"ในเมื่อข้าเป็คนของครอบครัวรองแล้ว ต่อไปในภายภาคหน้าย่อมไม่มีทางเพ้อฝันถึงเื่ที่ไม่มีอยู่จริงพี่สามไม่ต้องกินหัวไชเท้าแล้วพะว้าพะวัง [1] ในฐานะภรรยาพี่ห้า ข้าย่อมต้องคอยติดตามเขาอย่างแน่นอน" นางเอ่ยอย่างราบเรียบ
อวี๋จิ่นซูแค่นหัวเราะเย้ยหยันไม่นึกเชื่อในคำกล่าวของอวี๋เจียวแม้แต่นิด “หากเ้าทำตัวเหมาะสมจริงจะไปปีนเตียงของจิ่นเหยียนได้อย่างไร? ไม่แปลกที่เ้าจะมีใจเป็อื่นก็คงเพราะร่างกายของเ้าห้าไม่ได้เื่เกรงว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าหอกับเ้ากระมัง? หากเ้าเปล่าเปลี่ยวจนยากจะทานทนข้าก็พอจะช่วยปลอบใจเ้าได้ชั่วคราว!”
ครั้นหูได้ยินอวี๋จิ่นซูเอ่ยวาจาต่ำตมลงเรื่อยๆใบหน้าของอวี๋เจียวฉายแววขุ่นเคือง “ได้โปรดสำรวมตน ในเมื่อเ้าเป็ปัญญาชนก็ควรจะประพฤติตนในคุณธรรมมิหนำซ้ำยังมีศักดิ์เป็พี่ชายของพี่ห้ายิ่งไม่ควรเอาเื่อาการเจ็บป่วยของเขามาเอ่ยถึง”
อวี๋จิ่นซูไม่ชอบน้องห้าของเขาั้แ่เด็ก ทั้งๆที่ร่างกายอ่อนแอกลับเปี่ยมไปด้วยความปราดเปรื่องและกดข่มความโดดเด่นของครอบครัวสามของเขาผนวกกับถูกสตรีแซ่จ้าวและสตรีแซ่อวี๋โจวปลูกฝังั้แ่เด็กว่าครอบครัวสามของพวกเขาควรสูงส่งกว่าทั้งสองครอบครัวในปีนั้นที่อวี๋ฉี่เจ๋อเป็จอหงวนสามสนามและมีหน้ามีตาอย่างไร้ขีดสุดภายในใจของอวี๋จิ่นซูเกิดเป็ความเกลียดชังไม่น้อยครั้นยามนี้ร่างกายของอวี๋ฉี่เจ๋อทรุดโทรมอย่างถึงที่สุด อวี๋จิ่นซูจึงคอยเอ่ยวาจาเย้ยหยันลับหลังเขาอยู่ไม่น้อย
เขายิ้มเยาะว่า “เ้าจะเสแสร้งอะไรกัน? หญิงแพศยาเช่นเ้ามีคุณสมบัติมาสั่งสอนข้าอย่างนั้นหรือ? เอ่ยถึงคุณธรรมความดีกับข้าหากเ้ามียางอายสักนิดก็คงไม่ปีนขึ้นเตียงของจิ่นเหยียนหากไม่ใช่เพราะทำเพื่อปกป้องชื่อเสียงของจิ่นเหยียนเ้าคงถูกจับใส่กรงหมูถ่วงน้ำไปนานแล้ว!”
