เมื่อตัดขาดจากโลกภายนอกเพื่อทำจิตใจให้สงบและสามารถมองเห็นก้อนกลมๆที่เรียกว่าหลุมดำของพลังลูกนั้นได้ก็พบว่ามันมีการก่อตัวขึ้นอย่างเป็ระเบียบพอสมควรเพราะด้านนอกเป็ลายน้ำแข็งส่องแสงเปล่งประกายและเมื่อจิตใจของข้าสามารถเข้าไปในหลุมดำของพลังนั้นได้ก็พบว่าด้านในเป็เพียงพื้นที่ว่างเปล่าอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาซึ่งนอกจากแผ่นน้ำแข็งแล้วก็ไม่มีสิ่งมีค่าอะไรอยู่ในนั้นอีกเลย
แต่ถึงจะมองไม่เห็นอะไรแต่ข้ากลับรับรู้ได้ถึงพลังอันเร้นลับบางอย่างที่แฝงตัวอยู่ในส่วนลึกของแผ่นน้ำแข็ง
ความเข้าใจคือสิ่งสำคัญที่ใช้ฝึกฝนวรยุทธ์ชั้นสูงและความเข้าใจที่ว่าก็เป็รูปธรรมที่ใช่ว่าแต่ละคนจะสามารถมองออกมาในมุมมองเดียวกันได้ขณะเดียวกันผู้ที่เรียนรู้วรยุทธ์เหมือนๆ กันอาจจะใช้เวลาฝึกฝนไม่เหมือนกันบางคนแค่มองแวบเดียวก็สามารถเข้าใจและฝึกฝนจนสำเร็จแต่บางคนกลับใช้เวลานานหลายวันหรือหลายเดือนแตกต่างกันออกไปและข้าเองก็มั่นใจในความสามารถการเข้าใจของตัวเองเป็อย่างมากแม้แต่ท่านผู้าุโที่อยู่ในชั้นสูงสุดของหอเก็บตำราก็ยังมั่นใจในความสามารถของข้าเหมือนกัน
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ข้าหลงใหลอยู่ในห้วงพลังของเพลงกระบี่ดินแดนหิมะจนไม่อาจจะถอนตัวได้แม้เวลาจะผ่านไปถึงสองชั่วโมงแล้วก็ตาม
เมื่อเวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมงข้าที่ใช้เวลาอยู่ในห้วงพลังของเพลงกระบี่ดินแดนหิมะก็หลับไปในที่สุด
ในห้วงแห่งความฝัน...
ข้าฝันว่าตัวเองสามารถฝึกฝนวรยุทธ์ชั้นสุดยอดได้มากมายอย่างการมองเห็นว่าทางทิศเหนือของแผ่นดินหลงหลิงเกิดาที่มีพวกสัตว์ิญญาระดับเก้าปีศาจในตำนานโบราณและิญญาจากสัตว์นรกจำนวนนับไม่ถ้วนพากันร้องอย่างโหยหวนแล้วกรูกันเข้ามาส่วนข้าก็ฟาดฟันกระบี่เข้าหาพวกมันเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้กองทัพสัตว์นรกพวกนั้นกลายเป็ศพได้ในชั่วพริบตาก่อนจะเดินขึ้นไปเหยียบบนซากศพของพวกมันด้วยร่างกายสีทองเปล่งประกายดั่งเทพเ้าที่รอรับคำสรรเสริญและเพลงแห่งการชื่นชมของเหล่าอาณาประชาราษฎร์
ข้ามองเห็นผู้คนที่เคยเป็ศัตรูและคู่อริต่างก็ต้องก้มหัวให้และมองข้าเป็เหมือนเทพผู้ปราดเปรื่องข้ามองเห็นเหล่าหญิงงามรูปร่างดีและมีใบหน้างดงามเดินเข้ามาเป็กลุ่มแขนซ้ายของข้ากำลังโอบกอดหญิงงามที่สวมเสื้อคลุมบางๆและมีผมสีทองยาวสยายอย่างเงางามดวงตากลมโตเต็มไปด้วยอารมณ์ของการดึงดูดและยั่วยวนจนคนที่มองต่างก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวส่วนแขนข้างขวาก็กำลังโอบกอดหญิงงามผมสีฝ้ายที่ยิ้มอย่างสุขสมพร้อมกับหน้าอกนูนที่กดทับอยู่บนท่อนแขนแล้วมองข้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก
ข้ามองเห็นคนหินั์เดินเข้ามาเป็กลุ่มพร้อมกับขวานรบในมือก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้นจนเกิดเสียงตูม ตูม...ติดต่อกันตามจำนวนของพวกมันที่มาเป็กลุ่มสายตาที่มองข้าเป็เหมือนเทพเ้าถูกส่งเข้ามาก่อนที่พวกมันจะก้มหัวคารวะแล้วพูดขึ้น “ท่านผู้กล้าได้โปรดรับพวกข้าเป็ทาสรับใช้ด้วยเถอะขอรับ!ท่านเป็ถึงเทพผู้เก่งกาจและไร้เทียมทาน พวกข้าขอคารวะ!”
