จะดีจะร้ายก็กล่อมฮูหยินเยวี่ยลงได้แล้ว เยวี่ยเจาหรานจึงกล่าวลา แล้วกลับไปยังเรือนของตน ตลอดทางแม้เขาจะก้มหน้าก้มตาเดินตรงไป แต่ในใจกลับยากจะหลีกเลี่ยงความคิดมาก ถึงอย่างไรเื่ที่เยวี่ยเยียนหรานส่งจดหมายมาอย่างกะทันหันนั้น ก็ทำให้เยวี่ยเจาหรานประหลาดใจและเหลือเชื่ออย่างมาก หรือว่าเยียนหราน มีความคิดที่จะกลับมา?
กลับมาถึงเรือน เยวี่ยเจาหรานก็พลิกหงายพลิกคว่ำ แม้จะใส่ชุดนอนเอนกายอยู่บนเตียง แต่กลับยังคงพลิกตัวไปมาอย่างหลับไม่ลง นอนตะแคงซ้ายที ตะแคงขวาที แต่ก็ยังนอนไม่หลับ
ความคิดมากมายล่องลอยอย่างสับสนอลหม่านอยู่ในหัว ยามหลับตาสิ่งที่เห็นกว่าครึ่งนั้นคือเงาร่างของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ไม่รู้ว่ายามนี้สถานการณ์ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะเป็เช่นไรบ้าง จะหลบหลีกฝ่ามือมฤตยูของมารดานางและการเกาะแกะอย่างบ้างคลั่งของสวี่ชิวเยวี่ยได้รอดพ้นหรือไม่นะ?
เป็เช่นนั้นอยู่ไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไร ในที่สุดเยวี่ยเจาหรานก็ค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา ท่ามกลางความยุ่งเหยิงของเื่เก่าๆ ที่ทับซ้อนกันซ้ำไปซ้ำมา กระนั้นแม้แต่ในความฝัน เขาก็ยังไม่อาจหลีกหนีจาก ‘กรงเล็บอันชั่วร้าย’ ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไปได้ เขายังคงถูกเงาเดิมในความฝันตามรังควานจนไม่ได้หลับสบาย...
ในศาลบรรพชนอันใหญ่โตของจวนเยี่ยน มีเพียงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั่งคุกเข่าสัปหงกอยู่เพียงผู้เดียว ท่ามกลางแสงเทียนสว่างไสว ที่อยู่เป็เพื่อนเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นมีแค่ป้ายิญญาของบรรพชนตระกูลเยี่ยนและธูปบูชาเท่านั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเงยหน้าขึ้นอย่างจำใจ มองไปยังป้ายิญญาที่แน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนอย่างเหม่อลอย ในหัวสมองนั้นนึกถึงเยวี่ยเจาหรานที่ยามนี้คงจะกินอิ่มนอนหลับสบายใจเฉิบอยู่ที่จวนเยวี่ยขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว...
ไม่รู้ว่าเยวี่ยเจาหรานกลับไปคราวนี้ จะถูกคนอื่นเข้าใจผิดเป็ว่าถูกตนใช้ความรุนแรงในครอบครัวหรือไม่นะ?
ไม่รู้ว่าฮูหยินเยี่ยนนั้นความจำไม่ดีจนลืมลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนไปแล้ว หรือว่าไม่ได้คิดที่จะดูแลเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมาั้แ่แรก ผ้าห่มไหมกันหนาวที่พูดกันไว้ดิบดีจนครึ่งค่อนคืนแล้วก็ยังไม่ได้ส่งมาให้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บในค่ำคืนอันคาบเกี่ยวของฤดูร้อนและใบไม้ร่วง ไม่มีทางเลือก ได้แต่กอดตนเองที่อ่อนแอเล็กจ้อยและสิ้นไร้หนทางเอาไว้แน่น
ไม่เป็ธรรม อ่อนแอ และทรมาน...
สามคำนี้สามารถใช้พรรณนาสภาพความเป็จริงของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยามนี้ได้ไม่ผิดไปเลย
หนาวเหน็บอยู่อย่างทึ่มทื่อเช่นนั้นค่อนคืน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหลับๆ ตื่นๆ เดี๋ยวมีสติ เดี๋ยวสะลึมสะลือ กระทั่งแม้แต่ตัวนางเองก็เริ่มแยกไม่ออกว่ากำลังฝันอยู่หรือกำลังอยู่ในความเป็จริง... จนเมื่อตอนที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในม่านตาของตนนั้น ก็คือท้องฟ้าอันสดใสหลังจากที่ถูกใครบางคนหามออกมาจากศาลบรรพชน
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่เอนกายอยู่บนเตียงปวดเมื่อยไปทั้งร่าง ที่ขมับก็ปวดตุบๆ เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังอยู่รอบตัว แต่นางกลับไม่รู้สึกว่ามีใครกำลังจับชีพจรดูอาการให้ตนเลย... น่าประหลาดนัก คาดไม่ถึงว่าตอนนี้ตนจะอ่อนแอถึงเพียงนี้ แค่ทนหนาวอยู่ในศาลบรรพชนคืนเดียว ก็ไปคุกเข่ารายงานอยู่หน้ายมบาลเสียแล้วหรือ?
