ตอนที่ตู้โซ่วโซ่วเห็นกู่ซาเขาใเป็อย่างมาก ไม่ว่าอย่างไร ผู้คนต่างก็ยังกลัวผีตายซากแบบนี้อยู่และตู้โซ่วโซ่วก็ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เมื่อเห็นกู่ซาที่โผล่มาอยู่ตรงหน้าหอสมุดมายาตู้โซ่วโซ่วแทบจะเข่าทรุดในทันที สุดท้ายกู่ซาไม่ได้เข้ามาในนิกายเบิก์เพราะกระดิ่งแก้วแล้วก็ไม่ได้เข้าไปในหอสมุดมายาด้วย นั่นเป็เพราะมีหอกั์ของเชียวจ่างเฉินกู่ซาจึงหนีออกไปตามถนนด้านนอก
“ทำไมไม่ฆ่ามันเล่า?” ตู้โซ่วโซ่วถาม
อันเจิงเพิ่งจะเริ่มอธิบายแต่กู่เชียนเยว่ที่เอามือไขว้หลังก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็ผู้ใหญ่ “ข้าก็นึกว่าจะเจอแต่พวกคนฉลาดและมีความรู้รอบตัวที่แท้ก็มีคนโง่อยู่ด้วยนี่นา...กู่ซาไม่ได้น่ากลัวเพราะพลังและความแข็งแรงที่มันมีแต่เป็เพราะมันมีพิษต่างหาก หากใครฆ่ามันละก็ พิษในร่างกายมันจะกระจายออกไปทั่วเมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าโลกมายาคงเต็มไปด้วยผีดิบแล้วจากนั้นเหล่าผีดิบก็จะออกไปทำลายทีละหมู่บ้าน”
ตู้โซ่วโซ่วหนาวสั่นขึ้นมาทันที “เช่นนั้นเราก็จัดการกับมันไม่ได้สิ?”
กู่เชียนเยว่พูด “มีวิธีจัดการมันอยู่เหมือนกันแต่ก็อันตรายมากเกินไป คนในโลกมายานี้ต่างก็รักตัวกลัวตายกันทั้งนั้นใครจะเสี่ยงอันตรายแบบนี้ออกไปจัดการกู่ซาเล่า? ถึงแม้ว่ากู่ซาจะไม่แข็งแกร่งมากแต่อย่างน้อยมันก็ต้องมีพลังอยู่ในขอบเขตสุมารุอย่างแน่นอน หากไม่ระวังตัวก็อาจถูกทำร้ายจนตายแล้วเื่อะไรต้องออกไปรนหาที่เล่า”
ตู้โซ่วโซ่วมองอันเจิงที่กำลังปีนขึ้นกำแพงนิกายอยู่จึงะโออกมาอย่างอดใจไม่ได้ “อย่าออกไปนะ มันอันตรายเกินไป”
อันเจิงพูด “ในโลกมายามีคนธรรมดาอยู่มากมายพวกเขาจะสู้กับกู่ซาได้อย่างไร”
“แต่เ้าก็สู้มันไม่ไหวหรอกถึงแม้กระดิ่งแก้วจะสามารถฆ่ามันได้ แต่เ้าจะรับมือกับพิษนั้นอย่างไร?”
