แม่นางหลี่ว์ตอบตกลง ทันทีที่มีลูกค้ามาที่ร้าน สองแม่ลูกคู่นี้ก็เริ่มยุ่งอีกครั้ง รอกลับบ้านไปตอนเย็นค่อยพูดคุยเื่นี้กับคนในครอบครัว คาดไม่ถึงว่าทุกคนล้วนมีความเห็นที่ต่างกันออกไป
“ข้าคิดว่าเื่นี้น่าสงสัยไม่น้อย” แม่นางหวังลังเลและพูดอย่างระมัดระวังว่า “ท่านแม่เชื่อใจคนง่ายเกินไปหรือไม่ คนคนนั้นเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ เรายังไม่รู้ที่มาที่ไป จู่ๆ ก็บุ่มบ่ามมาทาบทาม ข้าเกรงว่าเขาดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไร”
“ท่านผู้าุโอวิ๋นบอกว่าเป็เพราะหลานชายของเขาชอบกินซาลาเปาที่เหว่ยเอ๋อร์ทำ เขาจึงแบกหน้ามาขอความช่วยเหลืออย่างไร้ยางอาย” แม่นางหลี่ว์อธิบาย และสัญชาตญาณของนางบอกว่าท่านลุงอวิ๋นน่าจะไม่ใช่คนไม่ดีอะไร
ผู้าุโติงขมวดคิ้วเข้าหากัน และพูดคัดค้านว่า “เป็สาวเป็นางไม่ควรปรากฏตัวและเปิดเผยใบหน้าในที่สาธารณะจะดีกว่า”
เดิมทีแม่นางหลี่ว์แค่อยากให้ลูกสาวไปจวนสกุลอวิ๋นเพื่อหลบซ่อนจากความวุ่นวาย เพื่อที่นางจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น แต่ตอนนี้หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้จากคนในครอบครัวง นางกลับรู้สึกว่าตนเองอาจคิดไม่รอบคอบมากพอ และรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เมื่อติงเหว่ยเห็นดังนั้นนางจึงเข้าไปกุมมือของมารดาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ารู้ว่าท่านแม่หวังดีต่อข้า ข้าเป็แค่เด็กสาวครอบครัวชาวนา ต่อให้เขามีเจตนาไม่ดีแอบแฝง ก็ไม่มีอะไรให้เขาเอาไปอยู่ดี อีกอย่างข้าแค่ไปทำอาหารที่จวนสกุลอวิ๋นเป็ครั้งคราวเท่านั้น ไม่ได้ไปอาศัยอยู่ตลอดสักหน่อย หากสกุลอวิ๋นใจกว้างก็คิดเสียว่าเป็ค่าขนมก็แล้วกัน”
พี่รองสกุลติงนั่งยองๆ ที่หน้าประตู คิดไปคิดมาอยู่พักหนึ่งจึงบอกว่า “ข้าเคยไปจวนหลังนั้นมาก่อน ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเห็นนายน้อยสกุลอวิ๋น แต่คนปรนนิบัติรับใช้ต่างเป็ระเบียบและมีท่าทางเหมือนชนชั้นสูง ท่านผู้าุโอวิ๋นก็เป็มิตร ท่านพ่อกับฮูหยินอย่าได้กังวลแทนน้องสาวเกินไปเลย”
เขาเป็ช่างไม้ เมื่อก่อนก็เคยทำงานในจวนสกุลอวิ๋น งานที่ทำล้วนเป็งานที่ละเอียดและประณีต เขาได้เจอคนในครอบครัวสกุลอวิ๋นบ่อยครั้ง ดังนั้นคำพูดของเขาจึงค่อนข้างมีน้ำหนัก เมื่อทุกคนได้ยินเขาพูดเช่นนี้ต่างก็เบาใจขึ้นอย่างมาก
