ตำหนักใหญ่เงียบกริบ นางกำนัลโบกพัดใหญ่เกิดเป็ลมเย็นสบาย
ฉินรั่วขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ “เมื่อครู่ใต้เท้าเสิ่นไม่ได้บอกว่าหลินซูตายเพราะถูกแทงไม่ใช่หรือ? แม่นางหรงเป็คุณหนูตระกูลใหญ่ จะไปมีวิทยายุทธ์ได้อย่างไร? หลินอวี่เอาอะไรมาตัดสินว่าแม่นางหรงเป็คนร้ายสังหารพี่ชายของนางกัน?”
เสิ่นจือเหยียนเลิกคิ้วขึ้น “แม่นางหลินอวี่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าแม่นางหรงเป็ผู้ร้ายสังหารพี่ชายของนางจริงๆ แต่นางคิดว่าแม่นางหรงคือคนร้าย”
“นี่เป็การตัดสินอย่างสะเพร่าเกินไปแล้ว” หรูอี้กล่าว
“เพราะเ้าเมืองอี้โจวไม่อาจไขคดีนี้ได้ หลินอวี่จึงนำศพพี่ชายมาแจ้งความที่เมืองหลวง?” มู่หรงฉือกลับรู้สึกว่าคดีนี้มีจุดที่แปลกอยู่เล็กน้อย
“เพราะว่าแม่นางหรงเป็ลูกสาวคหบดีในเมืองหลวง นางจึงตั้งใจจะมาแจ้งความที่เมืองหลวง” เขาพูดหน้าใส
“หากยึดเอาแค่นามสกุลจะหาแม่นางหรงเจอหรือ?” ฉินรั่วเบ้ปาก
“ข้าได้สั่งการลงไปแล้ว ให้คัดครอบครัวสกุลหรงในเมืองหลวงออกมา เชื่อว่าอีกไม่นานคงจะได้ผลลัพธ์” เสิ่นจือเหยียนยิ้มแล้วพูด
“เ้าจะให้แม่นางหลินอวี่พักที่ไหน?” มู่หรงฉือถาม
“ข้าจะให้นางไปพักที่เรือนหยาเหมินของศาลต้าหลี่ชั่วคราว เพราะนางใช้เงินไปจนหมดแล้ว อีกทั้งที่เรือนหยาเหมินก็ขาดคนทำงานทั่วไปพอดี ข้าจึงให้นางไปช่วยงานในโรงครัว ดูแลทำความสะอาดห้อง” ใบหน้าหล่อเหลาของเขาทอประกายชื่นชม “แม่นางหลินฝีมือคล่องแคล่ว ทำงานหนักไม่บ่น เป็แม่นางที่ดีผู้หนึ่ง”
นางมองออกว่าแม่นางหลินอวี่เป็คนจิตใจบริสุทธิ์ อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ เป็คนที่ไม่ยอมให้ผู้ใดรังแก นางจึงยื่นมือเข้าไปช่วย
พูดมาตั้งมากมาย ในที่สุดเสิ่นจือเหยียนจึงนั่งลงทานแตงโมสด
ตอนนี้เองก็มีขันทีวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางแตกตื่น “รายงานเตี้ยนเซี่ย ตำหนักจิ่งหงส่งข่าวมาว่าเกิดเื่ขึ้นระหว่างองค์หญิงกับคุณชายกงพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงฉือใ “เกิดเื่อะไรขึ้น?”
ขันทีคนนั้นตอบกลับ “หนูฉายไม่รู้รายละเอียดของเื่ราว หนูฉายได้ยินข้าหลวงคนอื่นๆ พูดขึ้นมาจึงรีบมารายงานเตี้ยนเซี่ยพ่ะย่ะค่ะ”
เสิ่นจือเหยียนขมวดคิ้วด้วยความใ “เหตุใดคุณชายกงถึงมาอยู่ในวังได้?”
