เมื่อคิดดูแล้วฮวารั่วซีต้องประหลาดใจทันที ขณะที่ซ่งอี้เฉินสนใขสนมนางอื่นเหมือนนางไม่ได้เศร้าใจเหมือนก่อน
องค์หญิงใหญ่กลับเหมือนไม่ตระหนักถึงคลื่นใต้น้ำเหล่านี้ นางเพียงแค่แย้มยิ้มแล้วตรัสกับซ่งอี้เฉิน “นอกจากหญิงงามแล้ว ฝ่าาต้องพิจารณาความงามของท่าเต้นที่งดงามจับใจ และเสียงพิณที่ช่วยส่งเสริมให้การแสดงออกมาได้เหมาะสมเช่นนี้ โดยไม่อาจโปรดปรานสิ่งหนึ่งเพียงสิ่งเดียวได้ "
และผู้ที่ดีดพิณก็คือจวินอู๋เสีย
ซ่งอี้เฉินเหลือบมององค์หญิงใหญ่แล้วตรัสพลางแย้มยิ้ม “ถูกต้อง องค์ชายจวินควรได้รับรางวัลด้วย”
จวินอู๋เสียลุกออกจากที่นั่งแล้วเดินไปทางซ่งอี้เฉิน กุมมือทูลว่า “ขอบพระทัย ฮ่องเต้เซวียนพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งอี้เฉินมองใบหน้าหล่อเหลาคมสันของจวินอู๋เสียจากนั้นหรี่ตาลงเล็กน้อย และหันศีรษะยิ้มให้องค์หญิงใหญ่แล้วตรัสถามว่า “เสด็จพี่ว่า เจิ้นควรตกรางวัลอย่างไรดี?”
องค์หญิงใหญ่ขอรางวัลให้จวินอู๋เสียโดยไม่มีเหตุผล และไม่ต้องคิดมากที่จะรู้ว่า เสด็จพี่ของเขานั้นตกหลุมรักจวินอู๋เสียเข้าแล้ว ทว่าเหมือนนางจะไม่รู้ว่าไม่อาจแตะต้ององค์ชายผู้นี้ได้ ราชวงศ์ใต้ไม่เคยขอให้จวินอู๋เสียกลับไป อีกทั้งไม่มีข่าวเื่การถอดถอนองค์ชาย ตำแหน่งของจวินอู๋เสียนั้นพิเศษอย่างมาก
สำหรับประเด็นนี้ ทำให้ซ่งอี้เฉินปวดหัวจริงๆ ย้อนกลับไปตอนนั้นอวิ๋นอู๋เหยียนยืนกรานที่จะเก็บตัวประกันไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำาของผู้คนจำนวนมาก หลังจากทำากับราชวงศ์ใต้ครั้งหนึ่ง ทำให้เขาเกลียดอวิ๋นอู๋เหยียนเข้ากระดูกดำที่มีความเห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้งต่อตัวประกันผู้นี้
อย่างไรก็ตามความรู้สึกของมนุษย์ไม่ได้คงอยู่ถาวร หลังจากผ่านไปแปดปี สิ่งที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อจวินอู๋เสียก็ลดน้อยลงไป แม้ตอนนี้พวกเขาก็รู้ว่าองค์ชายของพวกเขาอยู่ในแคว้นเซวียน ทว่าไม่ได้สงบศึกเพราะเขา การตกเป็ตัวประกันแต่เป็เพราะการพ่ายแพ้ในาต่างหาก
ผู้คนมักพยายามหาวิธีเพื่อให้ลืมความอับอาย โดยเฉพาะความอับอายครั้งใหญ่ที่แพ้า ยิ่งเมื่อเป็เช่นนี้ จวินอู๋เสียไม่กลับไปแคว้นใน่หลายปีที่ผ่านมา เกรงว่าไม่มีผู้ใดจำจวินอู๋เสียได้มานานแล้ว
อย่างไรก็ตาม สำหรับแคว้นเซวียนแล้ว ตราบใดราชวงศ์ใต้ไม่เปลี่ยนตัวรัชทายาทแล้ว จวินอู๋เสียอาจกลายเป็รัชทายาทแห่งราชวงศ์ใต้ในอนาคต อย่างไรแล้วก็ควรปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพ
องค์หญิงใหญ่้าตัวเขาหรือ?