อวี๋เจียวแค่นยิ้มเย็น หากในมือของนางมีเข็มเงิน นางคงจะจิ้มอวี๋จิ่นซูให้แหลกละเอียดทางที่ดีที่สุดภายหน้าเขาอย่าได้เจ็บป่วยเป็โรคอะไรจะดีที่สุดไม่เช่นนั้นหากมาขอร้องอยู่ต่อหน้านางนางไม่มีทางปล่อยโอกาสที่จะได้สั่งสอนเขาให้หลุดมืออย่างแน่นอน
เช้าตรู่วันต่อมา สตรีแซ่จ้าวตื่นั้แ่เช้าช่วยบุตรชายทั้งสองเก็บเนื้อแห้งและไข่ต้มใส่ห่อผ้าใบน้อยใบใหญ่อีกทั้งยังไหว้วานให้ผู้ที่มีรถลาช่วยส่งพวกเขาไปยังสำนักศึกษา เมื่อเทียบกันแล้วอวี๋จือหางผู้เป็บุตรชายครอบครัวใหญ่แลดูกระจอกกว่ามากโข เพราะครอบครัวใหญ่ไม่ได้หน้าได้ตาจากฮูหยินเฒ่าอีกทั้งยังไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคัดค้าน
ห้าวันถัดมาอวี๋หรูไห่นั่งอยู่ในห้องโถงเพื่อรอคนสกุลมู่ั้แ่เช้าด้วยจิตใจกระสับกระส่ายประเดี๋ยวกลัดกลุ้ม กลัวว่าโรคแผลพุพองบนหลังของมู่เหยี่ยนไม่ดีขึ้นคนสกุลมู่จะมาก่อเื่ถึงหน้าประตูเรือน ประเดี๋ยวลูบเคราหัวเราะเพ้อฝันว่าหากโรคแผลพุพองของมู่เหยี่ยนดีขึ้น คนสกุลมู่จะต้องมากราบไหว้ถึงจวน
แต่รอมาทั้งวันกลับไม่มีผู้ใดมาเยือน
ขณะทานอาหารเย็น อวี๋หรูไห่กินข้าวไม่ลงซักถามอวี๋เจียวเื่แผลพุพองของมู่เหยี่ยนทั้งในที่ลับและที่แจ้งอยู่หลายต่อหลายครั้งอวี๋เจียวเอ่ยอย่างขอไปทีไม่กี่ประโยค บอกว่าแค่โรคแผลพุพองเท่านั้นขอเพียงมู่เหยี่ยนทำตามวิธีที่นางบอกย่อมไม่เป็อะไร
มีคนในหมู่บ้านมาชวนอวี๋เฉียวซานขึ้นเขาไปล่าสัตว์เพราะอีกไม่นานชาวนาต้องวุ่นวายอยู่กับการเก็บเกี่ยวข้าวสาลีอวี๋เฉียวซานอยากฉวยโอกาสขณะยังมีเวลาว่างขึ้นเขาล่าสัตว์หากล่าได้สัตว์ที่มีราคาจะได้เอาไปขายในเมืองเพื่อหาเงินเล็กๆ น้อยๆ
อวี๋เจียวได้ยินแล้วนึกสนใจยิ่งนักนางอยากขึ้นเขาไปดูว่ามีสมุนไพรอะไรบ้างมาโดยตลอด หลังจากคนในหมู่บ้านกลับไปอวี๋เจียวตั้งใจไปหาอวี๋เฉียวซานเพื่อบอกล่วงหน้าว่าวันพรุ่งนี้นางอยากขึ้นเขาไปพร้อมกับเขา
เพราะช่วยอวี๋เจียวทำขาเทียมอวี๋เฉียวซานจึงเปลี่ยนความคิดที่มีต่ออวี๋เจียวไปบ้างไม่ได้ปฏิเสธและยอมให้อวี๋เจียวตามเขาขึ้นเขาด้านหลังไปด้วยกัน
อวี๋เจียวหาสมุนไพรไล่แมลงจำนวนหนึ่งมาบดเป็ผงเพียงแต่หลังจากมองท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่งกลับไม่กระตือรือร้นถึงเพียงนั้นเสียแล้วนางกลับไปหาอวี๋เฉียวซานอีกครั้ง
“ท่านลุงใหญ่ วันพรุ่งนี้น่าจะฝนตกไม่เหมาะจะไปล่าสัตว์ที่เขาด้านหลังเ้าค่ะ” อวี๋เจียวเอ่ย
อวี๋เฉียวซานเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “คงไม่กระมังหลายวันมานี้ท้องฟ้าแจ่มใส วันนี้อากาศก็ดีมาก ดูไม่เหมือนฝนจะตก”
………….
เชิงอรรถ
[1] 咸吃萝卜淡操心 กินหัวไชเท้าแล้วยังพะว้าพะวง เปรียบเปรยว่าคนที่ชอบยุ่งเื่ของคนอื่นโดยไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง