ครอบครัวฝั่งหลิวซานกุ้ยกล่าวขอบคุณอีกครั้ง หลิวฉีซื่อจึงเชิดหน้าเดินจากไป แต่ก่อนจะออกไปก็เอ่ยขึ้น “วันนี้ไปช่วยเก็บห้องของเฉี่ยวเอ๋อร์ด้วย ข้าจะไปซื้อเด็กรับใช้ให้หลันเอ๋อร์สักคน บ้านเราจะต่างไปจากแต่ก่อน พวกเ้า…”
เดิมทีนางจะบอกว่าบ้านตนเองแตกต่างไปจากเดิม สถานะทางครอบครัวฝั่งหลิวซานกุ้ยก็แตกต่างด้วยเช่นกัน
แต่พอคิดว่ายังต้องให้ครอบครัวนี้ทำงานบ้านต่อ จึงเปลี่ยนคำพูด “ซานกุ้ยต้องยุ่งกับงานที่สวน พวกเ้าต้องจัดการเก็บกวาดบ้านให้สะอาดเรียบร้อย แล้วก็อีกไม่กี่วันต้องยุ่งกับการเก็บเกี่ยว ข้าจะเชิญนายช่างมาประเมินพื้นที่บ้าน แล้วเตรียมสร้างเรือนใหม่ ถึงตอนนั้นพวกเ้าแต่งตัวให้สะอาดเรียบร้อยหน่อย”
ความหมายก็คือให้ทางฝั่งหลิวซานกุ้ยนั้นแต่งกายให้เหมาะสมหน่อย อย่าให้คนอื่นหัวเราะเยาะหลิวฉีซื่อได้
หลังจากที่หลิวฉีซื่อเดินออกไป หลิวเต้าเซียงมองไปที่บิดาด้วยความเศร้าใจ “ท่านพ่อ บ้านเรายากจนไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดท่านย่าจึงจะสร้างบ้านหลังใหม่ แล้วยังซื้อเด็กรับใช้ด้วย?”
ใบหน้าของหลิวซานกุ้ยดูไม่ค่อยดีนัก เขาที่เริ่มมีภูมิความรู้บ้างย่อมดูออกถึงความเปลี่ยนไปของมารดา
เขาไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าเหตุใดท่านแม่จึงปฏิบัติต่อครอบครัวเขาได้แย่ปานนี้
อาจารย์กัวบอกว่าเขากินน้ำตาลน้อยไปหน่อย ปากจึงไม่หวานพอ หลิวฉีซื่อจึงไม่ชอบเขา
เดิมทีเขาเป็คนปากกระด้าง พูดเอาอกเอาใจไม่เป็ แต่ก็ตั้งใจทำงานในบ้านมาโดยตลอด นี่ยังไม่พออีกหรือ?
“ซานกุ้ย ดูเหมือนท่านแม่จะมีเงินมากจริงๆ” กระทั่งจางกุ้ยฮัวก็เริ่มเกิดความไม่พอใจ ไฟโกรธเริ่มเผาไหม้อยู่ในใจของนาง
หลิวชิวเซียงพูดขึ้นอย่างขมขื่น “ท่านย่าไม่ชอบครอบครัวฝั่งเรา แต่กลับชอบให้พวกเราทั้งครอบครัวทำงานอย่างขยันหมั่นเพียร!”
คำพูดที่ฟังดูขัดแย้งกัน อันที่จริงไม่ได้เป็เช่นนั้นแม้แต้น้อย
นางไม่ใช่คนโง่ การจะมีเด็กรับใช้ อีกทั้งยังสร้างบ้านหลังใหม่ จะทำให้ครอบครัวหลิวซานกุ้ยขาดแคลนการกินอยู่เชียวหรือ?
“ท่านพ่อ ปีหน้าท่านไปสอบถงเซิงเถิด บ้านเราไม่ขาดแคลนเงิน!”
หลิวเต้าเซียงคิดว่าตนเองก็มีเงินมากเช่นกัน และมีความสามารถในการส่งเสียผู้เป็พ่อให้เล่าเรียนได้
ถึงแม้ตอนนี้นางจะไม่ได้มีเงินมากเท่าหลิวฉีซื่อ แต่ขอเวลาหนึ่งปี นางจะต้องเหยียบขึ้นไปอยู่เหนือกว่าในเื่เงินทองให้ได้!