ผู้าุโติงเคาะปล้องยาสูบแล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า “เช่นนั้นก็ทำตามที่เหว่ยเอ๋อร์บอก หากผู้าุโอวิ๋นยอมรับข้อตกลงก็ให้ไปทำได้ หากเขาไม่ยอมรับข้อตกลง ลูกสาวของครอบครัวสกุลติงเรา เราเลี้ยงเองได้”
ทั้งครอบครัวจึงตัดสินใจร่วมกันได้เช่นนี้ แม่นางหลี่ว์ถือโอกาสตอนที่คนใช้ของครอบครัวสกุลอวิ๋นมาซื้อซาลาเปาที่ร้านฝากข้อความเ่าั้กลับไป แน่นอนว่าท่านลุงอวิ๋นยอมรับกับเงื่อนไขดังกล่าวโดยไม่ลังเล
……
ดังนั้น ในตอนเที่ยงวันเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นตรงอยู่เหนือศีรษะ ติงเหว่ยก็มาถึงหน้าจวนสกุลอวิ๋นพร้อมสะพายกระเป๋าเล็กๆ ที่พี่รองทำให้เป็พิเศษมาด้วย นางเงยหน้าขึ้นไปมองจวนหลังใหม่ด้วยสายตาประเมิน ผนังสีเทากระเบื้องสีฟ้า ดูเรียบง่ายทว่าแข็งแกร่ง คานประตูตั้งสูงตระหง่านกว่าบ้านหลังอื่นในหมู่บ้าน ช่างเป็เอกลักษณ์ของชนชั้นสูงที่ร่ำรวยมั่งคั่งเสียจริง
ไม่ไกลจากประตูจวน มีเด็กหญิงตัวเล็กๆ กำลังกวาดพื้นอยู่ ติงเหว่ยยืนอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่านางไม่สังเกตเห็นตน นางจึงก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “ขอโทษนะ...”
“ไปให้พ้น! หมู่บ้านห่างไกลเช่นนี้จะมาขอข้าวกินได้ยังไง?”
ั้แ่ตื่นเช้ามา เซียงเซียงพูดจาส่งเดชจนถูกตำหนิ ท่านปู่จึงทำโทษให้นางใช้เวลายามพักเที่ยงมากวาดลานบ้าน นางโกรธจนในท้องเต็มไปด้วยลูกไฟ อดทนกวาดพื้นไปพลางบ่นพึมพำไปพลาง นางจะไปมีกะจิตกะใจมาคุยกับคนอื่นได้อย่างไร?
ติงเหว่ยตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ นางจึงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว พูดจาตำหนิแขกที่มาเช่นนี้ นี่หรือที่พี่รองบอกว่าเป็ครอบครัวที่นิสัยดี?
“พี่สาวท่านนี้ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าชื่อติงเหว่ยมาช่วยงานในห้องครัว รบกวนท่านช่วยเข้าไปแจ้งด้านในให้ข้าที”
“ติงเหว่ย?” เซียงเซียงคิดว่าชื่อนี้ช่างคุ้นหูเสียจริง ดังนั้นนางจึงหันศีรษะและประเมินติงเหว่ยอย่างละเอียด พักนี้สกุลอวิ๋นกำลังหาคนงานมาช่วยจริงๆ แต่ล้วนเป็เด็กหนุ่มที่ใช้ให้ทำงานข้างนอกจวน นางไม่เคยได้ยินว่ามีผู้หญิงด้วย
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ทว่าดวงตากลับกลอกไปมา นางยืดตัวขึ้นและพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “คนที่มาใหม่ในจวนนี้ทุกคนต้องผ่านการทดสอบ! เ้ารับไม้กวาดด้ามนี้ไปแล้วไปกวาดทางเข้าเสีย ข้าจะดูเ้าว่าเ้าทำงานเป็ยังไง”
ช่างน่าขบขันเสียจริง แม่ครัวต้องทดสอบด้วยการกวาดพื้นอย่างนั้นหรือ?