ข้ามองเห็นเหล่าาาปีศาจสวมชุดคลุมสีแดงที่มีพลังอันรุนแรงแผ่ซ่านออกมาจนครอบคลุมแผ่นดินทว่าคนที่มีพลังมากจนสามารถแหวกฟ้าพลิกแผ่นดินได้อย่างพวกมันกลับยอมก้มหัวพร้อมกับน้ำตาแห่งความสำนึกผิดไหลหลั่งก่อนจะพูดพลางร้องไห้ด้วยร่างกายที่สั่นเทาเพราะความเกรงกลัว “ท่านาาผู้เป็ใหญ่ข้าน้อยเสียใจจริงๆ ที่คิดเป็ปรปักษ์ต่อพวกท่านได้โปรดให้อภัยพวกข้าด้วยเถิด...ถ้าท่านผู้เป็ใหญ่ไม่ให้อภัยพวกข้าก็พร้อมจะกลับไปฆ่าล้างโคตรตัวเองและไม่ขอกลับมาเกิดอีกเลยขอรับ!”
ข้าได้ยินแบบนั้นจึงชูกระบี่ในมือขึ้นสูงพร้อมกับแสงที่เปลงประกายเจิดจรัสไปทั่วแผ่นดินท่ามกลางการสรรเสริญยกย่องของเหล่าอาณาประชาราษฎร์และความเกรงขามต่อพลังและบารมีของเหล่าภูตผีปีศาจก่อนจะพูดขึ้น“พวกเ้ายกย่องให้ข้าเป็เทพ เป็ความเชื่อ เป็ผู้กล้าทว่า...ข้าก็แค่ศิษย์สำรองของสำนักวรยุทธ์เท่านั้น พวกเ้าจงกลับไปยังที่ที่จากมาและอย่าได้กลับเข้ามาเหยียบย่ำแผ่นดินของมนุษย์แห่งนี้อีกไม่อย่างนั้นต่อให้ไกลสักแค่ไหนข้าก็จะตามไปจัดการกับพวกเ้าให้สิ้นซาก!”
ว่าแล้วข้าก็หันหลังเดินจากไปลูกผู้ชายทำดีไม่อ้างชื่อ...
แต่ตอนนี้เองเหล่าสาวงามทั้งหลายต่างก็เข้ามารายล้อมและพูดขึ้น“ท่านผู้กล้า ท่านช่างเป็ชายชาตรีที่เก่งกาจตามแบบที่ข้าน้อย้ามากเลยเ้าค่ะข้าน้อยยอมไร้ซึ่งฐานะและศักดิ์ศรีขอเพียงได้คอยรับใช้ท่านขออย่าได้ปฏิเสธข้าน้อยเลยนะเ้าค่ะ!”