หลิวชิวเซียงกลัวว่าหลิวซานกุ้ยจะไม่เชื่อ จึงรีบบอกกล่าวเื่ที่หลิวเต้าเซียงเคยบอกนางไว้ น้องรองไม่เพียงแต่มีเงินที่ขายไข่ไก่ได้ แต่ยังมีไก่สิบตัวที่เลี้ยงไว้ในบ้านป้าหลี่ เมื่อถึงตรุษจีนก็คงขายได้ราคาดี คำนวณไปมาก็มีราวสามตำลึงเศษ หลิวซานกุ้ยกับจางกุ้ยฮัวฟังแล้วถึงกับหวั่นไหว
แต่นางไม่ได้บอกว่า อาหารไก่นี้มาจากหม้อของหลิวฉีซื่อ
หลิวเต้าเซียงเองก็ไม่ได้บอกว่าที่ไก่เลี้ยงได้ตัวโตเช่นนี้ นอกจากอาหารไก่ของหลิวฉีซื่อในหม้อแล้ว ยังมีที่ตนเองได้เจรจากับสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดด้วย
“อืม! พ่อรู้แล้ว” คําตอบนั้นหนักแน่นมาก แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกหมดหวัง หัวใจของหลิวซานกุ้ยตอนนี้ด้านหนึ่งได้ตายด้านไปแล้ว ส่วนอีกด้านกลับมีพลังชีวิตล้นเหลือ
“ข้าจะทำงานให้หนัก และไม่ทำให้พวกเ้าแม่ลูกต้องลำบาก”
คำตอบของหลิวซานกุ้ยนั้นมีพลังอย่างมาก
นี่คือความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบ
อากาศอันหนาวเหน็บกำลังจะมาเยือน ฤดูใบไม้ผลิก็อยู่ไม่ไกลแล้ว!
หลิวเต้าเซียงมองไปที่ลานบ้าน ท้องฟ้ามืดครึ้ม ขณะที่ลมหนาวก็พัดหวิวผ่านมา!
ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มของนางเปลี่ยนเป็จริงจังขึ้นมา ก่อนจะกล่าวเสียงดัง “ข้าปฏิเสธที่จะเกี่ยวหญ้าอาหารหมู”
หลิวชิวเซียงใ ต่อมาก็ได้สติ “ท่านพ่อ ข้าเองก็ไม่อยากทำความสะอาดคอกหมูแล้ว และจะไม่ให้ท่านแม่ต้องไปซักผ้าในน้ำที่หนาวเหน็บเข้ากระดูกด้วย”
“ซานกุ้ย อากาศเย็นแล้ว เด็กๆ ไม่ชอบขึ้นหลังเชิงเขา หนาวเกินไป และพื้นก็ลื่นด้วย!”
จางกุ้ยฮัวอัดอั้นตันใจ แต่นางไม่สามารถระบายอารมณ์กับผู้เป็สามีและลูกได้
“ลูกสาวข้าทั้งหลายไม่ใช่เด็กรับใช้ เ้าเองก็อย่าคิดให้พวกนางมาสั่งลูกสาวข้าทำงานด้วย” นางเอ่ยอีกครั้ง
นางเบื่อหน่ายกับชีวิตเช่นนี้ ชีวิตที่ทั้งสามแม่ลูกถูกหลิวฉีซื่อจิกหัวใช้
“อืม เ้าอย่าพูดต่อไปเลย” ทันใดนั้นหลิวซานกุ้ยก็ผลักจางกุ้ยฮัวออกไปอย่างหน่ายใจ แล้วเดินไปหยิบจอบที่วางอยู่ตรงมุมบ้าน
สภาพอากาศที่มืดมิดทำให้ห้องมืดและอึมครึมลงกว่าเดิม ความใจเย็นของหลิวซานกุ้ยไม่เหมือนตอนแรก หลังของเขาห่อลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าหน้าต่างที่โปร่งแสงตรงข้างกายเขานั้นหนักอึ้งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และกดเขาไว้จนไม่สามารถเหยียดตัวให้ตรง
เสียงถอนหายใจของเขาช่างเศร้าสลด
หรือบางที เขาจำเป็ต้องอยู่กับตนเองสักครู่