เดิมทีติงเหว่ยก็ไม่ชอบคำพูดคำจาที่ไร้มารยาทของนาง เมื่อได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มอย่างเ็าในใจ ทว่านางยังคงใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลและถามอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าเกรงว่าพี่สาวท่านนี้จะเข้าใจผิดแล้ว ข้ามาทำงานในครัว”
“ใครเป็พี่สาวเ้ากัน? อย่ามาพูดเหมือนสนิทกับข้านะ เ้าดูแก่กว่าข้าตั้งหลายปี!” เสียงของเซียงเซียงแหลมจนบาดหู เมื่อเห็นว่าติงเหว่ยยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก แต่ไม่ทันที่นางจะได้แผดเสียงด่าทอ จู่ๆ กลับนึกเื่หนึ่งขึ้นมาได้ นางแทบจะลุกขึ้นมาะโว่า “เ้าเป็แม่ครัวสกุลติงอย่างนั้นหรือ! เ้ายังกล้ามาที่นี่ได้ยังไง!”
ติงเหว่ยรู้สึกลำบากใจั้แ่ตอนมาถึงหน้าประตู และรู้สึกว่าความอดทนของตนกำลังจะหมดไป นางเคยพบปะกับคนในครอบครัวสกุลอวิ๋น และมีความประทับใจที่ดี แต่ตอนนี้กลับถูกเด็กหญิงไร้มารยาทคนหนึ่งะโด่าจนไม่มีชิ้นดี ผู้ใดบอกว่าครอบครัวชนชั้นสูงมีกฎระเบียบ แล้วเหตุใดสาวใช้ทำความสะอาดจวนถึงได้ไร้มารยาทขนาดนี้?
“ทำไมข้าจะมาไม่ได้ ข้าเป็แม่ครัวที่ท่านลุงอวิ๋นไปทาบทามมาด้วยตนเอง” ติงเหว่ยมองจมูกที่เชิดขึ้นฟ้าของเซียงเซียงแล้วอดพูดดูิ่ไม่ได้ว่า “ข้ามายืนอยู่ตรงนี้ด้วยความสามารถของข้าจริงๆ ไม่ใช่มัวแต่ขบเคี้ยวโคนลิ้น [1] อยู่แบบนี้ ทั้งยังโง่เขลาและี้เีเกินกว่าจะหาใครเปรียบได้”
“ใครบอกว่าข้าี้เี!” เซียงเซียงเองไม่ใช่คนโง่เขลา พอได้ยินว่าตนเองถูกด่าก็รีบถือไม้กวาดพุ่งเข้าไป นางเอาแต่คิดว่าตนเองสูงส่งมาโดยตลอด รู้แค่ว่านอกจากนายน้อยแล้วก็มีท่านปู่ของนางนี่แหละที่มีอำนาจมากที่สุด คนปรนนิบัติรับใช้ทั้งในและนอกจวนต่างพากันประจบประแจง นางไม่เคยถูกใครต่อว่าหนักขนาดนี้มาก่อน “คนมาใหม่เช่นเ้าเหตุใดจึงหยิ่งผยองถึงเพียงนี้ ช่างผิดเพี้ยนกันไปหมดแล้ว!”
“เ้าเป็ผู้ดูแลใหญ่ของสกุลอวิ๋นอย่างนั้นหรือ? หรือแค่มาหาเื่?” ติงเหว่ยเมินเฉยต่อท่าทีเกรี้ยวกราดราวกับสายฟ้าของเซียงเซียง และน้ำเสียงของนางก็เ็าขึ้นไปอีก “แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น! เ้าใช้สิทธิ์อะไรมาทดสอบข้า? ต่อให้เป็การทดสอบจริง แต่ข้าเป็แม่ครัว ไม่ให้ทดสอบทำอาหารกลับให้ไปกวาดพื้น วิธีทดสอบของชนชั้นสูงช่างแปลกเสียจริง”
“เ้า...” เซียงเซียงไม่คาดคิดมาก่อนว่าสาวชาวบ้านที่ดูธรรมดาจะปากคอเราะร้ายขนาดนี้ เพียงเข็มเล่มเดียวถึงกับเืตกยางออก [2] นางนึกคำเพื่อตอกกลับไม่ออก จึงทำได้แค่ด่าทอ “นาง…นางพัวฟู่ [3]! ฮึ่ย! เดี๋ยวข้าจะตีเ้าให้ตาย…”
ขณะที่พูดนางก็ยกไม้กวาดขึ้นมา ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะเหมือนพัวฟู่มากกว่ากัน?
