากวางสายจากเพื่อน ที่รักก็หอบร่างพัง ๆ เข้าห้องน้ำ คนตัวเล็กค่อย ๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าหน้ากระจก ในระหว่างที่เสื้อยืดสีขาวบาง ๆ ของตัวเองหลุดพ้นจาก่คอ พลันใบหน้าของหมื่นฟ้าที่เคยเห็นตอนเ้าตัวมาหาพันลี้ในคลาสเรียนก็แวบเข้ามาในหัว
จากที่ปั่นป่วนในท้องมากอยู่แล้วก็เพิ่มเป็เท่าทวีคูณ มือเรียวยกขึ้นลูบหน้าท้องแบนราบของตัวเองเพื่อปลอบประโลมก่อนโยนเสื้อใส่ตะกร้าหวายบนพื้น
พี่ฟ้าเห็นส่วนไหนบ้างเนี่ย…
เห็น…ไขมันบนพุงด้วยหรือเปล่า?
ที่รักสะบัดหน้าอย่างแรงจนแก้มย้อย ๆ สั่นคลอนไปหมด เขายกมือเรียวทั้งสองขึ้นตบใบหน้าตัวเองแรง ๆ เพื่อเรียกสติและละทิ้งความคิดฟุ้งซ่าน
ทว่า…
ต่อให้ผ่านน้ำเย็น…น้ำร้อน…ก็ไม่สามารถชะล้างเื่น่าอายนี้ได้เลย
#กี่หมื่นฟ้า
รถเก๋งสีขาวมุกที่เป็รุ่นฮิตติดตลาดเมื่อปีที่แล้วเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ให้คนที่อยู่หลังพวงมาลัยกวาดสายตาหาที่จอด วันนี้ที่รักไม่ต้องนั่งรถตู้มามหา’ ลัยเพราะขับรถส่วนตัวมาเอง
จริง ๆ แล้วรถคันนี้เป็ของพี่เบบ ที่รักไม่มีรถส่วนตัวเพราะเขาไม่อยากเพิ่มภาระให้พ่อแม่ ที่บ้านมีรถใช้เพียงแค่สามคันก็เพียงพอแล้ว นั่นก็คือรถของพ่อที่ใช้อยู่ต่างจังหวัด รถของแม่ และรถของพี่เบบ แต่พี่สาวก็ใจดีให้ยืมบ่อย ๆ ถ้าวันไหนที่เรียนไม่ตรงกันและพี่เบบมีพี่ดอมไปรับไปส่ง รถคันนี้จะตกเป็ของเขาทั้งวัน อย่างเช่นวันนี้
เมื่อได้ที่จอดรถแล้ว ที่รักก็รีบคว้ากระดาษอาร์ตขนาดเอห้าที่มีความสำคัญอย่างมากลงจากรถ เขาพาตัวเองไปที่หน้าลิฟต์ด้วยความรีบร้อน ตัวเลขดิจิตอลบอกเวลาที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์คอยเร่งเร้าให้เขาหาวิธีพาตัวเองไปถึงห้องพรีเซนต์งานให้เร็วที่สุด
จะไม่ทันแล้ว ๆ ๆ …
ที่รักเปลี่ยนเป้าหมายจากลิฟต์สองตัวตรงหน้าเป็บันไดเลื่อนแทน คนตัวเล็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่บันไดเลื่อน แม้จะอยู่บนขั้นบันไดที่เลื่อนไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป ทว่าหัวใจที่มันกระวนกระวายก็บังคับให้เขาเสียมารยาทเอ่ยบางอย่างกับคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า
“ขอโทษนะครับ…ขอทางหน่อยครับ”
“ค่ะ ๆ ”
ทันทีที่ผู้หญิงหน้าตาสะสวยหลีกทางให้ ที่รักก็ก้าวเท้าเหยียบข้ามขั้นต่อ ๆ ไปโดยไม่สนใจอะไรเลย ขอเพียงถึงห้องพรีเซนต์งานทันเวลาเป็พอ
คนอื่นจะเข้าใจกับท่าทางรีบร้อนของเขา…
ถ้าเคยยืนกะพริบตาปริบ ๆ อยู่หน้าห้องเพราะอาจารย์ล็อกประตูไม่ให้เข้าเนื่องจากไปสาย…เพียงแค่สามนาทีเท่านั้น
แต่ก็เป็เฉพาะอาจารย์คนนี้น่ะนะ…
“รัก!”