อ้อๆ ไม่ใช่สิ ดูจากสภาพตอนนี้ ต่อให้จะรายงานก็คงต้องนอนรายงานแล้ว ถึงอย่างไรยามนี้ศีรษะของนางก็ยังอิงอยู่บนหมอนอยู่เลย
“แค่ก... แค่กๆ ...” เสียงไอเบาๆ ดังขึ้นสองสามครั้ง ในลำคอทะลักกลิ่นคาวเืขึ้นมา เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วลืมตาขึ้นมาอย่างยากเย็น นางไม่สนใจว่าผู้ที่เฝ้าตนอยู่นั้นคือใคร พลันเอ่ยถามอย่างสั่นเครือ “ข้า ข้าคงไม่ได้หนาวจนเป็วัณโรคใช่หรือไม่...”
“หลิ่วเอ๋อร์! เ้าตื่นแล้ว!” เป็เสียงของฮูหยินเยี่ยน น้ำเสียงนั้นต่อให้จะดังมาจากนรกภูมิ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน
ในน้ำเสียงของเยี่ยนฮูหยินเยี่ยนนั้นมีความตื่นเต้นและยินดีปรีดา ก่อนจะเอ่ยอย่างขุ่นเคืองอีกครั้ง “นี่! อย่าพูดจาเหลวไหล วัณโรคอะไรกัน? เ้าก็แค่เป็หวัดไข้ขึ้นเท่านั้นแหละ!”
ที่แท้ก็แค่เป็หวัดมีไข้นี่เอง โชคยังดี… โชคยังดีที่ไม่ได้เป็วัณโรค เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ยังคงสะลึมสะลือทั้งใทั้งยินดี ก่อนจะกลับเป็ไม่ดีใจอีก นี่ตนแค่เป็ไข้ไม่สบายไปชั่วครู่ชั่วยามก็ไปพบยมบาลเสียแล้วหรือ? เสียแรงที่ตนตั้งใจเรียนวรยุทธ์มาตลอดชีวิต เหตุใดจึงอ่อนปวกเปียกเช่นนี้เล่า!
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ตกอยู่ในความเศร้าสลดหลับตาลงอีกครั้ง เตรียมที่จะนิ่งเงียบต่อไปเช่นนั้นให้ช่างปะไร แต่กลับถูกฮูหยินเยี่ยนดึงหนังตาขึ้นมาอย่างไร้ปรานี เล็บที่ตัดแต่งอย่างบรรจงและทาด้วยน้ำมันทาเล็บสีแดงสดของฮูหยินเยี่ยนเกือบจะทิ่มเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตาบอดไปแล้ว...
“ในเมื่อตื่นแล้วก็อย่านอนต่ออีกเลย เ้าหลับไปเช่นนี้แม่ก็ใจหายใจคว่ำ!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วในยามนี้ถูกมารดาของตนปลุกให้ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเดิมทีตนยังไม่ได้ตกนรก แต่นางก็รู้สึกว่าคงอีกไม่นานนัก แถมมือสังหารอาจจะเป็มารดาของนางอีกด้วย
“ท่าน... ท่านแม่...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเพิ่งจะลืมตาขึ้นมา ก็รีบหลบเลี่ยงฝ่ามือมฤตยูของฮูหยินเยี่ยนอย่างลนลาน ทั้งพยายามที่จะกระถดตัวถอยหนี “ท่านเบามือหน่อยไม่ได้หรือ? เมื่อครู่ข้าเกือบจะนึกว่าข้างกายข้าคือพญายมแล้วเสียอีก...”
“เ้า! พูดจาเพ้อเจ้อ เ้าเป็ไข้จนเลอะเลือนแล้วหรืออย่างไร?” ฮูหยินเยี่ยนน้อยอกน้อยใจเล็กน้อย ก่อนจะก่นด่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไปทีหนึ่ง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วระงับอารมณ์แล้วจึงถอนหายใจ “พอได้แล้ว ที่ข้าเป็ไข้ไม่สบายเพราะอะไรท่านไม่คิดเลยหรือ? เมื่อคืนข้ารอผ้าห่มของท่าน รอจนดอกไม้โรยหมดแล้ว!”
พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของฮูหยินเยี่ยนก็เผยสีหน้าเก้อเขินออกมาเล็กน้อย นางหัวเราะ พลางยกมือขึ้นจัดชายผ้าห่มให้กับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่นอนอยู่ “โธ่เอ๊ย เื่เมื่อวานน่ะพูดแล้วเื่มันยาว แม่เล่นไพ่นกกระจอกกับน้าๆ ของเ้าแพ้จนร้อนใจมากไปหน่อย พริบตาเดียวก็ลืมเื่ที่เ้าโดนขังอยู่ในศาลบรรพชนไปเสียแล้ว!”
