การเลือกวัตถุดิบของหลินหยางทั้งเถรตรง ทั้งเรียบง่ายกว่าอีกฝ่ายมากเขาใช้เวลาเกือบสิบนาทีถึงจะเลือกวัตถุดิบที่จะใช้ในการสร้างยุทธภัณฑ์ของตัวเองออกมาได้ประมาณเจ็ดถึงแปดชนิด
เมื่อเทียบกันสองฝ่ายแล้วฝั่งหลินอี้ตกเป็รองอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนกังวลยิ่งกว่าเดิมก็คือวัตถุดิบที่หลินอี้เลือกมาใช้แต่ละอย่างนั้นอยู่เหนือสามัญสำนึกของคนทั่วไปมาก
“ผู้าุโหลินจะเอาเ้า‘ผงหินอ่อน’ ไปทำอะไรกัน? นั่นมันเอาไว้ใช้ในงานก่อสร้างไม่ใช่หรืออย่างไรถึงมันจะมีความแข็งที่สูงในระดับหนึ่งก็ตาม แต่มันเอาไปใช้กับเครื่องป้องกันอย่างโล่ได้ด้วยหรือ?”
สีหน้าของครอบครัวตระกูลเวินซีดลงไปหลายส่วน
ถึงพวกเขาจะเชื่อมั่นในความสามารถของหลินอี้แต่ว่ามนุษย์เราเมื่อต้องเผชิญกับเื่ที่อยู่เหนือความเข้าใจของตัวเองก็มักจะเกิดความกังวลใจขึ้นมาอยู่แล้วเป็เื่ปกติ
กลับมาที่ซ่างกวันเฟยอีกครั้งชายหนุ่มผิวเข้มผู้นี้เริ่มขั้นตอนที่สองของการสร้างยุทธภัณฑ์แล้ว นั่นก็คือ - การสกัด
ก่อนหน้านี้เคยบอกไว้แล้วว่าการสกัดวัตถุดิบก็คือการนำพวกวัตถุดิบอย่างหินแร่เข้าไปเผาด้วยไฟอุณหภูมิสูงในเตาหลอมเพื่อที่จะสกัดเอาสิ่งเจือปนออกมาให้มากที่สุด เพื่อให้วัตถุดิบสามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงของมันออกมาได้มากที่สุด
ในขั้นตอนนี้จำเป็จะต้องใช้ความเชี่ยวชาญและความสามารถขั้นสูงในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับวัตถุดิบแต่ละประเภทภายใต้อุณหภูมิที่สูงทะลุจุดเดือดซึ่งจำเป็จะต้องใช้ชุ่ยหลิงจี้ที่เป็ตัวเร่งปฏิกิริยาการสกัดให้บริสุทธิ์มาช่วยสนับสนุนด้วยเพื่อให้วัตถุดิบสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้มากยิ่งขึ้น
ซ่างกวันเฟยสามารถทำการสกัดวัตถุดิบได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติทุกๆ ขั้นตอนของกระบวนการสกัดนั้นเป็ไปอย่างรวดเร็วและลื่นไหล
โดยเฉพาะพวกวัตถุดิบประเภทหินแร่ที่ถูกหลอมละลายกลายเป็ของเหลวหนืดในเตาหลอมแล้ว ซ่างกวันเฟยจงใจดึงให้พวกมันยืดเป็สายสีสวยงดงามขึ้นมากลางอากาศแล้วใส่กลับลงไปในเตาหลอมอีกครั้งราวกับการแสดงโชว์ศิลปะก็ไม่ปานจนเหล่าหญิงสาวที่ยืนดูอยู่ถึงกับส่งเสียงวีดว้ายให้กับความงามนั้น
แต่ในทางกลับกันนั้น
ขั้นตอนการสกัดของหลินหยางกลับดูอืดอาดเชื่องช้าเป็อย่างมากอย่างกับพวกมือใหม่หัดทำครั้งแรกเลยก็ว่าได้ แถมยังทำผิดพลาดไปแล้วรอบหนึ่งด้วย อี้สิงอวิ๋นที่ยืนดูจากข้างๆถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา
ยังโชคดีที่หลินหยางใช้ยาหลอมฟ้าด้วย
ชุ่ยหลิงจี้สุดล้ำสมัยตัวนี้สามารถแสดงอานุภาพระดับที่ยากเกินจะจินตนาการได้ในขั้นตอนการสกัดมลทินออกจากวัตถุดิบซึ่งมันมากพอที่จะทำให้วัตถุดิบบริสุทธิ์ในระดับที่หลินหยาง้า