“กระดิ่งแก้วเก็บไว้คุ้มครองพวกเ้าข้าแค่ไปดูสถานการณ์เท่านั้น”
ตู้โซ่วโซ่วเพิ่งเข้าใจที่อันเจิงรีบกลับนิกายเบิก์ก็เพราะเป็ห่วงชวีหลิวซีกับคนอื่น ๆ ตอนนี้เขานำกระดิ่งแก้วกลับมาคุ้มครองคนในนิกายไว้แล้วจึงตัดสินใจออกไปจัดการกู่ซาด้วยตัวเอง
“ที่แท้ก็เป็แค่คนบ้านี่เอง” กู่เชียนเยว่พึมพำออกมา
“หุบปากซะ!” ตู้โซ่วโซ่วะโใส่กู่เชียนเยว่
เขาปีนขึ้นกำแพงตามอันเจิง “อันเจิงเ้าคิดให้ดีๆ นะ เื่นี้อันตรายเกินไปแล้ว”
“อันตรายก็จริง แต่กู่ซาไม่มีสมอง มันอาศัยการรับรู้ระดับพลังเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่มีพลังมากกว่าตัวเองเท่านั้นในเมื่อเป็แค่ตัวไร้สมอง ต่อให้มีพลังมากก็ไม่ได้น่ากลัวสักเท่าไหร่ข้าแค่อยากออกไปดูสักหน่อย”
หลังจากพูดจบอันเจิงก็ะโลงไปแล้วพุ่งไปตามทางด้านนอกตู้โซ่วโซ่วเห็นดังนั้นก็ะโแล้วพุ่งตามอันเจิงออกไปติด ๆ
กู่เชียนเยว่ยักไหล่เล็กน้อย “เขาสองคนบ้าไปแล้ว”
กู่หมานยกมือขึ้นลูบหัว “เด็กสองคนนี้กล้าหาญน่ายกย่องจริง ๆ”
กู่เชียนเยว่ชี้ไปทางสนามซ้อม “ไปเตรียมอาหารเย็นมา!”
‘อืม’ กู่หมานเปล่งเสียงออกมาแล้วพาพวกเดินไปตามคำสั่ง
กู่เชียนเยว่เพิ่งจะนั่งลงก็หันไปเจอสาวน้อยคนหนึ่งกำลังยืนจ้องนางอย่างดุดัน
“เ้าคือใคร?” นางถามขึ้น
ชวีหลิวซีตอบกลับอย่างจริงจัง “ชวีหลิวซีแห่งนิกายเบิก์”
กู่เชียนเยว่รู้สึกสนใจขึ้นมา “แล้วเ้าจ้องข้าทำไม?”
ชวีหลิวซีมองไปที่ดวงตาของกู่เชียนเยว่ “ผู้นำนิกายอันไม่ใช่คนบ้าแล้วตู้โซ่วโซ่วก็ไม่ได้บ้าเหมือนกัน เ้าห้ามพูดแบบนี้เด็ดขาด”
กู่เชียนเยว่ชะงักไปเล็กน้อยจากนั้นก็หัวเราะออกมา “ที่แท้เ้าชอบเขางั้นหรือ คนผอมหรือคนอ้วนเล่า?”
ชวีหลิวซีหน้าแดงขึ้นมาทันที “ข้าเป็คนของนิกายเบิก์เมื่อเ้าพูดถึงผู้นำนิกายข้าในทางเสีย ๆ หาย ๆ ข้าก็ต้องทนไม่ได้อยู่แล้ว”
กู่เชียนเยว่ล้อเลียน “ชอบก็ชอบสิจะโกหกทำไมกัน เ้าอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ? อายุอย่างเ้าก็เป็่ที่ความรักกำลังพลุ่งพล่านพอดีแต่ถึงอย่างนั้น คนที่เ้าชอบก็ดูน่าสนใจอยู่เหมือนกันขนาดข้ายังเริ่มรู้สึกชอบเขาเลย เมื่อครู่ข้ากำลังคิดอยู่ว่า จะจับตัวเขากลับไปเป็สามีข้าเลยดีหรือไม่”
ชวีหลิวซีกระวนกระวายในทันที “เ้ากล้ารึ!”