ดวงตาของซ่งอี้เฉินเปล่งประกายอย่างซับซ้อน เขามองเหยียนอู๋อวี้โดยไม่ได้ตั้งใจ หากนางเป็อวิ๋นอู๋เหยียนจะตอบสนองอย่างไรกัน?
ท่าทางเหยียนอู๋อวี้สงบนิ่งอย่างมาก บางครั้งก็เผยความยินดีออกมาเป็ครั้งคราว เหมือนว่ายังคงอยู่กับความสุขที่ได้รับจากการเลื่อนตำแหน่งให้เป็เจี๋ยอวี๋ และไม่มีเวลาไปสนใจสิ่งอื่นใด
ได้ยินเสียงหัวเราะอันอ่อนโยนขององค์หญิงใหญ่ “ฮ่องเต้้าตกรางวัล เหตุใดจึงถามหม่อมฉันล่ะ?”
ซ่งอี้เฉินได้สติคืนมาทันทีและตรัสพลางแย้มยิ้ม “หากเสด็จพี่เอ่ยปาก เจิ้นเกรงว่ารางวัลจะน้อยเกินไป เสด็จพี่คงต้องหัวเราะเยาะเจิ้นที่เจิ้นใจแคบอีกกระมัง!”
องค์หญิงใหญ่มองจวินอู๋เสียด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใสเร่าร้อน ครั้นเมื่อเห็นสีหน้าที่อ่อนโยนและรูปลักษณ์ที่หล่อเหลามิมีผู้ใดเทียบได้ราวกับดอกไม้ไฟในใต้หล้าและยังมีความโดดเด่นเหนือทุกคนในตอนนี้ของเขาแล้ว
แม้แต่เซียวจ่างเฟิงผู้ที่นางรักมากที่สุด ก็ยังเทียบเขาได้ไม่ครึ่ง หัวใจของนางตอนนี้รู้สึกเร่าร้อนแทบทนไม่ไหว นางอยากจะะโเข้าในอ้อมกอดของจวินอู๋เสียทันที และสอนให้เขารู้จักวิธีแสดงความรัก นางรู้สึกว่าน้ำเสียงของตัวเองสั่นเครือเล็กน้อย “ทองและเครื่องประดับก็มากเกินไป เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกับรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาของเขา และทักษะการดีดพิณของเขาดีมาก ดังนั้นฮ่องเต้จึงควรมอบพิณโบราณซึ่งทำจากไม้มะเดื่อน่าจะเหมาะสม และคู่ควรกับเขาเพคะ”
ซ่งอี้เฉินหัวเราะและตรัสว่า “เสด็จพี่มีความคิดจะมอบพิณโบราณเจียวเหว่ยให้เขา”
พิณโบราณเจียวเหว่ยนี้สร้างโดยไช่ยง หลังจากเดินทางไปหลายพื้นที่มาหลายร้อยปี อวิ๋นอู๋เหยียนได้รับมันใน่าและมอบให้ซ่งอี้เฉินผู้ชำนาญด้านดนตรี นอกจากนี้ยังถือว่าเป็สัญลักษณ์ของความรักระหว่างพวกเขา
ตอนนี้พิณเก็บไว้ในวังหลวง ซ่งอี้เฉินไม่ได้ดีดพิณมานานหลายปีแล้ว ทำให้ทักษะการดีดพิณของเขาไม่ชำนาญเหมือนก่อน แม้ว่าบางครั้งเขาจะดีดพิณหนึ่งหรือสองเพลง เขาก็ไม่แตะต้องพิณนั้นเลย
องค์หญิงใหญ่เคยเห็นมันในห้องเก็บเครื่องดนตรีมาก่อน และ้าเก็บไว้เป็ของตัวเอง ทว่าซ่งอี้เฉินปฏิเสธ นางจึงไม่เคยพูดถึงมันอีกเลย ไม่คาดคิดว่านางจะพูดถึงมันในเวลานี้