เพียงแต่ว่าขั้นตอนการสกัดของหลินหยางมันดูน่าเบื่อไร้สีสันเกินไปหน่อยเมื่อเทียบกับฝั่งตรงข้ามที่มีลีลามากมายอย่างกับว่ากำลังแสดงโชว์อยู่ยิ่งทำให้สถานการณ์ของหลินหยางดูน่าเป็ห่วงมากกว่าเดิม
หลังเสร็จจากขั้นตอนการสกัดแล้วขั้นตอนต่อไปก็คือการหลอมรวมขึ้นรูป
หลังจากที่ทำการสกัดวัตถุดิบทั้งหมดให้บริสุทธิ์เรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลานำไปเทรวมกันในเบ้าหลอมโลหะเพื่อเตรียมขึ้นรูปขั้นตอนนี้จำเป็ต้องพึ่งความคุ้นเคยของนักการช่างที่มีต่อวัตถุดิบว่าตัวไหนส่งเสริมกันตัวไหนสะกดข่มกันนอกจากนี้ยังต้องรู้ด้วยว่าวัตถุแต่ละตัวควรจะเทลงเบ้าหลอมโลหะใน่อุณหภูมิไหนถึงจะเหมาะสมที่สุดวัตถุดิบบางประเภทที่มีเงื่อนไขในการหลอมรวมค่อนข้างยุ่งยาก ก็จะต้องทำในเตาหลอมที่มีสภาวะอุณหภูมิสูง
ซึ่งขั้นตอนนี้น่าจะเป็ขั้นตอนที่ยากที่สุดในการสร้างยุทธภัณฑ์แล้วและเป็ขั้นตอนที่จะสามารถวัดระดับฝีมือของนักการช่างแต่ละคนได้
แต่สำหรับซ่างกวันเฟยนั้นขั้นตอนที่ดูลึกล้ำและเข้าใจยากแบบนี้กลับถูกเขาเปลี่ยนให้กลายเป็การแสดงโชว์อันน่าตื่นเต้นไปแล้ว
ภาพที่ปรากฏออกมาให้ผู้คนได้เห็นก็คือภาพของซ่างกวันเฟยที่กำลังถือเบ้าหลอมโลหะหลายๆ อันเอาไว้พร้อมกันซึ่งแต่ละอันก็จะมีวัตถุดิบที่ถูกหลอมละลายแล้วเปล่งแสงสีต่างๆ ออกมาจากในเบ้านั้นซึ่งแสงสีต่างๆ ที่เปล่งออกมานั้นก็ดูราวกับจะรวมกันเป็แสงสีรุ้งอันสวยงามหลังจากนั้นก็เห็นเขาค่อยๆ เทหนึ่งในวัตถุดิบที่ถูกหลอมจนละลายเป็ของเหลวร้อนๆ แล้วลงไปในแม่พิมพ์รูปดาบสั้นที่เตรียมไว้ก่อนหน้านั้นแล้วอย่างสงบนิ่งดุจรูปสลักทรงมนุษย์หรือบางทีเขาก็หมุนควงเบ้าหลอมสี่ห้าอันที่มีวัตถุดิบหลอมเหลวร้อนๆ นั่นในมือพร้อมกันราวกับกำลังแสดงมายากลอยู่จนดูลายตาไปหมดดูวุ่นวายแต่ก็ดูน่าสนุกสนานจนทำให้เหล่าผู้ชมที่ยืนดูอยู่บางกลุ่มะโชื่นชมออกมาดังๆ
ซึ่งในขั้นตอนนี้ซ่างกวันเฟยยังได้ใส่ยาหลอมรวมสูตรลับเฉพาะของเขาเองลงไปด้วยทำให้วัตถุดิบทั้งหมดของเขาหลอมรวมเป็เนื้อเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์ เต็มประสิทธิภาพทำให้ดาบสั้นของเขานั้นทั้งแข็งแกร่ง ทนทาน และคมกริบ
แต่การกระทำของหลินหยางในตอนนี้ได้หลุดออกจากสามัญสำนึกจากคนทั่วไปไปแล้ว
หลินหยางเริ่มต้นด้วยการใช้ดินโคลนปั้นเป็แม่พิมพ์ทรงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตร หลังจากที่คว้านเนื้อออกจนเป็โพรงว่างๆ แล้วก็นำวัตถุดิบที่ผ่านขั้นตอนการสกัดจนหลอมละลายแล้วเทลงไปบนแม่พิมพ์นั้นจนมันผสมรวมกันโดยไม่มีขั้นมีตอนใดๆ ทั้งสิ้นหลังจากนั้นก็แกะเอาแม่พิมพ์ที่ทำจากโคลนออกก็ได้ของที่มีลักษณะคล้ายกับกระทะทรงโค้งที่มีผิวนอกขรุๆ ขระๆ
นั่นมันอะไรกัน?
อย่างนั้นก็เรียกงานช่างหรือ?
แบบนี้มันจะเอาไปเทียบกับการแสดงโชว์อันงดงามของซ่างกวันเฟยที่อยู่ข้างๆได้ด้วยหรือ?
แถมของที่มันสร้างขึ้นมายังดูเหมือนกับกระทะอีกมันจะเอาไปใช้ทำอะไรกันแน่ ปิ้งขนมกินหรือ?