“สาวน้อยร้อนใจแล้วสินะดูท่าคงจะชอบเขาเอามาก ๆ เสียด้วย รู้หรือไม่ ยิ่งเป็ของที่คนอื่นชอบมากเท่าไหร่ข้าก็ยิ่งอยากแย่งมามากเท่านั้น”
ชวีหลิวซีเอ่ยปากไล่ทันที “ที่นี่ไม่ต้อนรับเ้าเชิญออกไปซะ”
กู่เชียนเยว่ต่อปากต่อคำอย่างไม่ยอมแพ้ “ได้สิรอเขากลับมาเมื่อไหร่ ข้าจะพาเขาออกไปเอง”
เด็กสาวทั้งสองเขม่นหน้ากันอย่างดุเดือดแต่ชวีหลิวซีแสดงความโมโหออกมาชัดเจนมากกว่า พูดไปแล้วก็เป็เื่น่าตลกสิ้นดี ที่เด็กสาวอายุน้อยสองคนมาพูดเื่ความรักกันเช่นนี้เด็กในวัยนี้ ใครดีมาก็ดีกลับ ความรู้สึกเช่นนี้ก็เป็แค่ความรู้สึกที่บริสุทธิ์เท่านั้นเองกู่เชียนเยว่ที่เหมือนจิ้งจอกเ้าเล่ห์นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ส่วนชวีหลิวซีก็ยืนจ้องด้วยท่าทางราวกับนักสู้
แน่นอนว่าอันเจิงไม่รู้เื่ที่ชวีหลิวซีกำลังถกเถียงกับกู่เชียนเยว่อยู่ตอนนี้เขามุ่งความสนใจไปที่กู่ซาเท่านั้น มันมีการเคลื่อนไหวที่แข็งกระด้างแต่กลับรวดเร็วเป็อย่างมากเมื่อสมัยที่เขาอยู่กรมตุลาการแห่งราชสำนักต้าซี มีครั้งหนึ่งจักรวรรดิต้าซีเกิดภัยแล้งแม่น้ำหลายสายเหือดแห้งจึงพบโลงศพอยู่ก้นแม่น้ำหลายโลง คนที่พบเจอเปิดโลงศพออกเพื่อหวังเอาของมีค่าในโลงนั้นผลสุดท้ายกู่ซาจึงถูกปลดปล่อยออกมา
เมื่อคนของกรมตุลาการไปถึงหลายหมู่บ้านก็ถูกทำลายลงแล้ว ครั้งนั้นมีคนตายนับพันคนฉะนั้นอันเจิงจึงคุ้นเคยสถานการณ์แบบนี้เป็อย่างดี เขารู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรเพียงแต่พลังของอันเจิงในตอนนี้ยังอ่อนแอมากเกินไป
“หากจะต่อกรกับผีตายซากเช่นนี้ จริง ๆแล้วก็มีอยู่หนึ่งวิธี”
อันเจิงวิ่งด้วยความเร็วพลางพูดกับตู้โซ่วโซ่ว “ผีตายซากนั่นไม่สามารถงอเข่าได้มันอาศัยเท้าในการะโ ฉะนั้นมันจึงได้แต่ะโต่ำ ๆ ไปข้างหน้าอย่างเดียว พวกคนธรรมดาที่ไม่มีพลังก็สามารถหนีโดยการปีนขึ้นที่สูงแต่ทว่ากู่ซามีร่างกายที่แข็งแรงมาก กำแพงบ้านยังถูกมันชนจนแหลกเลยด้วยซ้ำโดยปกติแล้วหากจับผีตายซากเหล่านี้ได้ เพียงแค่เอาเชือกมัดไว้ที่ข้อเท้ามันก็ไม่สามารถะโได้แล้ว”
ตอนนี้ตู้โซ่วโซ่วเชื่ออย่างสนิทใจว่าอันเจิงเคยได้รับลิขิตฟ้ามาก่อนฉะนั้นจึงไม่เคยสงสัยอีกเลยว่าทำไมอันเจิงถึงรู้เื่ราวมากมายขนาดนี้
“เช่นนั้นเ้ามีวิธีจัดการมันแล้วใช่หรือไม่?”
“หากมีวิธีก็คงไม่หนีกลับนิกายก่อนหรอก”
“แล้วเ้าวิ่งออกมาทำไม?”