หลิวเต้าเซียงเอื้อมมือออกไปหยุดจางกุ้ยฮัวที่้าจี้ถาม แล้วส่ายหน้าให้นาง จวบจนหลิวซานกุ้ยแบกจอบแล้วเดินก้าวออกจากประตูห้องปีกตะวันตก และผ่านลานบ้านจนไม่เห็นเงา
ในเวลานี้จางกุ้ยฮัวถามนางว่า “ลูกรัก เหตุใดเ้าต้องขวางข้าด้วย? ข้า้าให้พ่อของเ้ารู้ชัดเจนเสียทีว่าเขามีแม่เช่นไร” ในใจของนางราวกับมีไฟสุมทรวง นางคิดว่า นางแก่ไม่ตายดี เหตุใดจึงไม่รีบตายไปเสีย
“ท่านแม่! ท่านพ่อเข้าใจเป็อย่างดี ในใจของท่านพ่อกำลังรู้สึกแย่เต็มที” หลิวเต้าเซียงคว้ามือของจางกุ้ยฮัวไว้ แล้วส่ายหน้าไปมา
มือของจางกุ้ยฮัวไม่ได้หยาบเหมือนไม้เช่นแต่ก่อน ในตอนนั้นเวลาจับมือของนางจะรู้สึกเหมือนถูกบาด แต่ตอนนี้มือของนางเริ่มนวลเนียน แม้ยังคงรับรู้ถึงความด้านหนาเป็วง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนถูกบาดอีกแล้ว
เพราะว่าสถานะทางครอบครัวของนางดีกว่าในอดีตอย่างมาก หลิวเต้าเซียงจึงแอบซื้อครีมหอมให้นางหนึ่งกล่อง จางกุ้ยฮัวเคยเห็นหลิวซุนซื่อทาหน้าตอนนั้น
ในใจของจางกุ้ยฮัวมีความคิดเปลี่ยนไปอย่างมาก จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าจนปัญญา จึงเอื้อมมือออกไปลูบหลิวเต้าเซียง แล้วเอ่ย “แม่อยากจะให้ท่านย่าเ้ารีบแยกบ้านเสียที แม้ว่าจะออกไปตัวเปล่า ข้าก็ยินดี”
หลังจากที่ได้ยินสองพี่น้องบอกว่าบ้านเราไม่ขาดแคลนเงิน ครั้งนี้นางจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาทางทำให้บ้านที่ไม่ใช่บ้านแยกจากกันเสียที
“ท่านแม่ การแยกบ้านต้องทำอย่างไรบ้าง?” หลิวเต้าเซียงรู้เพียงว่าต้องพยายามแยกบ้าน แต่การแยกบ้านต้องเดินเื่อย่างไร นางเองก็ไม่เคยถามมาก่อน
สำหรับประเด็นนี้จางกุ้ยฮัวนับว่ามีความรู้ เพราะในหมู่บ้านสามสิบลี้ก็เคยมีครอบครัวที่แยกบ้าน “แต่ก่อนผู้าุโแยกบ้าน หากว่าบิดามารดายังอยู่จะห้ามแยกบ้านเด็ดขาด แต่หากว่าผู้าุโน้อยในบ้าน้าแยกครอบครัวกันอยู่ ย่อมสามารถแบ่งเป็กรณียกเว้นได้ ขอเพียงหลี่เจิ้งกับผู้าุโในหมู่บ้านเป็พยานรู้เห็นเป็พอ”
หลิวเต้าเซียงแอบจำเื่นี้ไว้ จากนั้นจึงเอ่ยถึงความเห็นเกี่ยวกับชุ่ยหลิวให้มารดาและพี่สาวฟัง
“ท่านแม่ ข้าว่าคนที่ชื่อชุ่ยหลิวนั้นกลับกลอก ไม่ว่าข้าทำอะไรนางก็มักจะมายุ่งเสมอ”
“เป็เช่นนั้น วันนี้นางยังเรียกให้ข้าไปทำอาหารค่ำ แล้วยังไม่ช่วยเหลือ หาข้ออ้างไปดูแลท่านย่า จากนั้นก็หลบอยู่ในห้องไม่ออกมา” หลิวชิวเซียงฟ้องอยู่ข้างๆ
นางคิดไม่ออก ในเมื่อท่านย่ามีเงินซื้อเด็กรับใช้ แล้วเหตุใดจึงไม่ซื้อมาให้ช่วยงานบ้านแต่เนิ่น?