“ได้โปรดเลือกข้าเถิด นายท่าน...”
“ท่านผู้กล้า ได้โปรดเลือกข้าด้วยเถิดเ้าค่ะ ข้าทำงานเก่งรับรองว่าไม่กวนใจท่านอย่างแน่นอน!”
“...”
...
และในตอนนั้นเองก็เหมือนจะมีคนพยายามเขย่าตัวเรียกให้ข้าตื่นและเมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าเป็ซูเหยียนถังเชวียหรานและพี่เสวียนยินกำลังมองข้าอย่างสงสัยและไร้เดียงสา
“ข้า...ข้าเป็อะไรไปเหรอ?”
“เ้ากำลังพยายามเข้าใจเคล็ดวิชาของเพลงกระบี่ดินแดนหิมะอยู่ไม่ใช่หรือไงแล้วทำไมถึงหลับไปได้ล่ะ?” ซูเหยียนถามด้วยความสงสัยก่อนจะถามต่อ“แถมยังนอนน้ำลายยืดอีกต่างหาก ฝันถึงอะไรกันล่ะเนี่ย?”
ข้ารีบเช็ดน้ำตายตรงมุมปากก่อนจะลุกขึ้นยืน“ไม่มี...ไม่มีอะไร”
“จริงเหรอ?”
“อืม นี่ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ย?”
“เ้าหลับไปตั้งแปดชั่วโมงแล้วล่ะอีกหนึ่งชั่วโมงก็คงจะเข้าไปถึงเมืองหลินเสี่ยเฉิงแล้วล่ะเพราะตอนนี้เข้ามาดินแดนกาฬวาตแล้ว”
“อ่อ...”
พี่เสวียนยินมองข้าด้วยแววตาทีเล่นทีจริงก่อนจะยิ้มพลางถามขึ้น “เสี่ยวเชวียน แล้วนี่เ้าเข้าถึงเพลงกระบี่ไปถึงไหนแล้ว?”
“ยังไปไม่ถึงใจกลางของมันเลย”
ข้าส่ายหน้าพร้อมกับขมวดคิ้วเข้มก่อนจะพูดต่อ“ข้ายอมรับเลยว่าเพลงกระบี่ดินแดนหิมะเป็เพลงกระบี่ที่ยากและโดดเด่นกว่าเพลงกระบี่ทั่วไปอย่างมากแต่ท่านวางใจได้เลยท่านพี่ เพราะข้าไม่มีทางทำให้ท่านแพ้พนันแน่นอน”
หลัวเสียนที่อยู่ไม่ไกลหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูดขึ้น “ไม่แพ้น่ะสิแปลก...”
...
่ดึกศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาที่เข้าร่วมการประลองที่สนามเซินก็กลับมาถึงที่หมายเว้นก็แต่ซือคงอี้ที่เข้าร่วมเป็หนึ่งในคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์
ข้าล้วงเอากระดูกของาาวิหคเพลิงทั้งสี่ชิ้นออกมาให้ซูเหยียนเพราะถือเป็วัตถุดิบชั้นดีสำหรับเพิ่มความน่าเกรงขามของซูเหยียนซึ่งเป็ผู้ฝึกฝนิญญาธาตุไฟ
และเมื่อตั้นไถเหยาเดินออกมารับข้าก็ล้วงเอาอัญมณีรังไหมหิมะออกมาให้นางเพื่อนำไปหลอมพลังให้ไม้เท้าเวทอีกร้อยเม็ด
ข้าเดินกลับโรงเกลากระบี่โดยไร้เงาของจ้าวห้าวและซ้งเชียนในยามดึกพอมาถึงก็รีบนั่งลงบนแทนหินขนาดใหญ่แล้วเริ่มเข้าถึงพลังของเพลงกระบี่ดินแดนหิมะ