“เื่นี้...ต่อให้ไม่มีวิธีอย่างไรก็ต้องสู้แล้วล่ะ”
ตู้โซ่วโซ่วชะงักไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าอันเจิงเป็วีรบุรุษของโลกใบนี้ขึ้นมาทันทีวีรบุรุษในฝันของตู้โซ่วโซ่วแต่เดิมเป็ชายตัวสูงใหญ่ที่สวมชุดเกราะและถือหอกยาวสามารถรับมือกับทหารนับพันคนได้ หรือไม่ก็เป็ชายใส่ชุดขาวพลิ้วไหวที่ถือดาบเล่มใหญ่ออกเดินทางไปทั่วหล้าเพื่อกำจัดปีศาจร้ายในความเป็จริงอันเจิงอยู่ห่างจากภาพฝันของเขามากแต่ตอนนี้ตู้โซ่วโซ่วกลับรู้สึกว่าอันเจิงตัวสูงใหญ่และเป็เหมือนวีรบุรุษในฝันของเขา
ผู้คนมากมายที่อยู่บนถนนต่างใและหนีกลับบ้านกันจนหมดแต่กู่ซาก็ยังคงะโไปมาอยู่อย่างนั้นราวกับไม่มีจุดหมาย หลังจากะโอยู่ครู่ใหญ่มันก็ยืนนิ่งแล้วมองไปรอบด้านเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่
ตู้โซ่วโซ่วกับอันเจิงหลบอยู่หลังกำแพงมุมหนึ่ง เขาถามอันเจิงว่า “ข้าได้ยินมาว่าผีตายโหงแบบนี้จะชอบกินสมองเด็กหากกินครบหนึ่งร้อยคนร่างกายมันจะกลับมาเป็เหมือนเดิมอีกครั้งจริงหรือ”
อันเจิงพยักหน้า “ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกันแต่ยังไม่เคยเห็นเองกับตาทว่าพวกมันไม่ชอบกินคนผอมหรอกนะ เพราะไม่อร่อย แต่ชอบกินคนอ้วนอย่างเ้ามากกว่า”
สีหน้าของตู้โซ่วโซ่วเปลี่ยนเป็ซีดเผือดทันที“เ้าพูดจริงรึ?”
อันเจิงหัวเราะเบา ๆ และลากตัวตู้โซ่วโซ่วกลับมากู่ซายืนอยู่ครู่ใหญ่แล้วก็ะโไปด้านหน้าต่อ
อันเจิงและตู้โซ่วโซ่ววิ่งตามแนวกำแพงออกไปหลังจากที่วิ่งไปได้หลายร้อยเมตรก็เห็นมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังตรงเข้ามานั่นเป็เหล่ายอดฝีมือในโรงจวี้ฉ่างนั่นเอง จวงเฟยเฟยเปลี่ยนชุดใหม่และถอดผ้าปิดหน้าออกแล้วด้วยนางช่างสวยและสง่างามนัก แต่เวลานี้ใบหน้านางเต็มไปด้วยความโกรธแค้นคงเป็เพราะกู่ซาฆ่าคนในโรงจวี้ฉ่างไปมาก จึงทำให้นางเืร้อนอย่างนี้
“จับมันไว้!”
หลังจากจวงเฟยเฟยคำรามยอดฝีมือกว่าสิบคนก็พุ่งออกไป ในมือพวกเขาถือเชือกเส้นใหญ่เอาไว้แล้วพุ่งออกไปล้อมกู่ซาหวังจะจับมันให้ได้
กู่ซาอ้าปากและคำรามออกมา เป็เสียงเสียดหูที่ฟังแล้วน่าขนลุกนักทว่ายอดฝีมือในโรงจวี้ฉ่างก็มีพลังที่ยอดเยี่ยมและมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว
กู่ซามีพละกำลังมหาศาล ถึงแม้ตอนแรกพวกเขาจะมัดมันไว้ได้อย่างราบรื่นแต่เพียงแค่มันหมุนตัวกลับ ก็สามารถกระแทกยอดฝีมือสี่ห้าคนจนกระเด็นออกไปและทันทีที่พวกเขาล้มลงกู่ซาก็ฟาดฝ่ามือลงไปอย่างแรง ทำให้ทุกคนหัวแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี
“ให้ตายสิ!”
