ไม่ได้มีเพียงแค่ซือถูคงเท่านั้น เพราะบรรดาแขกในโรงเตี๊ยมต่างก็ตื่นใกับเหตุการณ์นี้เช่นกัน พวกเขาจ้องมองมู่เฟิงราวกับมองคนที่ตายไปแล้ว
“กล้าสังหารคนของตระกูลอินในเมืองจิ่วซาน เ้าเด็กนั่นจะหาญกล้าเกินไปแล้ว”
“ไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจจะไม่รู้ถึงอิทธิของตระกูลอินในเมืองจิ่วซานก็ได้ ลูกวัวแรกเกิดช่างไม่รู้จักกลัวเสือเอาเสียเลย”
“เ้าเด็กนั่นตายแน่ๆ ข้ารู้จักกับอินหู่ผู้นั้น เขาเป็สายเืโดยตรงของตระกูลอินเชียวนะ”
กลุ่มคนภายในโรงเตี๊ยมต่างก็วิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์นี้
สีหน้าของซือถูคงในเวลานี้ดูเ็าเป็อย่างยิ่ง เขาพยายามพุ่งเป้าไปที่มู่เฟิงอย่างเต็มที่ แต่มู่เฟิงกลับทำเพียงแค่เหลือบมองซือถูคงและกล่าวอย่างเ็าว่า “วางใจเถอะ ข้ามู่เฟิงรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองทำเสมอ ข้าไม่ปล่อยให้มีผลกระทบถึงศิษย์พี่ซือถูแน่นอน”
“หึ รับผิดชอบ เ้าจะรับผิดชอบอะไรได้ หากเื่นี้ส่งผลกระทบถึงภารกิจเ้าจะทำอย่างไร?”
ซือถูคงตวาดอย่างเ็า
“เอาเถอะ เพราะเซวียนเอ๋อร์ทำให้มู่เฟิงต้องกลายเป็ศัตรูกับคนตระกูลอิน ฉะนั้นเื่นี้จะกล่าวโทษมู่เฟิงไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็ศิษย์ระดับจื่อฝู่คนหนึ่ง คนตระกูลอินกล้าแตะต้องศิษย์ของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นของเราแบบนี้ได้อย่างไร”
ข่งย่วนกล่าวออกมาอย่างเข้าข้างมู่เฟิง
“ถูกต้องแล้ว เื่นี้จะกล่าวโทษมู่เฟิงไม่ได้ คนผู้นั้นสมควรที่จะถูกสังหารแล้ว”
ข่งเซวียนเอ๋อร์กล่าวเสริม
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของซือถูคงก็ทอประกายเย็นะเื แต่แล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา จากนั้นชายหนุ่มก็กล่าวว่า “ในเมื่อย่วนเอ๋อร์และเซวียนเอ๋อร์พูดแบบนี้ ข้าจะยังพูดอะไรได้อีก ข้าเพียงห่วงเื่ภารกิจเท่านั้น”
มู่เฟิงยิ้มเยาะในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเดินเข้าไปหาอินหู่ก่อนจะทำการค้นร่างของอีกฝ่าย เพียงไม่นานเขาก็พบถุงหนังซึ่งบรรจุเหรียญตำลึงทองและตำราเล่มเล็กหนึ่งเล่ม
มู่เฟิงกวาดตามองอย่างรวดเร็ว บนตำราเล่มนั้นมีอักษรเขียนเอาไว้ว่าบันทึกการหลอมศพ
คาดเดาได้ว่ามันอาจจะเป็บันทึกการหลอมศพของอินหู่ และมันก็ไม่ใช่เคล็ดการฝึก ดังนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขา อย่างมากก็เพียงแค่ทำให้เข้าใจวิชาการหลอมศพมากขึ้นเท่านั้น
มู่เฟิงเก็บเหรียญตำลึงทองและบันทึกการหลอมศพกลับมา ก่อนที่แผ่นยันต์บรรลัยกัลป์จะปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา จากนั้นมู่เฟิงก็โยนแผ่นยันต์นี้ไปทางร่างไร้ิญญาของอินหู่ทันที อุณหภูมิความร้อนที่มีความสูงมากกว่าหนึ่งพันองศาแผดเผาร่างของอินหู่จนร่างนั้นกลายเป็เถ้าถ่านภายในเวลาไม่กี่อึดใจ
“เ้านี่สังหารคน ปล้นทรัพย์และทำลายหลักฐานได้อย่างคล่องแคล่วเลยทีเดียว เกรงว่าคงทำเื่แบบนี้มาไม่น้อยเลยสินะ?”
เมื่อเห็นภาพนี้ ข่งย่วนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างหยอกล้อ
“ฮะๆ ทำให้ศิษย์พี่ข่งต้องมาเห็นเื่น่าขบขันแล้ว”
มู่เฟิงยิ้มบาง
“มู่เฟิง ตำราที่เ้าเพิ่งพบเมื่อครู่คืออะไรหรือ? ขอข้าดูหน่อยสิ”
ข่งเซวียนเอ๋อร์ขยับเข้าไปใกล้มู่เฟิง พร้อมกับเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อยากดูหรือ? ไม่ให้!”