เ้าของชื่อชะงักฝีเท้ากะทันหัน ทั้งที่ห้องพรีเซนต์อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ก้าว แต่เพราะเสียงนุ่มอันคุ้นเคยนั้น ที่รักจึงต้องยอมหยุดและปรายตามองทางต้นเสียง
“อ้าว มิว”
ใครจะไปคิดว่าวันรีบ ๆ แบบนี้…จะบังเอิญเจอแฟนเก่าตอนปีหนึ่งที่ไม่ได้เจอกันเป็ชาติแล้วั้แ่เลิกกันไป
“มาเรียนเหรอ?”
“มาพรีงานน่ะ…มิวล่ะ เพิ่งมาเรียนหรือเพิ่งเลิก”
“เราเพิ่งมาเรียนน่ะ…”
ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จ้องมองแฟนเก่าของตัวเองไม่ละสายตา ที่รักยังคงเป็คนน่ารักเสมอั้แ่เจอครั้งแรกจนถึงตอนนี้ เธอเผลอหลุดยิ้มพอเห็นเรือนผมสีดำนิลที่หล่นมาปรกหน้าจนเกือบทิ่มคิ้ว มันเปียกชุ่มเล็กน้อยเพราะเหงื่อ และคนตรงหน้าน่ารักขึ้นเป็กองเพราะแว่นตาทรงกลมที่แสนจะเข้ากับเ้าตัว ที่รักยังชอบใส่เสื้อนักศึกษาตัวโคร่ง ๆ และไม่ยอมติดกระดุมสองเม็ดบนเหมือนเดิม กางเกงยีนส์สีดำทรงสกินนี่ตัวนั้นอีก
น่ารักและมีเสน่ห์ไม่เปลี่ยนเลยนะ…
“ระ เราขอตัวก่อนนะมิว…เรารีบอะ”
“อื้อ ไปเถอะ ขอให้ผ่านไปอย่างราบรื่นนะ”
และก็…
“ครับ”
และก็ไม่เคยรู้สึกลึกซึ้งกับเธอเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน…
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกโดยนักศึกษาปีสองคณะดิจิทัลมีเดียที่ตอนนี้มีสภาพอิดโรยไม่ต่างกัน สามชั่วโมงกับการพรีเซนต์งานในห้องนั้น เวลาผ่านไปช้าเหมือนเข็มนาฬิกาไม่ยอมเคลื่อนขยับ ทั้งที่เวลาก็เดินไปตามปกติ
“เหี้ย ใครก็ได้บอกกูทีว่าพวกเราแค่พรีเซนต์งาน ไม่ได้ไปวิ่งมาราธอนมา…หัวใจกูถึงได้เต้นเร็วไม่เลิกเลยเนี่ย…”
“อีไทป์…มึงแค่โดนอาจารย์ด่า ไม่ได้ไปวิ่งมาหรอก”
ที่รักอมยิ้มขณะฟังเพื่อนสองคนพูดคุยกัน ถึงเขาจะไม่โดนอาจารย์วิจารณ์งานและด่าจนเสียหมาอย่างไทป์ แต่ก็แทบเอาตัวไม่รอดเพราะรู้สึกพะอืดพะอมตลอดเวลาตอนอยู่บนเวทีเล็ก ๆ นั้น
“ใครจะไปเก่งเท่า รัก นิรันดร์ล่ะ ไม่โดนด่า แถมยังโดนชมจนยิ้มแก้มแทบปริ” พันลี้เอ่ยแซว
“มีสองอย่างอะลี้…ถ้ากูไม่ยิ้มให้อาจารย์ก็คงปล่อยให้อ้วกพุ่งออกมา และถ้าเป็อย่างหลังต่อให้งานดีแค่ไหน กูว่าอาจารย์จิก็คงประเคนเอฟให้”
“เออ จริง ฮ่า ๆ ”
ระหว่างที่พันลี้หัวเราะอยู่นั้น จอยกับไทป์ดันผุดคิดเื่ที่สงสัยั้แ่เมื่อคืนพร้อมกัน ทั้งสองจ้องตาอย่างรู้ใจราวกับเป็คนคนเดียวกัน จอยก้าวเท้าช้าลงกว่าที่รักและพันลี้เล็กน้อยก่อนจะดึงไทป์ให้เดินขนาบข้างกับตัวเอง
“ไทป์ มึงถามดิ”
“ไม่เอา…มึงอยากเสือกนักก็ถามเอง”
“ไม่เอา…กูอยากรู้ แต่มึงนั้นแหละถาม…มึงเป็คนได้ยินนี่อีไทป์”
“ไม่…”
“พวกมึงสองคนอะไรกัน?”