องค์หญิงใหญ่เม้มริมฝีปากสีแดงของนางแล้วแย้มยิ้ม “เมื่อครู่นี้ฮ่องเต้ทรงบอกว่าจะไม่ใจแคบ”
ซ่งอี้เฉินไม่ได้เป็คนใจแคบ และเขาไม่เคยจริงจังกับพิณ ทว่าเมื่อถึงเวลาที่จะต้องเอ่ยปากให้ เขากลับไม่เต็มใจที่จะปล่อยมันไป เขาแค่ตรัสเสียงเบาว่า “พิณโบราณเจียวเหว่ยไม่เหมาะกับองค์ชายจวินเท่าใดนัก พิณที่เหมาะสมคงเป็พิณหลวี้ฉี่ เจิ้นจะสั่งให้ขันทีไปมอบให้ภายหลัง”
ทันทีที่เขาพูดจบจึงเป็การตัดสินใจ ทว่าไม่เตรียมที่จะดำเนินการในทันที
องค์หญิงใหญ่กลับไม่ได้จริงจังเท่าใดนัก แม้นางไม่สามารถได้พิณโบราณเจียวเหว่ยมา ทว่าพิณหลวี้ฉี่ได้มาก็เหมือนกัน เมื่อนางหันกลับมาก็อดขอให้จวินอู๋เสียแสดงท่าทีขอบคุณนางไม่ได้ นางจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและตรัสว่า “องค์ชายจวินชอบหรือไม่?”
พิณหลวี้ฉี่ จวินอู๋เสียท่องชื่อนี้ในใจอย่างเงียบๆ รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่หางตา เขารีบแสดงการขอบคุณทันที
องค์หญิงใหญ่แย้มยิ้มแล้วตรัสว่า “องค์ชายจวินได้รับพิณโบราณล้ำค่าแล้วต้องขอบคุณข้าและเมื่อพิณล้ำค่าส่งไปถึงตำหนัก จะต้องดีดพิณให้ข้าฟังสักเพลงได้หรือไม่?”
จวินอู๋เสียพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงกล่าวเกินไปแล้ว กระหม่อมรู้สึกเป็เกียรติที่ได้ดีดพิณให้กับหญิงงามพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาที่มีเสน่ห์ขององค์หญิงใหญ่กระตุกเล็กน้อย นางรู้สึกมีความสุขมากขึ้นไปอีก
และในขณะนี้เอง จู่ๆ ก็เกิดเสียงพะอืดพะอมดังมาจากด้านหนึ่ง เหลียงเจาอี๋ซึ่งนั่งอยู่ตรงมุมนอนลงไปที่ด้านข้างกราบเรือ หลังจากอาเจียนออกมาสองครั้ง เช็ดมุมริมปากแล้วลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าซีดเซียว จากนั้นแสดงตัวรับผิด
ฮวารั่วซีทูลเสียงเบา “น้องหญิงเหลียงไม่สบายที่ใดหรือ?”
เหลียงเจาอี๋โบกมือแล้วทูลว่า “ไม่มีเพคะ คิดว่าไม่ได้นั่งเรือมานานแล้ว จึงรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย รบกวนความสุขของทุกท่านแล้วจริงๆ”
ฮวารั่วซีมองไปที่ตำแหน่งของนางและทูลด้วยความกังวล “น้องหญิง ที่ตรงนี้มีลมพัดผ่านตลอด หรือว่าเ้าจะเปลี่ยนที่กับข้าไหม ร่างกายน้องหญิงอ่อนแอมาตลอด ควรรักษาร่างกายให้ดี”
เหลียงเจาอี๋รีบส่ายศีรษะแล้วทูลว่า “พี่หญิงซูเฟยกล่าวเกินไปแล้ว ไม่เป็อันใดมากเพคะ......”