นางยืนขึ้นแล้วพูด “เ้าไปตำหนักจิ่งหงกับเปิ่นกง”
ทั้งสองรีบไปยังตำหนักจิ่งหง หน้าตำหนักมีองครักษ์กับข้าหลวงยืนเรียงกันเป็แถว มีคนพูดคุยซุบซิบกัน มีคนมองไปทางตำหนักใหญ่ด้วยความร้อนใจ
ครั้นเห็นองค์รัชทายาทมาถึง เหล่าองครักษ์และข้าหลวงต่างพากันโค้งตัวคำนับ “ถวายบังคมองค์รัชทายาท ใต้เท้าเสิ่น”
มู่หรงฉือมองเข้าไปด้านในตำหนักใหญ่แล้วเอ่ยถาม “ขันทีผู้ดูแลอยู่ที่ใด?”
ขันทีอายุราวยี่สิบปีคนหนึ่งเดินออกมา โค้งตัวทำความเคารพแล้วพูด “หนูฉายคือผู้ดูแลตำหนักจิ่งหงพ่ะย่ะค่ะ”
นางเห็นขันทีคนนั้นใจนตัวสั่นก็ถามอย่างไม่สบอารมณ์ “เกิดเื่กับองค์หญิง ไม่ใช่ว่าเ้าควรจะคอยจัดการอยู่ด้านในหรือ?”
“องค์หญิงไม่ชอบให้หนูฉายคอยดูแลอยู่ในตำหนักพ่ะย่ะค่ะ มีเพียงหยวนซิ่วคอยดูแลอยู่ข้างกายองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนนั้นตอบกลับเสียงสั่นเทา
“ไร้ประโยชน์!” มู่หรงฉือตวาดอย่างโมโห
“เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่?” เสิ่นจือเหยียนขมวดคิ้วถาม
“เมื่อราวครึ่งชั่วยามที่แล้ว คุณชายกงมาเยี่ยมองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงอารมณ์ดีมาก ให้พวกหนูฉายยกสำรับเข้าไปจากนั้นหนูฉายก็ออกมา ในตำหนักมีเพียงหยวนซิ่วเป็ผู้ดูแล” ขันทีคนนั้นตอบ “ผ่านมาได้ราวหนึ่งถ้วยชา หนูฉายเห็นหยวนซิ่วออกมาเหมือนจะไปเข้าห้องน้ำ ในตอนที่หยวนซิ่วเพิ่งจะกลับมา หนูฉายก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากด้านในตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็ผู้ใดที่ร้องโหยหวน?” มู่หรงฉือมองไปทางเสิ่นจือเหยียนด้วยความสงสัย คงจะไม่ใช่จาวฮวาใช่หรือไม่
“หนูฉายฟังแล้วเหมือนจะเป็เสียงของคุณชายกงพ่ะย่ะค่ะ” สีหน้าของขันทีคนนั้นแปลกพิกล ท่าทางเหมือนเจอเื่น่าใน่าหวาดผวาอย่างมาก “พวกหนูฉายได้ยินเสียงร้อง กังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิง จึงรีบพุ่งเข้าไป แต่ว่าหนูฉายเห็น...”
“เห็นอะไร?” นางสอบถามอย่างร้อนใจ
“พวกหนูฉายพุ่งเข้าไปในตำหนัก เห็น...” เขากลืนน้ำลาย ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “เห็นคุณชายกงนั่งอยู่ที่พื้นในตำหนัก มีเืสดๆ ไหลนองอยู่บนพื้น...”