“…”
แฝดนรกต่างบิดามารดาอย่างไทป์และจอยพากันหุบปาก ไม่กล้าเอ่ยพูดเมื่อโดนสายตาของพันลี้จ้องมอง
“มีความลับอะไร? ถ้าไม่พูด อาทิตย์หน้ากูไม่เลี้ยงชาบูนะ”
แล้วคนเห็นแก่ของฟรีอย่างไทป์จะรออะไร…
“ก็จอยมันอยากรู้ว่าพี่ฟ้าหอมหัวไอ้รักจริงไหม?”
“0_____0”
ที่รักเบิกตากว้างด้วยความใ ไปส่งบ้าน พาขี่หลัง เช็ดตัวให้ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ก็ว่าพีคแล้ว แต่มันพีคได้ถึงขั้น….หอมหัวเลยเหรอ
“มึงว่าอะไรนะไทป์?” พันลี้ย้ำถาม
“จอย มึงพูดมั่งเลย”
“ก็ตอนที่ไทป์โทรไปหาไอ้รักอะ…คือจริง ๆ พวกเราแค่เป็ห่วงอยากรู้ว่ารักถึงบ้านหรือยัง แต่พี่ฟ้ารับสายแทน…แล้วไทป์มันก็ได้ยินไอ้รักบอกว่า…”
“ว่าอะไรล่ะจอย มึงก็เล่าเนื้อ ๆ พอ ไม่เอาน้ำดิ” พันลี้เร่ง
“ได้ยินว่า…หอมหัวรักหน่อย”
“ตายไปเถอะ…กูเนี่ยตายไปซะเถอะ” ที่รักเลือกพูดประโยคนี้ออกมาทั้งที่รู้ว่ามันไม่เหมาะกับคนมองโลกในแง่ดีอย่างเขาเลย คิดหนีปัญหาด้วยการตาย…ไม่ใช่ที่รักเลยจริง ๆ
ทว่าเื่ที่ได้รับรู้มานั้น ที่รักคิดว่าการสลายหายไปจากโลกน่าจะดีที่สุดแล้ว ตอนนี้เขาอยากจะเป็แค่เศษฝุ่นที่ลอยโง่ ๆ อยู่ในอากาศซะด้วยซ้ำ
มันจะไม่น่าอายขนาดนี้เลย ถ้าเพื่อน ๆ ไม่ได้รับรู้อะไรมาก และคนคนนั้นที่เขาไปอ้อนตอนเมาไม่ใช่พี่ชายของเพื่อนสนิท
แล้วถ้าคนคนนั้นก็ไม่ใช่หมื่นฟ้าสุดหล่อของใคร ๆ เขานะ…
มันจะไม่น่าอายเลยจริงๆ …
“แล้วหอมจริงไหมวะ?” พันลี้หันไปถามคนตัวเล็กที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้าง ๆ
“ไม่ได้หอมมม…”
“อะ…เสียงสูง สูงกว่านี้ก็ดอยอินทนนท์อะจ้ะ”
“เอางี้ดีกว่า…เมื่อคืนมึงรู้เื่อะไรบ้าง?” พันลี้พยายามเค้นถาม
“ลี้…กูป่วน ๆ ในท้องอะ พาไปหาหมอหน่อยดิ”
“ไม่ต้องเปลี่ยนเื่…เมื่อคืนมึงอ้อนพี่กูเหรอ?”