ข้าทำจิตใจให้นิ่งแล้วพยายามเข้าถึงส่วนลึกของหลุมดำแห่งพลังที่อยู่ในหัวโดยด้านในของมันมีขุมพลังบางอย่างที่ข้าไม่สามารถเข้าถึงได้แต่ก็รู้ว่ามันมีอยู่ข้าทำจิตใจให้สบายและปล่อยวางทุกอย่างให้สงบนิ่ง ก่อนจะเริ่มเข้าฌานและนั่งนิ่งๆอยู่อย่างนั้นกว่าหนึ่งคืนเต็มๆและตื่นขึ้นมาในเช้าของอีกวันเพราะความหนาวที่ถูกไอหมอกเข้าปกคลุมร่างกาย
ข้าใช้เวลาเข้าถึงหลุมดำแห่งพลังของเพลงกระบี่ดินแดนหิมะไปแล้วหนึ่งวันเต็มๆแต่ก็ยังไม่มีเค้าลางว่าจะได้อะไรมากมายแต่ข้าก็รู้ดีว่าขณะที่พยายามเข้าถึงพลังของมัน ตัวข้าก็เหมือนจะััได้ถึงพลังบางอย่างด้านในถึงแม้จะเหมือนไม่ได้อะไรเลย ก็ใช่ว่าจะไม่มีความก้าวหน้าเลยซะทีเดียว
ข้าปัดเกล็ดหิมะเล็กๆที่เกาะอยู่บนร่างกายก่อนจะมองไปรอบๆก็พบว่าฤดูใบไม้ร่วงของเมืองหลินเสี่ยเฉิงแห่งนี้เริ่มจะสิ้นสุดลงแล้วเป็เพราะเมืองหลินเสี่ยเฉิงตั้งอยู่ทางเหนือสุดของสหพันธ์หลงหลิงจึงทำให้เข้าสู่ฤดูหนาวเร็วกว่าที่อื่นๆและดูเหมือนว่าลมหนาวคงจะใกล้เข้ามาแล้วสินะถึงได้มีเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆเกิดขึ้นั้แ่เดือนเก้าแบบนี้ ฤดูหนาวปีนี้น่าจะมาเร็วกว่าปีอื่นๆ สินะ...
ใบของต้นไห่ถางในโรงเกลากระบี่ร่วงหล่นลงมาบนพื้นจนหมดทำให้ต้นไม้ใหญ่เหลือเพียงกิ่งก้านเท่านั้น
“ท่านกลับมาแล้วเหรอพี่ใหญ่!”
เสียงของจ้าวห้าวและซ้งเชียนดังมาจากข้างนอก
ข้าอดยิ้มออกมาไม่ได้ก่อนจะเปิดประตูออกไปดูพอประตูถูกเปิดออกทั้งสองก็พุ่งเข้ามากอดข้าอย่างรวดเร็วแต่ก็ถูกข้าถีบออกไปพลางหัวเราะออกมาเสียงดัง
ซ้งเชียนพูดด้วยความดีใจ“พวกข้าได้ข่าวจากวิหารศักดิ์สิทธิ์มาตั้งนานแล้วล่ะพี่เชวียนก็ยังคงเป็พี่เชวียนในที่สุดก็ได้ที่หนึ่งมาเหมือนที่ข้าคิดเอาไว้ไม่มีผิด ฮ่าๆๆ”
“แล้ว่นี้พวกเ้าเป็ยังไงบ้าง?” ข้าถาม
“ก็เรื่อยๆ แหละ!”
“ก็ดีแล้ว” ข้าว่าแล้วล้วงเอาแหวนกระดูกจักรภพของหยู่เหวินชิงออกจากแหวนของตัวเองรวมทั้งตำราวรยุทธ์ออกจากแหวนกระดูกจักรภพของหยู่เหวินชิงอีกทีซึ่งไอเย็นที่แผ่ออกมาจากตำราก็บอกให้รู้ว่าเป็ตำราวรยุทธ์ในตำนานอย่างเพลงกระบี่เวหาเหมันต์นั่นเองซึ่งเป็ตำราที่ไม่ได้ใช้วิธีให้พลังิญญาลอยเข้าหาผู้ฝึกฝนแต่เป็ตำราที่เขียนด้วยตัวอักษรให้ผู้ฝึกฝนไปศึกษาเอง
“เสี่ยวเชียน ข้ายกตำราเพลงกระบี่เวหาเหมันต์เล่มนี้ให้ ตั้งใจฝึกด้วยล่ะ”
“ฮะ?”