ทันใดนั้น มีผู้เฒ่าสวมชุดดำปรากฏตัวออกมาจากด้านหลังของจวงเฟยเฟยเขาชี้มือไปข้างหน้า มีลำแสงพุ่งออกมาจากกลางมือนั่นด้วยความเร็วและแทงไปกลางหน้าผากของกู่ซา
“ดาบวิเศษ!”
ตู้โซ่วโซ่วเบิกตาโตทันที “นี่เป็ครั้งแรกที่ข้าได้เห็นยอดฝีมือใช้ดาบวิเศษที่ลอยได้”
ดาบแหลมคมปักลงกลางหน้าผากของกู่ซาแต่กลับแทงไม่เข้าเลยสักนิดดาบนั่นกระเด็นออกมาทันที ผู้เฒ่าท่านนั้นยังไม่ทันเรียกดาบกลับมา กู่ซาก็จับดาบเข้าปากแล้วเคี้ยวจนแหลกละเอียดอันเจิงดูออกว่าดาบนั่นมีพลังอยู่ในระดับสีเขียว แต่ก็ถูกกู่ซาทำลายไปเสียแล้วเมื่อกู่ซาอ้าปากและพ่นเศษดาบเ่าั้ออกมา เศษดาบได้พุ่งออกไปทิ่มแทงคนอื่น ๆ ราวกับลูกธนูจากนั้นกลางหน้าอกของพวกเขาก็ะเิออกในทันที
ตู้โซ่วโซ่วดึงอันเจิง “เรารีบกลับกันเถอะขนาดคนในโรงจวี้ฉ่างยังจัดการมันไม่ได้เลย เราก็คงไม่ไหวหรอก”
“ไหวสิ”
อันเจิงจ้องไปที่กู่ซา “การเคลื่อนไหวทุกอย่างของมันมาจากปฏิกิริยาทางร่างกายเท่านั้นไม่ได้สั่งการมาจากสมอง ฉะนั้น ไม่ว่ามันจะไปทางไหน ระยะทางที่มันะโออกไปจะเท่ากันหมดทุกก้าวแม้กระทั่งเวลาที่มันกำลังต่อสู้อยู่ก็ตาม ระยะการะโก็ยังคงเท่าเดิม”
“แล้วอย่างไร?”ตู้โซ่วโซ่วก็ยังไม่เข้าใจความหมายของอันเจิงอยู่ดี
อันเจิงกลับพุ่งออกไปอย่างเฉียบพลัน “ก็จะจัดการมันได้ง่ายอย่างไรเล่า”
ผู้เฒ่าชุดดำถูกทำลายอาวุธคู่กาย สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนเป็ซีดเผือดในทันทีผู้ฝึกพลังวัตรกับอาวุธประจำตัวจะมีความเชื่อมโยงถึงกัน หากอาวุธถูกทำลายผู้ฝึกพลังวัตรก็จะได้รับาเ็ไปด้วย ผู้เฒ่าพุ่งตัวออกไปอย่างกะทันหันและมีประกายแสงออกมาจากมือของเขา“ข้าจะตายไปพร้อมกับเ้าเอง!”
จวงเฟยเฟยะโขึ้น “ฆ่ามันไม่ได้นะกู่ซาสามารถนำไปฝึกเป็โอสถิญญาได้!”