“ฮือออ…กูไม่รู้…” คนโดนคาดคั้นหมดหนทาง และอับจนปัญญาเกินกว่าจะคิดแก้ตัว ที่รักเปล่งเสียงร้องออดอ้อนเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายเห็นใจแล้วเลิกซักไซ้กันสักที ต่อให้เค้นถามให้ตายก็ไม่มีคำตอบให้อยู่ดีเพราะไม่รู้จริง ๆ ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง T______T
“แล้วพี่กูก็ไม่เล่าอะไรให้ฟังเลย…”
“หอมจริงปะวะ?” จอยกระแซะถามพันลี้ที่เริ่มขมวดคิ้วครุ่นคิด
“กูจะไปรู้ได้ไงล่ะ…”
“แค่คาดเดา…มึงว่าไง?” ไทป์ก็ขี้เสือกไม่แพ้จอย
“โอ๊ย…กูก็ยังอยู่ตรงนี้ สงสารกูบ้าง กูไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว ~”
“พี่ฟ้าหอมหัวมันน่าอายตรงไหนอีแก้มย้อย…หอมจากพี่ฟ้านี่โคตรจะแรร์” จอยว่า
“พี่มึง…พูดเก่งไหมลี้?”
“หมายถึงยังไงไอ้รัก?”
“หมายถึงจะเอาเื่ที่กูไปวอแวเขาไปล้อกับเพื่อน ๆ ไหม ตอนปีหนึ่งที่กูเมาวันเฟรชชี่โดนรุ่นพี่ล้อจนเข็ดเลยอะ…”
“อย่าว่าแต่เอาไปล้อเลย แค่หอมยังเป็ไปไม่ได้…ไม่มีทางอะ ถ้าบอกว่าพี่กูโบกหัวมึงตอนที่อ้อนให้หอมยังเป็ไปได้มากกว่า”
“จริงดิ…งั้นกูก็สบายใจได้แล้วใช่ปะ?”
“ก็เออ…กูมั่นใจแบบนั้น แต่เพื่อความมั่นใจ ไปถามเ้าตัวเลยละกัน”
“เฮ้ย! ไม่เอา”
“มึงจะกลัวอะไรอีแก้มย้อย?” จอยพูด
ไม่ได้กลัว…แต่เขาแค่หวาดเสียว เสียวว่ามันจะเป็เื่จริง ถ้าัับางอย่างที่คล้ายการกอดไม่ติดค้างอยู่ในความรู้สึก ที่รักจะไม่ลังเลและเลือกเชื่อว่าไม่มีทางที่หมื่นฟ้าจะหอมตัวเอง
แต่ก็เพราะไอ้ัันี้มันยังค้างอยู่ในความรู้สึกไง…ก็เลยไม่มั่นใจเท่าไหร่
#กี่หมื่นฟ้า
“เดินเร็ว ๆ สิแก้มย้อย มึงจะเดินอ้อยอิ่งคล้ายคนใกล้ตายไม่ได้”
ที่รักก้าวเท้าเนิบนาบพลางมองหน้าจอยที่ออกปากให้เขาเร่งความเร็ว ใครจะไปอยากเจอพี่ฟ้าคนหล่อของจอยกันล่ะ สาเหตุที่เขาเดินช้า ๆ ก็เพราะไม่เต็มใจจะไปเจอหน้าอีกฝ่ายนี่แหละ
แต่เพราะความเผือกของเพื่อนทั้งสอง รวมถึงพันลี้ที่อยากจะรู้ให้แน่ใจ ที่รักเลยโดนลากมาที่ลานจอดรถ สถานที่นัดหมายส่งมอบคีย์การ์ดคอนโดของหมื่นฟ้าที่ลืมไว้ที่บ้าน แล้วเ้าตัวก็ไหว้วานให้น้องชายเอามาให้ที่มหา’ ลัย เพราะความขี้ลืมของหมื่นฟ้าแท้ ๆ ทำให้เขาต้องแบกหน้ามาเจอตอนที่หัวใจยังไม่พร้อมรับความจริงอะไรทั้งนั้น
“พี่ฟ้า…”
ใบหน้าจิ้มลิ้มที่ในตอนนี้อมทุกข์มากกว่าปกติเงยมองข้างหน้าหลังจากที่เดินก้มหน้ามองพื้นตลอดทาง
เป็ในตอนนั้นที่ที่รักเห็นคนตัวสูงใหญ่เ้าของแผ่นหลังกว้างกำลังโน้มตัวเข้าไปในรถสปอร์ตคล้ายกำลังหาอะไรบางอย่าง
แต่เห็นแผ่นหลังได้ไม่นานคนตัวสูงก็ค่อย ๆ ถอยตัวออกจากรถก่อนปิดประตูฝั่งคนขับที่เมื่อกี้เ้าตัวเปิดค้างไว้
“คีย์การ์ดล่ะ?”