เสิ่นจือเหยียนกับมู่หรงฉือสบตากัน ก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปทันที
ภายในตำหนัก องค์หญิงจาวฮวามู่หรงฉางนั่งขดตัวอยู่ข้างเตียงตัวสั่นเทา เส้นผมเงาดำยุ่งเหยิง นางสวมเสื้อผ้าอาภรณ์สีสันงดงามราวมีก้อนเมฆสีแดงแต่งแต้มอยู่บนร่าง ทำให้คนคิดไปต่างๆ นาๆ ทว่าในขณะเดียวกันคอเสื้อกลับเปิดกว้าง เผยให้เห็นบ่านุ่มลื่นและไหปลาร้า รวมถึงร่องทรวงที่อยู่ถัดจากไหปลาร้าลงไปแวบๆ ดูนุ่มนิ่มจนกระแทกตา ทำให้คนเผลอไผล
หยวนซิ่วคอยปลอบใจอยู่ข้างๆ มู่หรงฉางร้องไห้เสียงเบา ใบหน้าเล็กเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา ท่าทางเ็ปจนน่าสงสาร
ส่วนกงจวิ้นหาวนั่งพิงกำแพงอยู่ที่พื้นด้านข้าง ดวงหน้าขาวซีด ศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อ บนพื้นมีโลหิตสีแดงแยงตา หว่างขาทั้งสองของเขาแดงฉานไปด้วยเื
เมื่อมองไปที่เตียงอีกครั้ง ก็ได้เห็นสภาพอันยุ่งเหยิง มีรอยเือยู่เต็มไปหมด มีดสั้นที่เปื้อนเืเล่มนั้นสะดุดตาอย่างยิ่ง
เสิ่นจือเหยียนรีบเดินเข้าไปดูเขา “คุณชายกง เ้าเป็อย่างไรบ้าง?”
“เสด็จพี่...ฮือๆ...เสด็จพี่...”
มู่หรงฉางพุ่งเข้ามาแล้วโผเข้าสู่อ้อมกอดของมู่หรงฉือ ร้องไห้โฮออกมา “ฮือๆ...เขารังแกน้อง...ฮือๆ...น้องกลัว...”
เสียงร้องไห้ที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัว เจ็บช้ำ หวาดผวานั้นทำให้คนสงสาร มู่หรงฉือตบบ่าของนาง ปลุกปลอบเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็อะไรแล้ว...เปิ่นกงอยู่ที่นี่แล้ว...”
มู่หรงฉือมองไปทางหยวนซิ่ว แล้วออกคำสั่ง “รีบไปเอาเสื้อผ้ามาคลุมให้องค์หญิง”
หยวนซิ่วที่กำลังตื่นใจนทำอะไรไม่ถูก ครั้นได้ยินคำสั่งจึงราวกับคนเพิ่งตื่นจากฝันแล้วรีบไปหยิบเสื้อผ้ามาคลุมให้องค์หญิงปกปิดเนื้อตัวไม่ให้เปิดเผยออกมา
“เตี้ยนเซี่ย เป็ความผิดของหนูปี้ เป็หนูปี้ที่เลินเล่อ ไม่ดูแลองค์หญิงให้ดี ขอเตี้ยนเซี่ยโปรดลงโทษเพคะ” หยวนซิ่วคุกเข่าขอรับโทษ
“เสด็จพี่ น้องไม่อยากเป็คนแล้ว...น้องยอมตาย...” มู่หรงฉางร้องไห้อย่างสิ้นหวัง น้ำตาไหลเป็สายน้ำ ทำเอาคนเห็นแล้วใจอ่อนสงสาร
“เ้าอย่าทำเื่โง่ๆ เป็อันขาด ทุกอย่างย่อมมีวิธีแก้ไข” มู่หรงฉือพูดปลอบใจเสียงอ่อน พานางไปยังตำหนักด้านข้าง
“เื่นี้ให้ข้าจัดการเอง” เสิ่นจือเหยียนพูดเสียงเคร่งขรึม
มู่หรงฉือพยักหน้า โอบตัวน้องสาวเดินออกมา หยวนซิ่วก็ตามไปยังตำหนักข้างฝั่งตะวันออก
บริเวณที่กงจวิ้นหาวนั่งอยู่น่าพรั่นพรึงเป็อย่างยิ่ง เสิ่นจือเหยียนถาม “หมอหลวงยังไม่มา เ้ายังทนไหวหรือไม่?”
ริมฝีปากทั้งสองข้างของกงจวิ้นหาวซีดขาว ดวงตาไร้แววกระพริบน้อยๆ แสดงออกว่าอดทนไหว
เสิ่นจือเหยียนคาดเดาได้ว่าเขาได้รับาเ็ตรงไหน แต่ก็ยังพูดว่า “ข้าพอจะเข้าใจวิชาแพทย์อยู่บ้างเล็กน้อย ให้ข้าช่วยดูแผลของเ้าได้หรือไม่?”