ร่างกายของผู้เฒ่าชุดดำแข็งกระด้างในทันทีเขาพูดความรู้สึกในใจออกมา “ท่านไม่ได้ห่วงความเป็ความตายของข้าเลยแม้แต่น้อย ในใจตอนนี้ยังนึกเสียดายตัวกู่ซาอีกรึ”
เขาะโเสียงดังและฟาดฝ่ามือไปที่กลางหน้าอกของกู่ซา
สีหน้าของจวงเฟยเฟยเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องมีความรู้สึกผิดบางเบาอยู่ในแววตาคู่นั้น
เพราะพลังเฮือกสุดท้ายของร่างกายจะมีอานุภาพมากที่สุดฝ่ามือของผู้เฒ่าชุดดำฟาดลงไปอย่างจัง แต่ร่างของกู่ซาแข็งแกร่งเกินไปจึงไม่ได้รับาเ็เลยแม้แต่น้อยกู่ซาซัดฝ่ามือซ้ายออกไปด้วยความรวดเร็ว แขนนั่นทะลุตัวของผู้เฒ่าชุดดำออกไปกู่ซายังคงะโไปข้างหน้าเรื่อย ๆ โดยที่แขนซ้ายก็ยังห้อยร่างของผู้เฒ่าชุดดำเอาไว้อย่างนั้นเมื่อะโออกไปข้างหน้า เืก็ไหลไปตามทาง
ขณะที่กู่ซาะโออกไปนั้น อันเจิงคำนวณระยะห่างและโยนก้อนหินออกไปหนึ่งก้อนตำแหน่งที่ก้อนหินหล่นอยู่ตรงกับตำแหน่งที่กู่ซาจะเหยียบพอดี เมื่อเท้าของมันเหยียบลงบนก้อนหินทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมได้แล้วล้มลง
อันเจิงพุ่งออกไปราวกับเสือร้ายทันใดนั้นก็พลิกมือขึ้น ในมือมีปิ่นแมลงปอทับทิมอยู่ เขาะโพุ่งตัวขึ้นฟ้า ตุบ!อันเจิงเหยียบอยู่บนหลังกู่ซา ปิ่นแมลงปอทับทิมในมือกลายเป็กริชที่แหลมคมจากนั้นก็ปักลงไปบนหลังหัวของกู่ซาจนทะลุด้านหน้าหลายรู
แต่!
หัวของกู่ซากลับมีแต่ความว่างเปล่า!
อันเจิงรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจเขาจึงหมุนข้อมือหวังใช้ปิ่นแมลงปอทับทิมตัดหัวของกู่ซาทว่าอันเจิงยังไม่ทันได้ลงมือ กู่ซาก็ยืนขึ้นแล้วกระแทกอันเจิงจนกระเด็นออกไป
กู่ซาหัวบิดเบี้ยวและยืนอยู่ตรงนั้นมันมีท่าทางที่แปลกประหลาด
อันเจิงใช้มือทั้งสองยันพื้นเพื่อหยุดการไถลและมองกู่ซาอย่างระมัดระวัง
จวงเฟยเฟยะโไปทางอันเจิง “อย่าฆ่ามันของนั่นมีประโยชน์มาก”
อันเจิงเปล่งเสียงเย็นะเื “ข้ารู้ แต่มันฆ่าคนมามากเกินไปแล้ว”
ขณะที่จวงเฟยเฟยอ้าปากจะพูดต่อกู่ซาก็พุ่งตรงไปที่นางแล้ว
ทันใดนั้น องครักษ์ของจวงเฟยเฟยก็พุ่งออกไปแต่เป็เพราะพวกเขาไม่กล้าฆ่ามัน จึงถูกมันฆ่าตายไปหลายคน
อันเจิงยืนนิ่งแล้วจ้องจวงเฟยเฟย “มันมีค่ามากกว่าชีวิตคนอีกหรือ?”
จวงเฟยเฟยรู้ว่าอันเจิงกำลังดูถูกตนอยู่แต่นางก็กัดฟันแล้วพยักหน้า “ใช่!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้