พูดแล้วเื่มันยาว? ฟังดูแล้วก็เหมือนจะไม่ได้ยาวสักเท่าไรเลยนี่! ยิ่งกว่านั้นยังเป็เหตุผลที่น่าเสียใจเช่นนี้อีกต่างหาก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วปิดตา พยายามบีบน้ำตาเพื่อพิสูจน์ความเศร้าใจของตนกับฮูหยินเยี่ยน สุดท้ายน้ำตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ไม่ไหลออกมา ฮูหยินเยี่ยนเองก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเศร้าของบุตรสาวของนางเช่นกัน...
แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นรู้สึกถึงความเศร้าของมารดาตนได้จริงๆ ทว่าไม่ใช่ความเศร้าเพราะตนเป็ไข้น้ำมูกไหลหรอก หากแต่เป็เพราะนึกถึงเงินที่เสียไพ่ไปเมื่อคืนนั่นต่างหาก!!!
หากยามนี้มีหมอดูสักคนวิ่งเข้ามาบอกว่า ความจริงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของฮูหยินเยี่ยน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็คงจะเชื่อทันทีโดยไม่คิดเลย อีกทั้งยังจะตัดขาดความยุ่งเหยิงพวกนี้ทิ้งไปแล้วหนีออกจากบ้านไปร่อนเร่พเนจร ตามหาแม่ที่ดีผู้คู่ควรให้ตนหลั่งน้ำตา!
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทอดถอนใจอย่างเงียบงัน จนถึงที่สุดก็เลือกที่จะปิดปากนิ่งเงียบ
“เอาเถิดเอาเถิด อย่าน้อยใจไปเลย ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ!” ฮูหยินเยี่ยนปลอบใจตัวเองเก่งนัก ทั้งยังปลอบโยนผู้อื่นได้ดีอีกด้วย ทว่าคำพูดนั้นแทนที่จะเรียกว่าเป็การปลอบใจ ไม่สู้เรียกว่าเป็การหลอกตัวเองจะดีกว่า ตรงกันข้ามนางเองก็ไม่ได้ใส่ใจอาการของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเท่าไรนัก นึกเพียงว่าคืนนี้จะเล่นไพ่มือขึ้นหรือไม่ก็เท่านั้น
“แค่ก แค่กๆ ...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วโมโหจนไฟโทสะแล่นเข้าหัวใจ ร่างกายครึ่งหนึ่งดีดตัวขึ้นมาจากเตียง “ท่านแม่ นี่ท่านบอกว่าข้าดีขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ? อย่างน้อยท่านก็ตามหมอสักคนมาจับชีพจรให้ข้าอย่างจริงจังหน่อยเถอะ?”
ฮูหยินเยี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็ทำเป็ขึ้นเสียง “ไม่ได้ พ่อเ้ากำชับไว้แล้ว คนที่รู้ตัวตนของเ้านั้นยิ่งน้อยยิ่งดี หากให้หมอมาจับชีพจร ความจริงที่เ้าเป็สตรีจะไม่แตกหรือ? เ้าวางใจได้ เมื่อก่อนแม่เป็หมอทหารติดตามพ่อเ้า โรคภัยเล็กน้อยแค่นี้ให้แม่จัดการไม่มีปัญหาหรอก”
ถึงแม้ฮูหยินเยี่ยนจะคุยโวโอ้อวดเอาไว้ แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ยังสงสัยอยู่ลึกๆ ถึงอย่างไรเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็เคยเห็นรอยคมมีดที่ยาวสามถึงห้ากงเฟิน [1] ของบิดานาง คิดว่านั่นเป็รอยแผลจากสนามรบเช่นนั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่
นั่นเป็รอยมีดฮูหยินเยี่ยนหมอทหารที่กรีดพลาดตอนตัดไหมหลังผ่าตัดให้กับแม่ทัพเยี่ยนต่างหาก!
ใช่แล้ว เป็หมอทหารผู้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ที่ทำให้แม่ทัพเยี่ยนได้เพิ่มเติมรอยขีด... อ้อไม่สิ รอยกรีดอันทรงเกียรติและแจ่มชัดยิ่งลงบนชีวิตที่แทบจะไม่เคยพ่ายแพ้ของเขา
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนอนอยู่บนเตียง อยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตา รู้สึกว่าช่างไร้อำนาจอธิปไตย ไร้มนุษยธรรม ถึงขนาดแค่ตามหมอขอยาก็ยังถูกห้ามปราม มีชีวิตอยู่ไปวันๆ เช่นนี้ สุดท้ายแล้วมันจะไปมีอะไรน่าอภิรมย์กัน!
เชิงอรรถ
[1] กงเฟิน (公分) คือหน่วยวัดความยาว เิเ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้