เพียงแค่ได้ยินเสียงทุ้มต่ำนั้น ที่รักก็รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว จอยก็พยายามจะฉุดกระชากให้เข้าใกล้บริเวณที่สองพี่น้องตระกูลพิสุทธิ์ยืนอยู่ ที่รักจึงเลี่ยงการเผชิญหน้าด้วยการหันหน้ามองทางอื่นแทน
“อะ คีย์การ์ด”
“อือ…”
เขายืนฟังบทสนทนาเงียบ ๆ พลางภาวนาให้พันลี้ลืมเื่นั้นและบอกลาพี่ชายเร็ว ๆ ที่รักรู้ว่าตอนนี้เป็โอกาสที่ดีที่ควรจะขอโทษและขอบคุณหมื่นฟ้าอย่างที่พี่เบบแนะนำ แต่ทว่าเขายังไม่พร้อมจริง ๆ
สู้หน้าไม่ไหวหรอก…
“พี่ฟ้า…เมื่อคืนไอ้รักมันขอให้พี่หอมหัวเหรอ?”
T________T โธ่…พันลี้ ลืม ๆ ไปไม่ได้เหรอ เป็เพื่อนกันแท้ ๆ ไว้ชีวิตสักครั้งก็ไม่ได้ จะเป็คนตรงไปถึงไหนเล่า! นิสัยตรง ๆ อย่างขวานผ่าซากเก็บไปใช้กับเื่อื่นเถอะ!
ได้แต่คิดตัดพ้อเพื่อนในใจ ไม่กล้าเอ่ยคำใด ๆ ออกไป ที่รักพยายามเงียบให้มากที่สุดจะได้ไร้ตัวตนในสถานที่แห่งนี้ แต่เพราะคนโดนถามเว้นช่องว่างนานเกินไป ความเงียบเลยเข้ามาแทรกแซง บทสนทนาระหว่างสองพี่น้องจึงหยุดชะงักลง
และความเงียบจนได้ยินเสียงลมพัดผ่านกำลังบีบคั้นให้ที่รักแสดงตน เขาหันไปมองทางพันลี้และร่างสูงใหญ่
ที่รักเพิ่งจะเคยเห็นหมื่นฟ้าชัด ๆ เต็มตาก็คราวนี้
หมื่นฟ้าของใครหลายคนหล่อเยอะขนาดนี้…ใครไม่ปลื้มก็ให้รู้ไป
ที่รักชมผู้ชายด้วยกันเองไม่เป็หรอก คำพูดของเขาเลยดูแปลก ๆ ไปสักหน่อย คนล่าสุดที่เขาชมว่าหล่อตั้งเยอะก็คือพันลี้ จนกระทั่งตอนนี้ที่ที่รักคิดว่ามีคนหล่อเยอะพอ ๆ กับพันลี้แล้ว
ก็คนพี่ตระกูลพิสุทธิ์นี่แหละ…
แม้จะดูดีคนละแบบ แต่ก็จัดว่าหล่อเยอะทั้งคู่…
ทว่าทุกความคิดพลันหยุดลงเมื่อดวงตาคู่คมนั้นกำลังจ้องมองมาที่เขา หมื่นฟ้าไล่สายตามองั้แ่หัวจรดเท้าโดยที่เ้าของร่างอย่างเขาไม่สามารถขัดขืนได้เลย
ที่รักกลืนน้ำลายลงคอจนดังอึกก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับกระดุมเม็ดที่สอง้าเพื่อติดปิดให้มิดชิด แม้จะเป็ผู้ชายแต่ก็ต้องรักและหวงตัวเองเหมือนกันนั่นแหละ ใช่ว่าจะปล่อยใครมาคิดลามกด้วยได้
เขาอยากให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดแบบตัวเองที่โดนมองอย่างนั้น แม้ในตอนนี้แค่ควบคุมสติให้อยู่กับตัวยังเป็เื่ยาก แต่เขาก็อยากจะเอาคืนบ้าง ที่รักจึงขอเอาคืนด้วยการมองคนตัวสูงใหญ่ั้แ่หัวจรดเท้า