ขณะที่นางกำลังพูดนั้นพลันขมวดคิ้ว แล้วนอนลงที่กราบเรืออาเจียนออกไปอีกครั้ง
ฮวารั่วซีรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อประคองเหลียงเจาอี๋และพูดด้วยความกังวล “น้องหญิง เชิญหมอหลวงมาตรวจดูอาการเถิด” หลังจากพูดเช่นนั้น นางหันไปมองซ่งอี้เฉินด้วยสายตาแสดงถึงการถาม
ซ่งอี้เฉินเหม่อลอยเล็กน้อย การกระทำของฮวารั่วซีทำให้เขาคิดว่าเขาได้เห็นฮวารั่วซีคนเดิมอีกครั้ง อ่อนโยน บริสุทธิ์และมีน้ำใจ เมื่อเขาเห็นนางมองกลับได้สติขึ้นมาอีกครั้งและตรัสกับซางจือิว่า “ไปเถิด”
หลังจากซางจือิได้รับบัญชาก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจชีพจรของเหลียงเจาอี๋ จากนั้นไม่นานจึงลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีนอบน้อม ซ่งอี้เฉินตรัสถามทันทีว่า “เหลียงเจาอี๋เป็อย่างไรบ้าง?”
ซางจือิไม่ได้อธิบายทันที ทว่าลังเลครู่หนึ่งแล้วทูลซ่งอี้เฉินว่า “ทูลฝ่าา กระหม่อมต้องขอให้หมอหลวงอีกสองคนมายืนยันการวินิจฉัยพ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่ทุกคนเกิดความสับสน มีเพียงสองกรณีเท่านั้นที่วังหลวง้าหมอหลวงมายืนยันการวินิจฉัยมากกว่าสองคน คือหนึ่งเป็โรคร้ายแรงหรือซับซ้อน และอีกกรณีหนึ่งคือการตั้งครรภ์ เหลียงเจาอี๋คนนี้ไม่ใช่นางสนมคนโปรด ซ่งอี้เฉินไปหานางเป็ครั้งคราว เมื่อเห็นสีหน้านางซีดเซียว รูปร่างบอบบางเหมือนต้นหลิว เกรงว่าอาจเป็โรคอันใดก็ยากจะบอกได้
ซ่งอี้เฉินสั่งให้หมอหลวงอีกสองคนเข้ามาตรวจอาการ ผ่านไปครู่หนึ่งทุกคนต่างใจไม่อยู่กับตัว แม้ว่าจะมีการร้องเพลงและการเต้นรำอย่างต่อเนื่อง ทว่าความสนใจของทุกคนต่างอยู่ที่เหลียงเจาอี๋
หมอหลวงทั้งสามคนปรึกษาเื่นี้อย่างรอบคอบ ในที่สุดหมอหลวงาุโผู้หนึ่งก้าวมาข้างหน้าและทูลตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ”
บรรยากาศโดยรอบต่างเงียบลง จากนั้นก็มีคนคาดเดาเื่ทั้งหมดทันที หมอหลวงทูลต่อทันทีว่า “เจาอี๋ ทรงตั้งครรภ์ทายาทั และตั้งครรภ์มานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว เนื่องจากวันนี้นางไม่สบายจึงตรวจจนรู้เื่ กระหม่อมจะเขียนเทียบยาให้ ขอให้เจาอี๋พักผ่อนให้เต็มที่ก็จะไม่เป็ไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของเต๋อเฟยเต็มไปด้วยความดีใจ นางเป็คนแรกที่ก้มลงถวายพระพร “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าาด้วยเพคะ วันนี้นับเป็โชคดีสองชั้นเพคะ!”