มู่เฟิงกระตุกยิ้มมุมปาก เขาชูตำราเล่มนั้นขึ้นพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เอามาให้ข้าดูนะ เอามาให้ข้าดู”
ข่งเซวียนเอ๋อร์เข้าไปเกาะแขนมู่เฟิง และพยายามที่จะแย่งชิงตำราเล่มนั้นมาให้ได้
“เอาละ เอาละ ข้าทนเ้าไม่ไหวแล้ว”
มู่เฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมมอบตำรานั้นให้กับข่งเซวียนเอ๋อร์
เมื่อเห็นว่าข่งเซวียนเอ๋อร์และข่งย่วนเริ่มเอนเอียงไปทางมู่เฟิงมากขึ้น ดวงตาของซือถูคงก็ยิ่งทอประกายเย็นะเื
“น่าขยะแขยงนัก ของแบบนี้ข้าไม่ดูแล้ว”
ข่งเซวียนเอ๋อร์เปิดตำราไปได้เพียงสองหน้าก็ส่งตำราเล่มนั้นคืนให้มู่เฟิงทันที
“เอาละ ทุกคนกลับไปพักผ่อนต่อเถอะ มู่เฟิง เ้าเองก็ต้องระวังตัวให้มากด้วย”
ข่งย่วนกำชับ มู่เฟิงพยักหน้ารับในทันที จากนั้นพวกเขาก็เดินกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง ส่วนมู่เฟิงก็ขอห้องพักใหม่
เมื่อเข้ามาในห้องพักใหม่แล้ว มู่เฟิงก็ไม่มีอารมณ์ที่จะนอนต่อ ดังนั้นเขาจึงหยิบตำราบันทึกการหลอมศพออกมาศึกษา
วิธีการหลอมศพนั้นค่อนข้างโหดร้าย มันสามารถหลอมได้ทั้งศพของมนุษย์และศพของอสูร ทั้งยังจำเป็ต้องใช้แก่นโลหิตของตัวเองฝังเข้าไปในศีรษะของร่างศพเ่าั้ ก่อนจะใช้วิธีการลับหลอมศพให้กลายเป็หุ่นเชิดที่แข็งแกร่งและอยู่ยงคงกระพัน
นอกจากนี้หุ่นเชิดเองก็มีการแบ่งระดับชั้นอยู่ด้วยเช่นกัน
ระดับต่ำสุดคือหุ่นเชิดเกราะเหล็ก ซึ่งความแข็งแกร่งสูงสุดของมันเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นเก้า
ส่วนระดับถัดไปคือหุ่นเชิดเกราะเงิน ซึ่งเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกัง ถัดจากนี้ยังมีหุ่นเชิดเกราะทองคำ ซึ่งเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตาน
สำหรับหุ่นเชิดที่อยู่นอกเหนือจากหุ่นเชิดเกราะทองคำ ยังไม่มีบันทึกในตำราของอินหู่ อาจจะเป็เพราะประสบการณ์ของเขายังไม่มากพอ เขาจึงไม่รู้ถึงขอบเขตความรู้ที่สูงกว่านี้
สำหรับหุ่นเชิดนี้สามารถกล่าวได้ว่ามันคืออาวุธที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ เสมือนวิชาหุ่นกระบอกรูปแบบหนึ่ง
มู่เฟิงปิดตำราเล่มนั้นก่อนจะนอนลงบนเตียง เสี่ยวเทียนขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาและกำลังหลับอย่างสงบ เพียงไม่นานมู่เฟิงก็เริ่มเข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกคน
วันรุ่งขึ้น ข่งเซวียนเอ๋อร์มาเคาะประตูห้องของมู่เฟิงั้แ่เช้าตรู่ นางมาขอให้มู่เฟิงออกไปเดินเล่นในเมืองจิ่วซานเป็เพื่อนนาง
“ข้าจะบอกอะไรเ้าให้นะคุณหนู เมื่อคืนข้าไม่ได้นอนเกือบทั้งคืน เ้ามาปลุกข้าเช้าเกินไปแล้ว”
มู่เฟิงหาว
“ไปกันเถอะ พวกเราออกไปเดินเล่นกัน พี่หญิงและพี่ใหญ่ซือถู้าจะฝึกฝนจึงไม่อยากออกไปข้างนอก”
ข่งเซวียนเอ๋อร์จับแขนมู่เฟิงและลากเขาออกไปทันที
“ข้าเองก็อยากฝึกเช่นกัน”
มู่เฟิงรู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
“วันพรุ่งก็ต้องไปรวมตัวกันเพื่อไปวังโบราณจิ่วซานแล้ว เ้าฝึกฝนตอนนี้ยังจะมีประโยชน์อะไรอีก ไปกันเถอะ”
มู่เฟิงพูดไม่ออก เขาถูกข่งเซวียนเอ๋อร์ลากออกไปอย่างรวดเร็ว แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้ถือโอกาสออกไปหาซื้อแผ่นยันต์และแก่นหมึกเลยทีเดียว เนื่องจากแผ่นยันต์ขั้นสองของเขาใกล้จะหมดแล้ว