ดูท่าหมื่นฟ้าจะเป็พวกเปิดเผยหรืออีกอย่างคือเป็คนขี้ร้อน กระดุมสามเม็ด้าของเสื้อนักศึกษาแขนสั้นที่ใหญ่กว่าตัวจึงถูกปลดออก เผยให้เห็นลายสักภาษาอังกฤษสีดำที่เป็ตัวเขียนอยู่บนหน้าอก แต่เพราะมันโผล่พ้นเนื้อผ้ามาเพียงแค่บางคำเท่านั้น ที่รักจึงไม่รู้ว่าประโยคภาษาอังกฤษที่อยู่บนตัวอีกฝ่ายมีความหมายว่าอย่างไร
เขาคงต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายดูดีมากจริง ๆ เพราะบนร่างของคนตัวสูงมีเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชิ้น แต่ยังน่ามองขนาดนี้ ความหล่อของหมื่นฟ้าไม่ธรรมดาเลย
จะมีสักกี่คนที่ดูดีด้วยแค่การสวมเสื้อนักศึกษาแขนสั้นตัวใหญ่ ๆ ทับข้างในกางเกงยีนส์สีซีดกับรองเท้าผ้าใบสีขาวแบรนด์ดัง และใส่นาฬิกาเรือนเงินหน้าปัดสีเขียวมรกตราคาแพงอีกเรือน เท่านี้จริง ๆ เพียงแค่สี่ชิ้น แต่ดูดีระดับร้อยแล้ว
นี่เขายังไม่นับรวมใบหน้าหล่อร้ายนั้นอีก ถ้าจะให้พูดก็มีแต่ความอิจฉาที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจ แต่ถึงอย่างนั้นที่รักก็ยังต้องพูดคำเดิมซ้ำ ๆ ว่าหมื่นฟ้าดูดีไร้ที่ติจริง ๆ ดวงตาคู่คมน่าหลงใหลยามได้สบตา จมูกที่โด่งเป็สันราวกับจับปั้น ริมฝีปากอวบอิ่มสีธรรมชาติ ไหนจะเรือนผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตที่เ้าตัวปล่อยเป็ธรรมชาติไม่เซตเป็ทรง แถมยังอันเดอร์คัตเปิดข้างเพิ่มความเท่อีก
หล่อกระชากตับสาว ๆ ไปเลย…
พอไล่สายตามองทั้งร่างคนตัวสูง ที่รักก็ได้แต่ถอนหายใจคิดน้อยใจที่ตัวเองหล่อไม่ได้ครึ่งของอีกฝ่ายเลย
ไหนจะแขนที่เป็มัดกล้ามน่าอิจฉานั้นอีก ที่รักไม่ได้เห็นกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ บนร่างของหมื่นฟ้าอย่างชัดเจนนักหรอก แต่ดูจากเส้นเืที่ปูดนูนอยู่บนแขนและหลังมือนั้นแล้ว เดาได้ว่าหมื่นฟ้าคงชอบออกกำลังกายและต้องมีหุ่นที่น่าอิจฉามากแน่ ๆ
แค่ส่วนสูงก็น่าอิจฉาจะแย่แล้ว
“ว่าไงล่ะพี่ฟ้า?”
และคำถามของเพื่อนก็เรียกสติเขาให้กลับมาอีกครั้ง
พอเถอะพันลี้…ถ้ายังอยากเป็เพื่อนกันอยู่น่ะนะ
“เ้าตัวเขาว่ายังไงล่ะ?”
ประโยคย้อนถามของหมื่นฟ้าทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนในท้องมากกว่าเดิม บางทีถ้าอีกฝ่ายพูดอะไรมากกว่านี้ เขาอาจจะอ้วกพุ่งใส่หน้าจอยก็ได้
“มันบอกไม่รู้…”
“…”
และปฏิกิริยานิ่งเงียบไม่ตอบกลับของหมื่นฟ้าทำให้พันลี้ค่อนข้างมั่นใจว่าเื่ที่ถามไปนั้นไม่เป็ความจริง เพราะพี่ชายไม่ชอบตอบคำถามสักเท่าไหร่ ไม่ชอบอธิบาย เ้าตัวมักจะบอกว่าถ้าหากใครเข้าใจผิดไปแล้ว ต่อให้แก้ตัวยังไง ทุกคนก็ยังคงคิดเหมือนเดิม ก็เพราะคนเ่าั้เลือกจะเชื่อเื่ไม่จริงั้แ่แรก ขอเพียงแค่เรารู้ตัวเองก็พอ ไม่จำเป็ต้องอธิบายให้มากความ ท้ายที่สุดทุกคนก็จะลืมไปเอง
แต่ถ้าพี่ชายของเขาทำจริง ๆ พันลี้ก็มั่นใจอีกว่าพี่ฟ้าจะต้องยอมรับทันทีอย่างที่เ้าตัวเป็เสมอมา
พันลี้หันไปมองเพื่อนตัวเล็กที่ยืนนิ่งแสดงสีหน้าเป็กังวลอยู่ด้านหลัง ก่อนเอ่ย “กูบอกแล้วไงไอ้รักว่าไม่มีทางเป็ไปได้ เื่นี้ไทป์กับจอยแม่งมโนกันไปเองอีกแล้ว คราวนี้มึงก็เลิกอาย เลิกกังวลได้แล้ว พี่กูไม่ได้หอมหัวมึงสักหน่อย”
คนฟังแย้มยิ้มก่อนพยักหน้าหงึกหงักอย่างโล่งอก แตู่เาที่ถูกยกออกไปจากอกได้ไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็หล่นลงมากดทับให้หนักใจอีกครั้ง เพราะที่รักดันเห็นคนตัวสูงระบายรอยยิ้มบางเบา ทำให้เขารู้สึกระแวง พอหมื่นฟ้ารู้ตัวว่าเขากำลังจ้องมองอยู่ รอยยิ้มบางเบาที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าก็จางหายไปในทันที
พันลี้ที่มัวแต่หันมาให้กำลังใจเพื่อนสนิทอย่างเขาจึงไม่เห็นรอยยิ้มของพี่ชายตัวเอง แต่ที่รักมั่นใจว่าจอยและไทป์เห็นแน่ ๆ
“งั้นพี่ไปก่อน…”
“อือ…” พันลี้ตอบรับพี่ชาย
ที่รักมองคนตัวสูงที่มีผิวขาวซีดเปิดประตูรถเตรียมจะออกไปจากที่นี่ ทว่าหมื่นฟ้ากลับหันมาหาพวกเขาอีกรอบ
“สระผมด้วยนะ…หัวเริ่มเหม็นแล้ว”
และหมื่นฟ้าของใคร ๆ ก็ขึ้นรถ พารถเบนซ์สปอร์ตสีดำคันหรูเคลื่อนออกไปจากลานจอดรถด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้เด็กปีสองสี่คนยืนงงในดงมหา’ ลัยอยู่อย่างนั้น แม้แต่พันลี้ยังเบิกตาโพลงและเดินมาเขย่าตัวเขา
“นี่พี่กูหอมหัวมึงจริงดิ…”
“มะ ไม่จริงหรอก พี่มึงชอบปั่นหรือเปล่า? เห็นกูยืนทำหน้าโง่ ๆ แล้วอยากแกล้งมั้ง…”
จอยยกมือฟาดไปที่ไหล่ไทป์ดังป้าบ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงสะใจ “กูว่าแล้ว!”
“กูว่าเรากำลังเบลอกัน…ไปพักกันก่อนไหม?” ที่รักแนะนำ
“ไม่เบลอ ชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะกูได้ยินเต็มสองรูหู เสียงมึงอ้อนมาก ๆ พี่ฟ้าไม่ใจอ่อนให้รู้ไปดิ”
“เออ แล้วรอยยิ้มพี่ฟ้าเมื่อกี้อีก” จอยช่วยไทป์การันตี
“แต่พี่กู….” พันลี้อยากจะการันตีว่าพี่ตัวเองใจแข็งมาก ๆ และไม่ยอมทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด ขนาดแฟนเก่าพี่ฟ้าที่คบกันมาตั้งนาน พี่ชายยังไม่ค่อยตามใจเลย แต่ประโยคคำพูดเมื่อกี้ของพี่ยังวนเวียนอยู่ในหัวเขาไม่เลิก พันลี้เลยไม่กล้ายืนยันอะไรแล้ว “…กูไม่รู้พี่กูแล้ว…ห่าอะไรก็ไม่รู้ ปวดหัวไปหมด เดาไม่ถูกโว้ย”
“ไม่จริง กูว่าไม่จริงหรอก”
“รัก…มึงเหมือนคนขาดสติไปแล้วตอนนี้” จอยพูด
“ถ้าพี่กูหอมจริงคือแปลกเกินไปแล้วอะ…พี่ฟ้าไม่ได้ชอบผู้ชาย แล้ว…แล้ว แล้วแม่งก็เป็ไปไม่ได้แน่ ๆ อะ” แต่ถ้าหากพี่ชายจะชอบผู้ชายขึ้นมาจริง ๆ พันลี้ก็ไม่ได้คิดรังเกียจ เพียงแค่ตอนนี้มันยากจะเชื่อเท่านั้นเอง
“กูก็ว่างั้นแหละลี้…พี่ฟ้าปั่นชัวร์ ๆ ” ที่รักพูดพร้อมฝืนยิ้มให้เพื่อน
“เออ!! …ไอ้รัก ที่บ้านมึงมีกล้องวงจรปิดนี่…เปิดดูเลยดิวะ”
“…”
โห…พันลี้คิดว่าเขาเป็คนใจแข็งขนาดไหนกัน คิดจะให้เขาเห็นเป็ภาพเคลื่อนไหวเลยเหรอ
ที่รักส่ายหน้าจนแก้มสั่น เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะกลัวอะไรกับแค่การดูกล้องวงจรปิดเพื่อยืนยันความจริง
“มึงต้องใจแข็งไอ้รัก กลับไปดูซะ ไม่งั้นกูต้องอกแตกตายเพราะคำพูดคลุมเครือของพี่ฟ้า…ต่อให้กูไปถามอีกรอบแม่งก็ไม่บอกความจริงหรอก ไอ้รัก…มึงต้องไปดูเลยว่าตัวเองโดนหอมหัวจริง ๆ หรือเปล่า”
“โอ๊ย…ถ้าโดนจริงกูก็ไม่ถือ อย่าให้กูไปดูเลยยย…”
นาทีนี้ไม่เอาอะไรแล้ว ไหว้ล่ะ พอเถอะ ตัวร้อนไปหมดจนจะะเิกลางลานจอดรถแล้วเนี่ย T____T
“งั้นมึงไปหาพี่ฟ้ากับกูที่ร้านอีกรอบไหม กูอยากจะรู้ให้ชัด ๆ ไปเลย ไม่งั้นนอนไม่หลับแน่ ๆ ”
“ลี้…กูกราบ…”
“ปะ จอยไทป์ไปปะ?”
พันลี้เอ๊ย…ฟังกันบ้าง ไอ้คนเืร้อน ถ้าโดนเร่งเร้าอีกสักครั้งพร้อมจะะเิตัวเองจริง ๆ แล้วนะ
“พวกกูไปด้วย”
“ฮือ..งั้นกูกลับไปดูกล้องวงจรปิดก็ได้…กูไม่อยากเจอพี่ฟ้าตอนนี้อะ…เพราะไม่รู้เมื่อคืนกูไปทำอะไรใส่เขาไว้บ้าง”
กลับไปดูกล้องวงจรปิดให้รู้แล้วรู้รอดกันไป ให้เขาได้อับอายคนเดียวดีกว่าจะต้องไปอับอายต่อหน้าหมื่นฟ้า
ที่รัก…อย่าได้แตะเหล้าอีกเลยนะ จำ!! ใส่หัวกลม ๆ ไว้เลย T____T
* (1) ไทร์โปร หรือ Typography เป็วิชาที่สอนเกี่ยวกับการจัดวางและการออกแบบตัวอักษรเพื่อการสื่อสาร หรือเป็การออกแบบตัวอักษร (Typefaces) และการจัดวางฟอนต์ ให้เหมาะสมสวยงามกับพื้นที่ว่างและองค์ประกอบต่างๆ ที่ใช้ในงานออกแบบสื่อสาร
TBC
#กี่หมื่นฟ้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้