เช่นนี้ ท่านแม่ของนางก็จะได้ไม่เหน็ดเหนื่อยเพียงนี้
จางกุ้ยฮัวเอื้อมมือออกไปแตะหัวของพวกนางและยิ้ม “ในอนาคต พวกเ้าก็ไม่ต้องลำบากเช่นนี้อีกแล้ว พวกเ้าไม่ได้ยินหรือเมื่อครู่ท่านย่าบอกว่า จะไปซื้อเด็กรับใช้อีกคน เช่นนี้ในบ้านก็มีคนรับใช้สองคนแล้ว”
หลิวเต้าเซียงไม่ได้ตั้งความหวังใดๆ กับเื่นี้ นางรู้สึกว่าครอบครัวของนางกับตระกูลหลิวนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย
“แม่ไม่วางใจเื่พ่อของพวกเ้า พวกเ้าอยู่ที่บ้าน แม่จะไปดูพ่อสักหน่อย” จางกุ้ยฮัวจิตใจไม่สงบสุข หลังจากปลอบโยนสองพี่น้องไม่กี่ประโยคก็ออกไปตามหาหลิวซานกุ้ย
หลิวฉีซื่อออกไปข้างนอกทั้งวัน เมื่อกลับมาก็มีเด็กรับใช้เดินตามหลังสองคน คนหนึ่งก็คือชุ่ยหลิวที่แต่งกายสวยงามประณีต อีกคนคือเด็กสาวที่ตัวบอบบาง ท่าทางหวาดกลัว แต่มีใบหน้าสวยงาม
“เอ๋ ท่านป้าหลิว บ้านเ้าไปเก็บเงินมาได้หรือ เพียงแค่ไปตำบลก็ได้เด็กสาวหน้าสวยกลับมาอีกคน” คนที่พูดคือมารดาของตงจื่อ ซึ่งก็คือบ้านที่ทำเต้าหู้ในหมู่บ้าน
นางมีรูปหน้าเรียวแหลมและมีนิสัยหมั่นดูแลตนเอง เมื่อเทียบกับหญิงสาวในหมู่บ้านจึงดูสะอาดสะอ้านกว่ามากนัก
“ที่ไหนกันเล่า คนโตกว่านี้คือนายท่านในอดีตของข้ามีความเมตตา เห็นข้าเริ่มแก่และทำอะไรไม่ถนัดจึงยกคนที่อยู่ข้างกายให้แก่ข้า ส่วนเ้าคนเล็กนี่เพิ่งซื้อมา หลันเอ๋อร์ของข้าก็อายุเจ็ดขวบแล้ว ควรจะหาเด็กรับใช้ติดตัวให้นางสักคนแล้ว”
ขณะที่หลิวฉีซื่อพูดนั้นแก้มสองข้างก็แฝงด้วยรอยยิ้ม แผ่รัศมีเจิดจ้าออกมา
“มีท่านป้าหลิวนี่แลที่มีบุญวาสนา หมู่บ้านเราใครบ้างที่ไม่รู้ว่าบ้านท่านนั้นร่ำรวย” มารดาของตงจื่อปากหวานและช่างพูด
หลิวฉีซื่อฟังนางพูดแล้วก็มิอาจหุบยิ้มลงได้ จึงโบกมือแล้วเอ่ย “หามิได้ บ้านเราก็แค่อาศัยฝีมือหาเงินได้เล็กน้อย ไฉนเลยจะสู้กับบ้านคนใหญ่คนโตในแถบนี้ ก็แค่ซื้อเด็กรับใช้เพียงคนเดียวเท่านั้น”
มารดาของตงจื่อแอบเบะปาก ขณะที่บอกว่าตนไม่มีเงินแต่กลับซื้อสาวใช้กลับมาอย่างได้ใจ นางจึงเกิดความไม่ชอบใจ
หลิวฉีซื่อเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงใช้จังหวะนี้บอกกล่าว “อ้อ ใช่แล้ว แม่ตงจื่อ ได้ยินเื่บ้านตระกูลจางจะขายที่ดินสิบไร่หรือไม่?”