กงจวิ้นหาวพยักหน้าเบาๆ เพราะเ็ปอย่างรุนแรงจึงทำได้เพียงหายใจรวยริน
เสิ่นจือเหยียนเปิดเสื้อที่เปื้อนไปด้วยเืของเขาออกเบาๆ ดึงกางเกงออกมาครึ่งขา ที่หว่างขาตรงนั้น...
เป็อย่างที่คิด าเ็ตรงจุดสืบพันธุ์
ทว่ากงจวิ้นหาวคว้าข้อมือของเขาเอาไว้อย่างสั่นเทาพลางกัดฟันพูด “ขอร้องใต้เท้า...ท่านจะต้องช่วยข้ารักษามันไว้...”
“อีกประเดี๋ยวหมอหลวงจะมาถึงแล้ว ย่อมจะต้องพยายามช่วยเ้าอย่างสุดความสามารถ”
ถึงแม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่เสิ่นจือเหยียนก็มองออกอย่างชัดเจนว่าไม่มีความหวังที่จะรักษาเอาไว้ได้แล้ว ต่อไปเขาก็จะเป็เช่นขันทีที่มีชีวิตนอกวัง ไม่อาจมีบุตรได้อีกต่อไป
คนที่ลงมือโเี้ยิ่งนัก ถึงกับตัดขาดในคราวเดียว
ในตอนนี้เองหมอหลวงก็มาถึง เสิ่นจือเหยียนรีบถอยออกไปให้เขาเข้ามารักษากงจวิ้นหาว
ทางด้านตำหนักข้าง มู่หรงฉือให้จาวฮวานั่งลง ให้นางดื่มชาหนึ่งถ้วย พลางปลอบนางอย่างอ่อนโยน
อารมณ์ตื่นใของของมู่หรงฉางค่อยๆ สงบลง แต่ยังติดสะอื้นไห้น้ำตาไหลออกมาอยู่ตลอด ดวงตาคู่งามปูดบวม
หยวนซิ่วคุกเข่าลงขอรับโทษอีกครั้ง “หนูปี้ไม่ได้ดูแลองค์หญิงให้ดี หนูปี้มีความผิด เตี้ยนเซี่ยจะลงโทษอย่างไร หนูปี้จะไม่บ่ายเบี่ยงเพคะ”
“เ้ามีความผิดจริง แต่น้องสาวยัง้าให้เ้าดูแล วันนี้เปิ่นกงขึ้นบัญชีเอาไว้ก่อน” ดวงตาของมู่หรงฉือเย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ในวังกำลังเตรียมตัวจัดพิธีสมรสขององค์หญิงกับคุณชายกง วันนี้คุณชายกงจึงมาเยี่ยมองค์หญิง องค์หญิงคิดว่าเขาเป็ว่าทีสวามีในอนาคตจึงให้เขาเข้าตำหนักมา ทั้งยังให้ข้าหลวงนำแตงโมสดใหม่กับขนมมาดูแลต้อนรับคุณชาย ตอนแรกคุณชายก็ยังถือว่าเกรงใจ มีมารยาท พูดคุยกับองค์หญิงอย่างมีความสุขดี แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็คนเช่นนี้...” หยวนซิ่วพูดด้วยความโมโห “จู่ๆ หนูปี้ก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาจึงไปห้องน้ำ กลับมาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากตำหนัก หนูปี้จึงรีบพุ่งเข้าไปทันที...”