……
“เหตุใดยามเที่ยงถึงได้เสียงดังกันขนาดนี้?”
ยามนี้เป็เวลาที่ท่านลุงอวิ๋นกำลังจะออกมาจากภายในจวนพอดี เขาได้ยินเสียงกรีดร้องของเซียงเซียงจนปวดหัวไปหมด จึงรีบเดินมาดูและพบว่ามีผู้หญิงที่แต่งตัวธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่ที่เชิงบันได
ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าของนางจะดูธรรมดาทั่วไป แต่นางยืนตัวตรงให้ความรู้สึกสบายๆ และเงียบสงบ มีบุคลิกและอากัปกิริยาที่งดงามหมดจดราวกับวิวทิวทัศน์ูเาเขียวขจีและแม่น้ำใสสะอาด [4] ทำให้แววตาของท่านลุงอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะทอแสงขึ้นมา จากนั้นเขาก็แอบมองไปที่หน้าท้องของนางหนึ่งรอบโดยไม่มีใครทันจับสังเกตได้ เขาหันศีรษะกลับไปตำหนิหลานสาวว่า “เซียงเซียง เ้าไม่ตั้งใจกวาดให้ดีแล้วยังก่อปัญหาอีกอย่างนั้นหรือ?”
หลังจากพูดจบก็ไม่รอให้เซียงเซียงโต้ตอบ ใบหน้าของเขายิ้มอย่างเป็มิตรทันทีพร้อมเอ่ยทักทายว่า “แม่นางติง เ้ามาทำงานวันนี้เลยหรือ? เยี่ยมไปเลย! ดูเหมือนว่ากงจื่อของพวกเรา...ไม่สิ หลานชายของข้าวันนี้จะมีลาภปากเสียแล้ว เ้ารีบตามข้าเข้าไปข้างในเถอะ!”
เดิมทีติงเหว่ยอยากจะต่อว่าเซียงเซียงสักชุดและจากไป ที่จริงหากจวนสกุลอวิ๋นมีสาวน้อยจิตใจคับแคบคนนี้อยู่ ต่อไปนางคงไม่มีความสุขเป็แน่ แต่เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของท่านลุงอวิ๋นและนึกขึ้นมาได้ว่าเขารักหลานชายของเขามาก นางจึงรู้สึกใจอ่อนอยู่บ้าง
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าก็อ่อนลง นางโค้งคำนับพร้อมทักทายว่า “ท่านผู้าุโอวิ๋นเกรงใจเกินไปแล้ว”
“ท่านปู่!” เซียงเซียงกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจและะโว่า “นาง…”
“เ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! ข้าให้เ้ากวาดพื้นทำไมยังสร้างปัญหาได้มากขนาดนี้!” ท่านลุงอวิ๋นถลึงตามองหลานสาวเพียงคนเดียวของเขา เขาคงไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็เหล็กกล้าได้จริงๆ พอหาเื่คนอื่นไม่สำเร็จก็จะลงไม้ลงมือ ช่างโง่เขลาเกินไปแล้ว นอกจากนี้ หากเมื่อครู่ลูกในครรภ์ของแม่นางติงเหว่ยถูกนางทำให้าเ็ขึ้นมาจริงๆ ต่อให้บรรพบุรุษของพวกเขาตายเป็พันครั้งก็มิอาจชดใช้บาปกรรมได้
เซียงเซียงเม้มปากด้วยความน้อยใจ มองท่านปู่ของนางพาติงเหว่ยเข้าประตูพลางพูดคุยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและนุ่มนวล ท่าทีเอาอกเอาใจนั้นทำให้นางถึงกับกัดฟันด้วยความเกลียดชัง
สรุปแล้วผู้ใดเป็หลานสาวของตระกูลอวิ๋นกันแน่? เห็นกันอยู่ว่าสตรีไร้จรรยาบรรณผู้นี้ทำเื่ไร้ยางอาย ทุกคนต่างเบือนหน้าหนีเมื่อพบนาง แต่ท่านปู่กลับใจดีกับนางถึงเพียงนั้น ช่างน่าโมโหเสียจริง
นางจ้องมองแผ่นหลังของติงเหว่ยด้วยความเกลียดชัง และแอบตั้งปณิธานว่าจะไม่ปล่อยเจี้ยนนวี่เหริน [5] ผู้นี้เอาไว้แน่ ฮึ่ม! แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!