บรรยากาศในเมืองจิ่วซานนั้นคึกครื้นเป็อย่างยิ่ง มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย เนื่องจากวันพรุ่งนี้จะเป็วันที่ต้องเปิดวังโบราณจิ่วซาน ดังนั้นจึงมีทหารรับจ้างและนักผจญภัยจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ภายในเมืองแห่งนี้
ยามนี้ข่งเซวียนเอ๋อร์ดูไม่ต่างไรจากลูกนกตัวน้อยที่เริงร่าตัวหนึ่ง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและสงสัยในทุกสิ่ง เพียงแค่ได้หันไปมองสิ่งต่างๆ นางก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขแล้ว นอกจากนี้มู่เฟิงยังพบว่าแม้นางจะมีอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อย แต่นางก็ไม่ได้น่ารำคาญมากนัก จิตใจของนางบริสุทธิ์และเรียบง่ายมาก
ในที่สุดหนุ่มสาวทั้งสองก็เดินมาถึงตลาดกลางจัตุรัสซึ่งมีร้านค้าและแผงลอยมากมาย มู่เฟิงเดินเข้าไปในร้านค้าร้านหนึ่ง ก่อนจะใช้เงินจำนวนสามพันเหรียญตำลึงทองซื้อแผ่นยันต์ขั้นสองกลับมาจำนวนมาก
จากนั้นพวกเขาก็เดินเตร็ดเตร่ คอยสำรวจมองข้าวของจากสองข้างทาง ข่งเซวียนเอ๋อร์กวาดตามองไปโดยรอบ และซื้อของทุกอย่างที่นางรู้สึกสนใจ แน่นอนว่าสตรีผู้นี้ไม่ได้ขาดแคลนเงินทองเลยสักนิด
“เร่เข้ามา เร่เข้ามา แวะดูสักหน่อยเถิด โสมทองคำพันปี”
ทันใดนั้นคนทั้งสองก็พลันได้ยินเสียงะโดังมาจากข้างหน้า ซึ่งมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังล้อมวงเพื่อชมบางอย่าง ที่ตรงกลางมีชายวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยชุดเกราะหนังสัตว์คล้ายกับพวกทหารรับจ้างกำลังป่าวประกาศอยู่หน้าแผง โดยในมือของเขากำลังถือโสมสีทองอ่อนเอาไว้
โสมชิ้นนั้นมีกลิ่นหอมของสมุนไพรแผ่ออกมา นับว่าเป็สมุนไพรที่ไม่เลวเลยทีเดียว แต่หากจะบอกว่ามันคือโสมทองคำพันปี เกรงว่าชายผู้นั้นคงจะกล่าวเกินจริงแล้ว
มู่เฟิงกับข่งเซวียนเอ๋อร์เดินเบียดเข้าไปในฝูงชนด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เหลาป่าน* เ้ากำลังหลอกลวงผู้คน โสมทองคำของเ้าอย่างมากก็มีอายุแค่เพียงหนึ่งร้อยปีเท่านั้น จะเป็หนึ่งพันปีได้อย่างไร”
(*พ่อค้า)
ข่งเซวียนเอ๋อร์มองไปยังโสมทองคำ ก่อนจะะโออกมาเสียงดัง
“เฮอะๆ แม่นาง ไม่ว่าโสมนี่จะอายุถึงพันปีหรือไม่ แต่พลังในการรักษาของโสมทองคำก็จะต้องอยู่ในระดับของสมุนไพรขั้นสามอย่างแน่นอน”
ทหารรับจ้างผู้นั้นยังคงกล่าวกับข่งเซวียนเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ
ข่งเซวียนเอ๋อร์หน้าแดงก่ำ นางอยากจะด่ากราดเขาว่าไร้ยางอาย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางมู่เฟิงก่อน
มู่เฟิงและคนอื่นๆ ต่างก็กำลังมองดูของที่วางขายอยู่บนแผงลอยของชายผู้นั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็สมุนไพรและสิ่งของที่มาจากสัตว์อสูร นอกจากนี้ยังมีแก่นอสูรรวมอยู่ด้วย แต่แล้วสายตาของมู่เฟิงก็จับจ้องไปยังวัตถุที่มีรูปลักษณ์ไม่ค่อยน่ามองชิ้นหนึ่ง
มันคือชิ้นส่วนสีดำขนาดเท่าฝ่ามือ ซึ่งบนผิวของมันก็มีโคลนเกาะติดอยู่เต็มไปหมด ทว่ายังพอมองออกมาว่าบนพื้นผิวของมันนั้นมีลายเส้นที่มีความซับซ้อนและลึกลับปรากฏให้เห็นอย่างไม่ชัดเจนนักอยู่
“ชิ้นส่วนของหยกเทวะทมิฬ!”