เื่นี้มารดาของตงจื่อได้ยินนานแล้ว เพียงแต่นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิวฉีซื่อจึงเอ่ยถึงเื่นี้ “ลูกชายของเขาได้ภรรยาดีในจังหวัด ได้ยินว่าบ้านพ่อตาออกเงินบางส่วน แล้วก็มีเงินที่เขาหามาได้หลายปีนี้ เมื่อรวมกันจึงสามารถซื้อบ้านอี๋จิ้นย่วนในจังหวัดได้ นี่ปะไร ท่านลุงจางกับท่านป้าจางจึง้าขายที่ดินที่นี่ เมื่อย้ายไปจังหวัดค่อยซื้อที่ดินใหม่”
“หนที่แล้วก็ได้ยินว่าท่าน้าซื้อที่ดินไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นยังไม่รีบไปคุยกับบ้านตระกูลจางอีก” หลิวฉีซื่อยิ้มและเอ่ยถาม
เื่นี้จี้ใจของมารดาตงจื่อยิ่งนัก “ตระกูลจาง้าขายพร้อมที่ดินอาศัยรวมบ้าน ข้ามีบ้านอยู่แล้ว ไม่ได้ใช้หรอก!”
“ไม่เป็เช่นไรเลย ซื้อแล้วเก็บไว้ ถึงอย่างไรลูกชายโตแล้วก็ต้องมีบ้านมีครอบครัว” คำพูดนี้ฟังดูราวกับว่าหลิวฉีซื่อหวังดีต่อมารดาของตงจื่อ
“ข้าเองก็คิดเกี่ยวกับเื่นี้ ที่ของบ้านตระกูลจางเป็ที่นาดี ราคาหกตำลึงต่อหนึ่งไร่เชียว ต่อให้ทุบหม้อข้าวขายเป็เศษเหล็กก็คงซื้อไม่ไหว” มารดาของตงจื่อแม้จะมีเงินพอประมาณ แต่จากคำพูดของนางก็รู้ได้ว่า ถึงอย่างไรเงินในมือก็ไม่เพียงพอ
หลิวฉีซื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ่งหัวเราะอย่างร้ายกาจ “เช่นนี้นี่เอง เดิมทีข้าเคยได้ยินเ้าบ่น บอกว่า้าซื้อที่นาสักสองไร่ จึงเอ่ยถามไปอย่างนั้น ในเมื่อเ้าไม่้า เช่นนี้ข้าก็จะได้ไม่ต้องเกรงใจ อีกเดี๋ยวจะไปคุยกับบ้านตระกูลจาง”
มารดาของตงจื่อได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหน้าดำหน้าแดง แล้วเอ่ยอย่างโมโห “ท่านป้าหลิว ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่ บ้านข้าไม่ได้ร่ำรวยเท่าบ้านเ้า แล้วอย่างไร!”
เมื่อนางได้สติกลับมา ก็รู้ว่าหลิวฉีซื่อกำลังอวดเบ่งว่าบ้านตนเองมีเงินมากกว่าโดยอ้อม
“ท่านป้าหลิว บ้านท่านมีเงินเช่นนี้ เหตุใดไม่ให้ตัดชุดดีๆ ให้บุตรสาวครอบครัวลูกชายสามเ้าได้แต่งกายดีๆ บ้างเล่า?”
ขณะนี้หลิวฉีซื่อเริ่มหงุดหงิดที่ไม่ควรไปเสียดสีมารดาของตงจื่อ “ใครว่าไม่ได้ตัด วันนี้ที่ไปในตำบลก็ซื้อผ้ากับเครื่องประดับผมมามากมาย ก็เพื่อเตรียมให้พวกนางสามพี่น้อง”
ขณะที่พูด มือของนางก็ชี้ไปทางเด็กรับใช้สองคน จริงตามนั้น บนร่างของทั้งสองเต็มไปด้วยห่อผ้าหลากสีสัน ทั้งพาดอยู่บนตัว แขน และแบกอยู่บนหลัง
-----