ติงเหว่ยเดินตามลุงอวิ๋นเข้าไปในจวน และอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ สองสามครั้ง นางเคยได้ยินจากพี่รองจนสงสัยว่าจวนหลังใหม่นี้จะวิจิตรงดงามสักแค่ไหน วันนี้พอได้เห็นกับตาตนเองแล้วก็ต้องยอมรับว่าสร้างได้สวยงามมากจริงๆ ขนาดจริงของจวนนั้นกว้างขวางกว่าที่เห็นจากภายนอกมาก แม้จะยังไม่มีร่องรอยสิ่งมีชีวิตเท่าไรนัก ทว่ายังมีพุ่มไม้ที่เพิ่งปลูกใหม่และต้นไม้เขียวชอุ่ม ช่วยลดทอนความเหงาและความโดดเดี่ยวไม่มากก็น้อย ทำให้รู้สึกถึงความเรียบง่ายแต่ยังแฝงด้วยความแข็งแกร่ง
“จวนหลังนี้ยังสร้างไม่สมบูรณ์ เมื่ออากาศเริ่มอุ่นขึ้นในอีกไม่กี่วัน หากปลูกดอกไม้และต้นไม้เพิ่มเติมสักหน่อยคงจะดีกว่า” ราวกับว่าท่านลุงอวิ๋นอ่านใจนางได้ เขายิ้มและเอ่ยขึ้นมาสองสามประโยค และสุดท้ายก็พูดว่า “แม่นางกับเซียงเซียงคงอายุห่างกันไม่มากเท่าไรนัก ต่อไปเรียกข้าว่าท่านลุงอวิ๋นเถอะ”
“ข้าเกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรกระมัง?” ติงเหว่ยรีบโบกมืออย่างรวดเร็ว ถึงแม้นางจะมาที่นี่เพื่อช่วยทำอาหาร แต่ฐานะกึ่งหนึ่งก็ถือเป็คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋น จะให้นางเรียกเ้าของจวนตามใจชอบได้อย่างไร
“หรือแม่นางเห็นว่าข้าแก่เกินไปแล้ว ยอมเรียกอาจารย์เสียยังดีกว่าเรียกลุงอวิ๋นงั้นหรือ?” ลุงอวิ๋นแกล้งทำเป็หยอกเล่น แต่ใจจริงแล้วเขาเองก็รู้สึกผิดเป็อย่างมาก อันที่จริงแล้วเด็กในท้องของแม่นางติงเหว่ยก็คือทายาทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของสกุลกงจื้อ แม้ว่าเขาจะมีท่าทีหยิ่งผยองต่อหน้าใคร แต่ไหนเลยจะกล้าวางตัวเป็นายท่านต่อหน้าสองแม่ลูกคู่นี้กัน
ติงเหว่ยได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้ก็ทำอะไรไม่ถูก ดังนั้นนางจึงได้แต่ว่าไปตามน้ำ นางยิ้มและเรียกออกมาคำหนึ่งว่าลุงอวิ๋น
ท่านลุงอวิ๋นยิ้มแย้มด้วยความดีใจ และขอโทษแทนหลานสาวของเขา “เซียงเซียง เด็กคนนี้เพิ่งมาจากบ้านเกิด นางค่อนข้างเอาแต่ใจเล็กน้อย แม่นางติงเห็นแก่หน้าข้าโปรดอย่าถือสานางได้หรือไม่ ไม่คุ้มกันหรอก”
เมื่อครู่ติงเหว่ยก็ด่าทอเซียงเซียงเช่นกัน พูดแล้วก็ไม่ได้เสียหายอะไร ภายในใจนางไม่ได้มีความริษยาหรือความเกลียดชัง แต่หากต้องเจอกันบ่อยๆ ก็คงมีประโยคที่ต้องพูดอยู่บ้าง
“ท่านผู้าุโ... ไม่สิ ท่านลุงอวิ๋นให้งานแก่ข้า และข้าเองก็ไม่ได้ลำบากใจเื่เงิน หากไม่จำเป็จริงๆ ข้าเองก็ไม่อยากทะเลาะกับใคร ทว่า หากคนอื่นไม่รังแกข้า ข้าก็ไม่รังแกใคร [6] ท่านลุงอวิ๋นคงเคยได้ยินประโยคนี้อยู่บ้างใช่หรือไม่?
