น้ำเสียงของกู้จวิ้นเฉินราบเรียบ ฟังไม่ออกถึงคลื่นอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ที่จริงั้แ่กู้จวิ้นเฉินมาถึงค่ายทหารซีเป่ยจนถึงเดี๋ยวนี้ น้ำเสียงของเขาล้วนเ็าสงบนิ่งมาโดยตลอด มีเพียงครั้งเดียว คือเมื่อครั้งทราบข่าวการหายตัวไปของแม่ทัพน้อยอวี๋ จึงปรากฏสีหน้าและอารมณ์ออกมาเล็กน้อย
เขาในวัยนี้ มีความเยือกเย็นถึงเพียงนี้ นับว่าหาได้ยาก
รองแม่ทัพทั้งห้าต่างนิ่งเงียบ แม้จะกล่าวว่ามือสังหารลอบสังหารฉีอ๋องเป็เื่ส่วนตัว แต่เื่นี้เกิดขึ้นในค่ายทหาร ทว่ายามนี้ฉีอ๋องเป็ผู้ดูแลค่ายทหารซีเป่ย และจากการได้อยู่ร่วมกันมาในระยะเวลาสี่เดือนที่ผ่านมานี้ พวกเขาย่อมเข้าใจในตัวของเด็กหนุ่มผู้นี้อยู่บ้าง ในยามปกติไม่ค่อยพูดจา สีหน้าและอารมณ์ก็น้อยนักที่จะปรากฏให้เห็น เขามักจะมีสีหน้าเ็าอยู่เสมอ บุคลิกสูงศักดิ์ด้วยชาติกำเนิดอันสูงส่งของเขา ช่างชัดเจนในสายตาของพวกเขายิ่งนัก
“ท่านอ๋อง...ท่านไม่เชื่อใจในตัวพวกเราใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” รองแม่ทัพไต้เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน “แม่ทัพน้อยอวี๋มักจะพูดอยู่เสมอว่าค่ายทหารเป็อันหนึ่งอันเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ หากไม่สามารถเชื่อใจซึ่งกันและกันได้...”
“หากไม่สามารถเชื่อใจซึ่งกันและกันได้ เช่นนั้นควรทำเช่นใด?” กู้จวิ้นเฉินย้อนถาม
“หากไม่สามารถเชื่อใจซึ่งกันและกันได้ เช่นนั้นจะไม่เป็ผลดีต่อค่ายทหารซีเป่ย หากแคว้นฝูชิวเข้าโจมตี ศัตรูอยู่เบื้องหน้า เช่นนี้มีแต่ทำร้ายค่ายทหารซีเป่ย” รองแม่ทัพไต้กล่าว
“ความหมายของเ้าฟังแล้วก็คือ แม่ทัพน้อยอวี๋เชื่อใจพวกเ้าอย่างยิ่ง” กู้จวิ้นถามกลับ
“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ พวกเราทุกคนในนี้ แม่ทัพน้อยอวี๋ล้วนไว้วางใจอย่างยิ่ง” รองแม่ทัพไต้ไม่ลืมที่จะเอ่ยว่าทุกคน
จริงหรือ? “เช่นนี้ พวกเ้าคิดว่าก่อนที่แม่ทัพน้อยอวี๋จะหายตัวไป เหตุไฉนจึงไม่ได้บอกเื่นี้กับพวกเ้า?”
“หรือว่า...” รองแม่ทัพเฉียนคิดไตร่ตรอง “จะมีไส้ศึกจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ไส้ศึก ตัวอักษรสองตัวนี้เป็ราวกับเป็ลูกะเิ ที่จริงทุกคนมีความคิดเช่นนี้นานแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยขึ้นมา การที่แม่ทัพน้อยอวี๋หายตัวไปทำให้มีคนเกิดความสงสัยเช่นนี้ ครั้งนี้เมื่อมีมือสังหารบุกค่ายทหารลอบสังหารฉีอ๋องอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จึงจะเป็ชนวนที่แท้จริง หากไม่มีไส้ศึกคอยช่วยเหลือ จะสามารถลอบเข้าไปถึงกระโจมของฉีอ๋องโดยไม่กระโตกกระตากให้ทหารค่ายซีเป่ยรู้ตัวได้อย่างไร?
“ท่านอ๋อง ท่านคิดว่าไส้ศึกคือผู้ใด” รองแม่ทัพเฉียนถาม “หากให้ตาแก่อย่างข้ารู้ว่าเป็ใคร ข้าต้องตีให้แขนขาหัก มารดามันเถอะ ครั้งนี้ทำให้ตาแก่เช่นข้าได้รับาเ็”
พูดขึ้นมาแล้ว รองแม่ทัพเคอและรองแม่ทัพเฉียนที่รออยู่ที่ค่ายทหาร สุดท้ายรองแม่ทัพเฉียนได้รับาเ็ เื่นี้สำหรับรองแม่ทัพเฉียนแล้วนั้น เป็เื่ที่น่าโมโหยิ่งนัก
“ไส้ศึกเป็ผู้ใดเปิ่นหวางมิอาจรู้ เปิ่นหวางอาจจะรู้แต่ไม่บอกพวกท่าน พวกท่านสามารถคาดเดาได้ ว่าในระหว่างหลายวันนี้มือสังหารผู้นั้นรับสารภาพผิดแล้วหรือไม่” กู้จวิ้นเฉินกำลังใช้ยุทธวิธีทางจิตวิทยา หากรับสารภาพแล้วไส้ศึกจะเป็เช่นใด? หากไม่ยอมรับสารภาพผิดเล่า? ต้องดูว่าไส้ศึกคิดอย่างไร
“ตาแก่เช่นข้าทำแต่เื่ตรงไปตรงมาย่อมไม่กลัวสิ่งใด” รองแม่ทัพเฉียนกล่าวขึ้นก่อน
“มิน่าเล่าพวกเราสู้รบกับแคว้นฝูชิวด้วยความยากลำบาก แต่ไม่ได้อะไรกลับมา คิดดูแล้วก็เป็เพราะมีไส้ศึก” รองแม่ทัพไต้กล่าว
“ใช่แล้ว ทันทีที่พบตัวไส้ศึก พวกเราจะได้โล่งอกเสียที” รองแม่ทัพเคอกล่าวเสริม
รองแม่ทัพจางมองไปทางรองแม่ทัพเซี่ย “รองแม่ทัพเซี่ย ท่านเป็อะไรไป? ระยะนี้ท่านไม่ค่อยพูดจา”
ด้วยคำถามของรองแม่ทัพเคอ สายตาของทุกคนล้วนมองไปที่รองแม่ทัพเซี่ย รองแม่ทัพเซี่ยเลิกคิ้ว “ต้องพูดอันใดเล่า?” เขาถามกลับ “หน้าที่ของข้าคือปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่ใช่ถามว่าด้วยเหตุใด?”
รองแม่ทัพเซี่ยผู้นี้มีนิสัยไม่เหมือนผู้อื่น
หลังจากที่ทุกคนแยกย้าย หลี่จงิเดินตามกู้จวิ้นเฉิน “ท่านอ๋อง”
“อืม เริ่มั้แ่วันนี้ ท่านทำหน้าที่ของจวิ้นอีชั่วคราว” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“พ่ะย่ะค่ะ”
กู้จวิ้นเฉินหันไปมองอ๋าวเหลียว อ๋าวเหลียวเป็คนน่าเบื่อคนหนึ่ง พูดน้อย ดูเหมือนั้แ่เขาเดินทางมาถึงค่ายทหารซีเป่ย กู้จวิ้นเฉินได้ยินเขาพูดจาไม่เกินห้าครั้ง “ทัพหน้าอ๋าวมีความเห็นเช่นไร?”
อ๋าวเหลียวแปลกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่ากู้จวิ้นเฉินจะถามเขา เขาไตร่ตรอง “พวกเราไม่ไปตามหาแม่ทัพน้อยอวี๋หรือพ่ะย่ะค่ะ” หากเป็ผู้อื่น อ๋าวเหลียวคงสงสัยว่าอีกฝ่าย้ามาแทนที่แม่ทัพน้อยอวี๋ ดังนั้นจึงไม่ออกไปตามหาแม่ทัพน้อยอวี๋ แต่ฉีอ๋องกับแม่ทัพน้อยอวี๋นั้นมีศักดิ์เป็ลูกพี่ลูกน้องข้างฝ่ายมารดา และเป็ครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นอ๋าวเหลียวจึงเลือกที่จะถามความในใจของตนออกมา
“ตามความเห็นของท่าน ควรตามหาอย่างไร?” กู้จวิ้นเฉินถาม “แม่ทัพน้อยอวี๋ได้รับรายงานจากสายลับในแคว้นฝูชิว จากนั้นจึงนำกำลังพลห้าร้อยนายไปหุบเขาลั่วเหอ แต่กลับไร้ซึ่งข่าวคราว คนของพวกเราตามหาอยู่ในละแวกหุบเขาลั่วเหอเป็เวลาหนึ่งเดือน ล้วนไม่พบเบาะแสใดๆ ดังนั้นจึงสันนิษฐานเบื้องต้นว่า แม่ทัพน้อยอวี๋ไม่ได้ผ่านไปที่หุบเขาลั่วเหอ เช่นนั้นท่านมีความคิดเห็นเช่นใด?”
อ๋าวเหลียวกล่าว “ไม่ว่าแม่ทัพน้อยวี๋จะได้ผ่านไปทางหุบเขาลั่วเหอหรือไม่ ระยะทางที่เขาออกเดินทางจากค่ายทหารไปถึงจนถึงหุบเขาลั่วเหอ ขอเพียงแค่เดินทางผ่านย่อมต้องทิ้งร่องรอยเบาะแสเอาไว้ และในระยะทางนั้น เขาย่อมต้องเดินทางผ่านเป็แน่พ่ะย่ะค่ะ”
“สิ่งที่ท่านพูดมานั้น พวกเราย่อมคิดได้เช่นกัน” หลี่จงิกล่าว “ั้แ่พวกเรามาถึงที่นี่ ข้าได้พาคนไปตามหาในเส้นทางนั้นด้วยตนเองแล้ว”
อ๋าวเหลียวและหลี่จงิถือได้ว่าเป็คนคุ้นเคยกันอยู่ หลี่จงิและแม่ทัพน้อยอวี๋มีความสัมพันธ์กันไม่เลวนัก ที่นี่ล้วนเป็คนกันเองทั้งสิ้น เื่บางเื่จึงไม่ควรปิดบัง “ปัญหาในเวลานี้ก็คือ ข้อแรก แม่ทัพน้อยอวี๋บอกว่าเขาได้รับรายงานจากสายลับ แต่พวกเรากลับไม่รู้ว่าผู้ใดเป็สายลับ? หรืออาจจะเป็เพราะสายลับผู้นี้ไม่มีตัวตนจริงๆ ก็ไม่อาจรู้ได้ ข้อสอง เื่ของโค่วฉีท่านก็รู้ โค่วฉีเพิ่งจะร้องเรียนแม่ทัพน้อยอวี๋ คล้อยหลังแม่ทัพน้อยอวี๋หายตัวไป หากไม่ใช่ฉีอ๋องเดินทางมาตรวจสอบเื่นี้ด้วยตนเอง ย่อมทำให้ผู้คนคิดว่าแม่ทัพน้อยอวี๋หลบหนีความผิด ข้อสาม ไส้ศึก หากเื่ที่แม่ทัพน้อยอวี๋หายตัวไปมีปัญหาจริงๆ เช่นนั้นไส้ศึกย่อมรู้เบาะแส” หลี่จงิกล่าว
กู้จวิ้นเฉินมองหลี่จงิอย่างตกตะลึง หาได้ยากที่หลี่จงิสามารถคิดเื่เหล่านี้ได้
“ดังนั้นฉีอ๋องจึงสลับสับเปลี่ยน พาตัวมือสังหารออกมาเพื่อเป็การบีบไส้ศึกหรือ?” อ๋าวเหลียวพลันกระจ่างแจ้ง
“มิใช่ทั้งหมด” กู้จวิ้นเฉินพลันเอ่ยปากขึ้น
“ความหมายของท่านอ๋องก็คือ?” อ๋าวเหลียวสงสัย
ต่อให้เป็หลี่จงิก็ขบคิดไม่แตก
“หากการแอบโจมตีของแคว้นฝูชิวและอาวุธลับของคนปิดหน้านั้นปรากฏตัวเพื่อสายลับผู้นั้น เช่นนั้นจะเป็การกระทำที่เอิกเกริกเกินไปหรือไม่? สิ่งที่พวกเขาทุ่มเทเสียสละมากเกินไปแล้วหรือไม่?” กู้จวิ้นเฉินถาม “ลองคิดดู มือสังหารมาลอบสังหารข้าเป็ไปได้สองกรณี กรณีแรกคือเขาทำสำเร็จข้าตายแล้ว อีกกรณีหนึ่งคือเขาล้มเหลวข้ายังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ว่าจะเป็กรณีใด จุดจบของเขาได้กำหนดเอาไว้แน่นอนแล้ว หนีรอดไปได้คือมีชีวิต หนีออกไปไม่ได้ก็คือตาย”
“ข้ากระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อ๋าวเหลียวเอ่ยปาก “นั่นก็คือเขานั้นได้เตรียมตัวที่จะมาตายอยู่แล้ว ในเมื่อเตรียมตัวอย่างดีเพื่อจะมาตาย เช่นนั้นต่อให้เขาถูกจับ จุดจบก็คือตาย”
“ถูกต้อง สำหรับหมากที่ไม่้าแล้ว พวกเ้าลองวิเคราะห์ดู ยังมีความจำเป็ที่แคว้นฝูชิวจะต้องซุ่มโจมตีอีกหรือไม่? ยังมีคนปิดหน้าพร้อมกับอาวุธลับที่มาช่วยเหลืออีก จำเป็หรือไม่?” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“เช่นนั้นหากตามความเห็นของท่านอ๋องแล้ว จุดประสงค์ของแคว้นฝูชิวไม่ใช่มือสังหาร จุดประสงค์ของคนปิดหน้าเ้าของอาวุธลับก็ไม่ใช่มือสังหารเช่นกัน พวกเราไม่เอ่ยถึงแคว้นฝูชิวก่อน หากจุดประสงคนปิดหน้าเ้าของอาวุธลับไม่ใช่มือสังหาร เช่นนั้นจะเป็ผู้ใด?” อ๋าวเหลียวหัวใจพลันหดรัด คิดถึงความเป็ไปได้อย่างหนึ่งได้อย่างฉับพลัน “พวกเขาพุ่งเป้ามาที่ท่านอ๋องเช่นกันหรือ?”
“ผู้ใดจะรู้ได้เล่า?” กู้จวิ้นเฉินไม่ปรารถนาจะคาดเดา แต่หากเป็เช่นนี้ มือสังหารทั้งสองครั้งล้วนพุ่งเป้ามาที่ตน และไม่ใช่พวกเดียวกัน จุดประสงค์คืออะไร? และเป็การส่งคนมาในเวลานี้...กู้จวิ้นเฉินพลันนึกถึงความเป็ไปได้อย่างหนึ่ง หรือว่า...เป็การมาเพื่อเตือนตนเอง?
ผู้บงการตามคำสารภาพของมือสังหารคือองค์ชายใหญ่และเสนาบดีฉิน หรือพวกเขาทั้งสองคนจะมาเตือนตน? ไม่ใช่แทบอยากจะให้เขาตายๆ ไปหรอกหรือ?
กู้จวิ้นเฉินรู้สึกว่าน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เพียงแต่ ระหว่างคนปิดหน้าเ้าของอาวุธลับและแคว้นฝูชิวมีความเกี่ยวข้องกันแน่แล้ว ด้วยความบังเอิญจากคนทั้งสองกลุ่มนี้ เมื่อเป็เช่นนี้...การหายตัวไปของพี่ชายยิ่งมีปัญหาแล้ว
กลางดึก
ซีเป่ยในยามค่ำคืนเงียบสงบเป็พิเศษ แต่ค่ำคืนนี้สำหรับคนมากมายในค่ายทหารซีเป่ยแล้วนั้นกลับไม่เงียบสงบ ไส้ศึกคือใคร? ปัญหานี้ทำให้พวกเขาเริ่มระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน พี่น้องที่เคยจริงใจซื่อตรงต่อกัน ในวันนี้อาจจะเป็ไส้ศึก ความเป็ไปได้นี้ทำให้ทุกคนต่างเป็ทุกข์
และกู้จวิ้นเฉินที่อยู่ในจวนแม่ทัพ พูดได้ว่าเป็หนึ่งในคนที่สงบนิ่งที่สุดในจำนวนคนทั้งหมด เขาไม่ได้รอว่าไส้ศึกจะไปรายงานผู้อยู่เื้ัเพื่อไปช่วยมือสังหารหรือไม่ แต่เขากำลังรอว่าเมื่อมือสังหารไปถึงเมืองหลวง เมื่อคำสารภาพของมือสังหารไปถึงเบื้องพระพักตร์เสด็จอา องค์ชายใหญ่และเสนาบดีฉินจะอธิบายอย่างไร?
ครั้งนั้น เมื่อเมิ่งเต๋อหลางกล่าว่าตนจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี คนทั้งหมดต่างไม่ได้แสดงออกอันใด ทว่าในใจล้วนยินดีปรีดายิ่ง เวลานี้เขายอมรับด้วยตนเองว่าพิษนั้นได้ถูกถอนไปแล้ว พวกเขาต่างนั่งไม่ติด
ดูเหมือนเป็น้ำที่สงบนิ่ง ความจริงเป็ตนเองที่ไปกวนให้ขุ่น
และสิ่งที่กู้จวิ้นเฉินอยากรู้ก็คือ ผู้ที่วางยาพิษตนรวมไปถึงทรยศเสด็จพ่อและเสด็จอาของเขาเมื่อหกปีก่อน แท้จริงแล้วเป็ผู้ใด แผนการในครั้งนั้นของเสด็จพ่อไร้ที่ติ หากไม่มีคนทรยศหักหลัง สกุลถังทั้งครอบครัวคงไม่ต้องมาตายหมดทั้งบ้านเพื่อปกป้องคุ้มครองเสด็จอา
ต้าหลี่ซื่อชิงถูกเล่นงานในงานเลี้ยงวันเกิดของเสด็จอา ด้วยลั่วเอ๋อร์ที่เข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ ต่อมาถูกลอบสังหาร ด้วยคนของกองทหารม้าห้าเมืองหนานเฉิงลาดตระเวนผ่านมาพบจึงได้รับการช่วยเหลือ นี่เป็เพราะต้าหลี่ซื่อชิงได้พบเบาะแสเล็กน้อยของเื่เมื่อหกปีก่อน เช่นนั้นเบาะแสที่ได้มาชี้ไปที่ผู้ใดกันแน่?
ทว่ามีเพียงเสด็จอาเท่านั้นที่รู้
ในสารที่พ่อบ้านกู่เขียนถึงเขานั้น ผู้บังคับบัญชากองทหารม้าห้าเมืองหนานเฉิงคือ ฉินเฟิง เขาเป็คนของเสนาบดีฉิน เป็เื่บังเอิญหรือไม่? กู้จวิ้นเฉินไม่อาจล่วงรู้ได้
แต่เสนาบดีฉินสามารถตัดออกไปได้ ด้วยเมื่อครั้งนั้นฉินกุ้ยเฟิยเป็ชายารองของฉีอ๋อง เสนาบดีฉินยังรั้งตำแหน่งรองเ้ากรมฝ่ายการทหาร[1]อยู่ เขาและเสด็จพ่อ เสด็จอา ยังถือว่าเป็ฝ่ายเดียวกัน
กู้จวิ้นเฉินนวดคลึงขมับของตน
“ท่านอ๋อง” เมิ่งเต๋อหลางจุดกำยานให้กู้จวิ้นเฉิน “ท่านอ๋องควรจะพักผ่อนได้แล้ว ท่านอ๋องอายุยังน้อย คิดไตร่ตรองเื่ราวมากเกินไป ทำให้เสียสุขภาพได้”
“เสด็จพ่อของข้า เสด็จพี่ของข้า หลานชายของข้าล้วนตายไปเมื่อหกปีก่อน เมิ่งเต๋อหลาง บัญชีเืนี้ข้าจะวางลงได้อย่างไร?” นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้พูดความรู้สึกของตนออกมาอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าเมิ่งเต๋อหลาง บัญชีเื ครั้งนั้นหลานๆ ของเขายังเล็กนัก “เสด็จพี่ใหญ่อายุมากกว่าข้ายี่สิบปี หลานของข้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้า ได้ยินว่าครั้งนั้นเมื่อพี่สะใภ้ใหญ่ตั้งครรภ์ บังเอิญที่เสด็จแม่ก็ตั้งครรภ์เช่นกัน เวลานั้นเสด็จพ่อและเสด็จพี่ใหญ่ต่างคิดว่าข้าและหลานชายช่างมีวาสนาต่อกันยิ่งนัก
“ท่านอ๋อง...” เมิ่งเต๋อหลางทำทีจะพูดทว่ากลับหยุดไป
[1] ปิงปู้ซื่อหลาง (兵部侍郎) คือ ตำแหน่งรองเ้ากรมฝ่ายทหาร หรือก็คือรองเสนาบดีกรมกลาโหมนั่นเอง