ซ้งเชียนรับตำราอย่างงงๆก่อนจะถามขึ้นอีก“ตำราเล่มนี้เป็วรยุทธขั้นสูงของสำนักวรยุทธ์นักปราชญ์ไม่ใช่เหรอ ท่านไปเอามาได้ยังไงเนี่ยพี่เชวียน?”
ข้านำแหวนกระดูกจักรภพของหยู่เหวินชิงซึ่งเป็อาวุธิญญาระดับเงินออกมาดูก่อนจะพูดเสียงเรียบ“เ้าหยู่เหวินชิงคนนี้คอยหาเื่และพยายามฆ่าข้าตลอดขณะอยู่ในสนามประลองเซินยวนและสุดท้ายก็มาตายภายใต้คมกระบี่ของข้า แหวนกระดูกจักรภพของมันจึงตกเป็ของข้าไงล่ะ...เพลงกระบี่เวหาเหมันต์ถือเป็วรยุทธ์ขั้นสองเชียวนะเ้าจะต้องฝึกฝนให้สำเร็จและถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้ตลอด”
จ้าวห้าวลูบหัวโล้นๆของตัวเองก่อนจะถามด้วยความไม่เข้าใจ “พี่ใหญ่ถึงอย่างไรเพลงกระบี่เวหาเหมันต์ก็เป็วิชาลับของหยู่เหวินชิงแล้วทำไมพอไม่เข้าใจถึงให้มาถามท่านล่ะ หรือ...ท่านเคยเรียนมาแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่เคยเรียน แต่...ข้าก็พอรู้อยู่บ้าง”
ข้าว่าพลางยิ้มบางๆก่อนจะเรียกกระบี่คมจันทราออกมาแล้วแทงไปข้างหน้าจนพลังของลำแสงที่เย็นเยือกจะพุ่งเข้าชนหุ่นไม้จนเกิดเสียงดังตูม! และะเิออก อีกทั้งบนเศษของหุ่นไม้ตัวนั้นยังมีคราบน้ำแข็งปกคลุมอยู่ด้วย
“นี่มัน...” ทั้งจ้าวห้าวและซ้งเชียนต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็น
ข้าเก็บกระบี่ไว้แล้วยิ้มพร้อมกับอธิบาย“เห็นหรือยัง นี่แหละกระบวนท่าที่หนึ่งของเพลงกระบี่เวหาเหมันต์ แต่ข้าศึกษามาเพียงนิดหน่อยเท่านั้นพลังของมันจึงมีไม่เท่าหนึ่งส่วนสามของหยู่เหวินชิงด้วยซ้ำข้าผ่านการต่อสู้แบบเอาเป็เอาตายกับหยู่เหวินชิงมาก่อนจึงล่วงรู้ความลับของเพลงกระบี่อยู่บ้าง...เสี่ยวเชียนถ้าเ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามได้เลย ข้าจะช่วยชี้แนะให้เ้าเอง”
ซ้งเชียนพยักหน้าหงึกๆก่อนจะพูดขึ้น “เข้าใจแล้วพี่เชวียน ข้าไม่มีทางทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน!”
“และอีกอย่างคือเ้าจะต้องแอบฝึกฝนเพลงกระบี่เวหาเหมันต์นี่อย่างลับๆ ล่ะถ้าไม่จำเป็จริงๆ ก็อย่าใช้มันออกมาเด็ดขาดเพราะเ้าเองก็น่าจะรู้ว่าหยู่เหวินชิงเป็ศิษย์ของซือเทียนสิงแม้แต่ฝันก็ยังฝันว่าจะฆ่าข้าให้ได้ด้วยซ้ำดังนั้นถ้าเข้ารู้ว่าพวกเรากำลังฝึกฝนเพลงกระบี่เวหาเหมันต์อยู่จะต้องตามมาถึงสำนักหมื่นิญญาแน่ๆ”
“มันก็จริง ถ้าอย่างนั้นข้าจะแอบๆ ฝึกฝนแล้วกัน”
“นี่ก็ใกล้ถึงเวลาเรียนแล้วล่ะ กลับไปได้แล้ว”
“อืม!”
ว่าแล้วข้าก็เก็บของและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนของสำนักจวี๋ฉีทันที
การเรียนครั้งนี้เหมือนกับการฝึกฝนไปในตัวเพราะข้าเอาแต่พยายามเข้าถึงแก่นแท้ของพลังในหลุมดำอย่างจริงจังเป็วันๆและพอเลิกเรียนก็ไปหลังเขาเพื่อพยายามเข้าถึงแก่นแท้ของหลุมดำแห่งพลังต่อ
พอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็พบว่าร่างกายเต็มไปด้วยหยดน้ำที่แข็งตัวเป็ก้อนเล็กๆรวมถึงพื้นหญ้าและก้อนหินบริเวณใกล้เคียงมีหยดน้ำค้างปกคลุมไปทั่วราวกับถูกพลังของข้าแผ่ไปหาอย่างไรอย่างนั้น
...
ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปกว่าสิบวันแล้วซึ่งข้าก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากพยายามเข้าถึงแก่นแท้ของเพลงกระบี่ดินแดนหิมะอยู่ตลอด
วิชาการฝึกฝนในตอนบ่าย
ฝนห่าสุดท้ายที่เย็นเยือกของฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดครึ้มทว่าอาจารย์หลันเท้อก็ยังสั่งให้พวกเราฝึกวรยุทธ์ต่อไปเพราะถือเป็สิ่งที่จำเป็ต้องฝึกฝนอย่างหนึ่ง
ข้าไม่ได้ฝึกฝนเพลงกระบี่วายุสังหารและเพลงกระบี่ลมแต่กลับยืนอยู่ท่ามกลางสายตาและหลับตาลงเพื่อเข้าถึงพลังที่วนเวียนอยู่ในหัวของหลุมดำแห่งพลังที่ได้กลายเป็เหมือนูเาลูกใหญ่ตั้งตระหง่าน
หลังจากพยายามเข้าถึงแก่นแท้ของพลังอยู่นานข้าก็รู้สึกถึงขุมพลังบางอย่างในูเาหลุมดำลูกนั้น ซึ่งมีพลังไอเย็นค่อยๆลอยออกมาและกำลังจะตื่นขึ้นจากการหลับใหล
แปะแปะ แปะ...
หยดน้ำฝนตกใส่พวกเราทุกคนจนส่วนบนเปียกปอนไปตามๆกัน ไม่ว่าจะหลิวถงเอ๋อร์ ตั้นไถเหยา และผู้หญิงคนอื่นๆ ต่างก็เปียกจนเห็นรูปร่างที่นูนออกมาจากหน้าอกซึ่งคนอื่นๆ ที่มองต่างก็จินตนาการเพ้อฝันไปไกล
แต่ข้ากลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับิัชั้นนอกมีไอพลังแผ่ออกมาจางๆ และสกัดเม็ดฝนที่ตกลงมาไม่ให้เข้ามากระทบร่างขนาดว่าพลังการััและพลังตาทิพย์ของข้าก็มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างมากจนสามารถรับรู้ได้ถึงคนสองคนที่เดินมาพร้อมกับร่มในมือและบทสนทนาที่ชัดเจนซึ่งเสียงนั้นเป็ของพี่เสวีนยินและหนึ่งในสามปรมาจารย์ใหญ่อย่างหลัวเสียนนั่นเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้