“แน่นอน” ลุงอวิ๋นพูดอย่างเร่งรีบ “จากนี้ไปหากใครสร้างปัญหาให้กับเ้า เ้าก็จัดการตำหนิพวกเขาเสีย เซียงเซียงเด็กน้อยคนนั้นช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ [7] แต่คำพูดของแม่น่าติงก็สมเหตุสมผลดี นับว่าเป็คนที่เข้าใจโลกอย่างถ่องแท้”
เมื่อท่านลุงอวิ๋นได้ฟังติงเหว่ย นางไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมทำผิดต่อตนเองเพียงเพราะรับเงินค่าจ้างของคนอื่น คิดไปคิดมาไม่รู้ว่าเด็กในท้องของนางจะกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวเหมือนนายน้อยหรือเปล่า และจะมีสติปัญญาเฉียบแหลมเหมือนกับมารดาของเขาหรือไม่ ยิ่งคิดยิ่งหัวเราะจนหุบปากไม่ได้ ถ้าเป็อย่างนั้นจริงเขาก็ไม่ทำให้บรรพบุรุษของตระกูลกงจื้อผิดหวังแล้วจริงๆ!
“ท่านลุงอวิ๋นกล่าวชมเกินไปแล้ว”
ติงเหว่ยเม้มริมฝีปากของนาง ในใจรู้สึกสงสัยนิดหน่อย เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าท่านลุงอวิ๋นเหมือนจะเคารพแต่ก็ไม่เหมือนอย่างไรอย่างนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็นึกไม่ออกว่าเพราะเหตุใดลุงอวิ๋นถึงได้เกรงใจและสุภาพต่อนางถึงขนาดนี้?
“เ้าเองก็เป็สตรีที่แปลกดี” ท่านลุงอวิ๋นถอนหายใจและพูดอ้อมๆ ว่า “ข้ารู้ว่าเ้าก็มีสิ่งที่ลำบากใจ แต่จากนี้เ้าแค่ทำหน้าที่ของเ้าอย่างสบายใจให้ดีก็พอ จะไม่มีใครนำเื่ไร้สาระข้างนอกนั่นเข้ามาในจวนแห่งนี้ได้ ”
-----------------------------------------
[1] ขบเคี้ยวโคนลิ้น 嚼舌根 หมายถึง นินทา พูดจาไร้สาระ
[2] แค่เพียงเข็มเล่มเดียวก็ถึงกับเืตกยางออก 一针见血 หมายถึง คําวิจารณ์ที่สามารถแทงใจดําผู้ถูกวิจารณ์ได้
[3] พัวฟู่ 泼妇 หมายถึง มนุษย์ป้าใจหยาบด่ากราดผู้อื่นไปทั่ว
[4] ูเาเขียวและแม่น้ำใส 青山秀水 หมายถึง ูเาที่สวยงามและแม่น้ำที่ใสสะอาด มักใช้เพื่ออธิบายสถานที่ท่องเที่ยว หมู่บ้านที่งดงาม หรือทิวทัศน์ทางธรรมชาติ ฯลฯ
[5] เจี้ยนนวี่เหริน 贱女人 หมายถึง คนที่ร่าน ผู้ที่มักมากในกาม
[6] หากคนอื่นไม่รังแกข้า ข้าก็ไม่รังแกใคร 人不犯我,我不犯人 หมายถึง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
[7] ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ 不知天高地厚 ใช้ในการอุปมาอุปไมยถึงคนที่หยิ่ง ทะนงตน มักคิดว่าตนเองเก่งกว่าคนอื่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้