“เ้าเห็นอะไร?” มู่หรงฉือถาม
“หนูปี้เห็นคุณชายกงนั่งอยู่กับพื้นมีเืไหลท่วม บนพื้นเต็มไปด้วยโลหิต องค์หญิงเองก็นั่งอยู่บนพื้น ท่าทางดังที่เตี้ยนเซี่ยเข้ามาเห็นเพคะ หวาดกลัวจนตัวสั่นไปทั้งร่าง” หยวนซิ่วตอบกลับ
“เสด็จพี่ ท่านจะต้องจัดการให้น้องนะเพคะ...” มู่หรงฉางสะอื้นตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ท่าทางดั่งคนได้รับความใถูกทำร้ายเช่นนั้นเห็นแล้วทำให้คนรู้สึกสงสาร
“เขาทำอะไรเ้ากันแน่?” คิ้วของมู่หรงฉือขมวดเข้าหากันแน่น
“เขา...เขาน่ากลัวมากเพคะ...น้องเห็นเขาท่วงท่าสง่า มีการศึกษาสูง จึงพูดคุยกับเขาหลายประโยค...ตอนที่น้องกำลังทานแตงโม เพราะไม่ทันระวังจึงทำแตงโมหกใส่เสื้อผ้า จึงเข้าตำหนักไปเปลี่ยนชุด...คิดไม่ถึงว่าเขาจะตามเข้ามา แอบ...แอบมองน้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เขายังพุ่งเข้ามากอดน้อง...” มู่หรงฉางพูดเสียงพร่า น้ำตาที่ไหลออกมาไม่อาจขจัดความหวาดกลัวออกไปได้ นางกุมหัวแล้วพูดติดๆ ขัดๆ “ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาอุ้มน้องไปที่เตียง...ไม่ว่าน้องจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่หลุดพ้น แรงของเขาเยอะมาก...เขากดทับตัวของน้องเอาไว้เหมือนสัตว์ป่าตัวหนึ่ง ฉีกกระชากชุดของน้อง...ฮือ...”
มู่หรงฉือโอบนางเข้ามาในอ้อมกอด ไม่ให้นางนึกย้อนถึงความทรงจำในตอนนั้นอีก
สำหรับนางแล้ว การนึกย้อนกลับไปครั้งหนึ่งก็เป็การถูกทำร้ายอีกครั้งหนึ่ง
ไฟโทสะของหยวนซิ่วทะลุไปถึงฟ้า บนใบหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร “เตี้ยนเซี่ย หนูปี้จะไปสังหารเ้าเดรัจฉานนั่น!”
“อย่าวู่วาม!” มู่หรงฉือรีบห้ามปราม
“แต่ว่าองค์หญิง...” หยวนซิ่วพูดอย่างโมโห
“เสด็จพี่ น้องขัดขืนเขาทุกทางแต่ก็ผลักเขาออกไปไม่ได้ เขามีวิทยายุทธ์ มีกำลังมาก ทั้งยังปิดปากน้องไม่ให้ร้องเรียกผู้ใด...” มู่หรงฉางสะอื้นไห้ น้ำตาแห่งความหวาดกลัวไหลอาบเต็มหน้า “เขาก็เหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง...กัดคอกับบ่าของน้อง น้องหวาดกลัวมาก ในตอนที่ร้อนใจจึงคว้ามีดที่อยู่ข้างหมอนออกมา...น้องขู่เขาแล้วว่าอย่าเข้ามา เขาก็ยังไม่กลัว ทั้งยังแย่งมีดไป...น้องไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จากนั้น...จากนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น น้องออกแรงฟันลงไป เขาก็มีเืไหลออกมาแล้ว...”
ร่างของนางสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงจนไม่อาจควบคุมได้ เป็การหวาดกลัวจากก้นบึ้งของจิตใจ
หยวนซิ่วอธิบาย “เตี้ยนเซี่ย มีดสั้นเล่มนั้น ทุกคืนเวลาที่องค์หญิงเข้าบรรทมจะวางเอาไว้ข้างเตียง เพราะว่าองค์หญิงหวาดระแวงว่าจะมีมือสังหารเข้ามาตอนกลางคืน จึงวางมีดสั้นไว้ข้างตัวเป็การป้องกันตัวเพคะ”
มู่หรงฉางเงยหน้ามองมู่หรงฉือ เอ่ยถามอย่างหวาดกลัว “เสด็จพี่ น้องทำร้ายเขาเช่นนี้ ครอบครัวสกุลกงจะมาเอาเื่กับเสด็จพ่อหรือไม่ เสด็จพ่อจะลงโทษน้องหรือไม่เพคะ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้