สีหน้าของคนในตระกูลเวินตอนนี้ถึงกับซีดไปแล้ว
ส่วนผู้คนที่กำลังยืนดูการประลองอยู่บางส่วนก็มองไปทางหลินหยางด้วยแววตาแบบเดียวกันหมดเป็แววตาที่ไม่รู้จะสมเพชหรือสงสารมันดี หรืออีกความหมายที่จะสื่อก็คือ...
เ้าหนูนี่ไม่มีทางรอดแล้ว
ความอยู่รอดของตระกูลเวินนั้นดูท่าจะตกไปอยู่ในมือของนักการช่างไม่เอาไหนเสียแล้ว
ทางด้านของซ่างกวันเฟยนั้นก็เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย - การตีเหล็กขึ้นรูป นั่นเอง
ดาบสั้นที่เพิ่งเอาออกจากแม่พิมพ์ถูกวางเอาไว้บนทั่งตีเหล็กในมือของเขากำลังถือค้อนสำหรับตีเหล็กที่ดูหนักอึ้งอยู่ด้ามหนึ่งเขาเร่งพลังขึ้นจนค้อนในมือเปล่งแสงสีขาวออกมา จากนั้นก็ทุบลงไปที่ดาบอย่างหนักแน่น
ตึง
สะเก็ดไฟกระเด็นกระดอนไปทั่วทุกทิศเสียงทุบอันรุนแรงจนดังกระหึ่ม
“นั่นมันพลังฟ้าดินนี่!”
“ซ่างกวันเฟยเป็ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนหรือนี่!!”
ผู้คนโดยรอบยิ่งรู้สึกนับถือเขามากขึ้นไปอีก
อายุยังน้อยขนาดนี้แต่นอกจากจะเป็ถึงนักการช่างฝีมือร้ายกาจแล้ว ด้านวรยุทธ์ยังเป็ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนอีกทั้งเมืองอวิ๋นเฉิงแห่งนี้ เด็กหนุ่มที่สามารถก้าวไปถึงระดับเซียนเทียนได้ั้แ่อายุน้อยๆนั้น เห็นจะมีแค่สี่ัน้อยในตำนานเท่านั้นทั้งหมดล้วนเป็บุคคลที่มากไปด้วยพร์กันทั้งนั้นไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมีเพิ่มมาให้เห็นอีกหนึ่งคนแล้ว
ซ่างกวันเฟยในตอนนี้ราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็คนละคน เหมือนทั้งสติและความคิดทั้งหมดล้วนจมลงไปในโลกแห่งการช่างบนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแห่งความสุข แสดงให้เห็นถึงความคลั่งไคล้ที่มีต่องานช่าง ค้อนในมือถูกเหวี่ยงทุบลงบนวัตถุดิบอย่างสม่ำเสมอราวกับกำลังร่ายรำ
ค้อนด้ามนั้นอย่างต่ำก็น่าจะมีน้ำหนักประมาณพันกว่าชั่งแต่พอมันมาอยู่ในมือของซ่างกวันเฟยแล้วบางครั้งมันกลับดูเหมือนว่าแทบจะไม่มีน้ำหนักเลยตอนที่หวดลงไปบนวัตถุดิบดูราวกับเม็ดฝนที่ตกพรำๆ อ่อนโยนและละเมียดละไมทุบนวดไปบนทุกส่วนของพื้นผิวของวัตถุดิบ แต่บางครั้งก็แข็งแกร่งหนักแน่นดุจอสนีบาตทุกครั้งทีหวดฟาดลงไป ก็จะบังเกิดเสียงดังสะท้านไปทั่วลานกว้างจนคนที่ยืนดูอยู่ด้านนอกยังรู้สึกได้ถึงแรงสั่นะเื
“โคตรหล่อเลย!!”
ผู้ชมที่ยืนดูอยู่ถึงกับอดไม่ได้ที่จะะโชื่นชมให้กับซ่างกวันเฟย
เ้าหนุ่มน่าหมั่นไส้คนนี้มันมีของดีให้โชว์ได้เยอะจริงๆทั้งที่เลี่ยนเทียนเฮ่าแห่งนี้ควรจะเป็สนามประลองที่มีหลินหยางเป็ตัวเอกหลักแต่กลับถูกคนนอกอย่างมันแย่งเอาเวทีไปโชว์ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่จนได้รับคำชื่นชมจากผู้ชมจำนวนมากไป
แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เป็เพราะพฤติกรรมของตัวหลินหยางเองด้วยที่ทำให้คนส่วนใหญ่ชื่นชมเ้านั่นมากกว่า
ตอนนี้หลินหยางเริ่มอบขนมแล้ว
หรือทำอะไรสักอย่างที่คล้ายกับการอบขนมเลย
ภายใต้สายตาของผู้ชมนับพันหลินหยางกำลังเท ‘ผงหินอ่อน’ทั้งถุงจำนวนหนึ่งถุงและของเหลวสีดำที่ได้จากการสกัดวัตถุดิบลงไปในสิ่งของที่ดูคล้ายกระทะนั่นหลังจากนั้นเขาก็อุดปากกระทะนั่นเอาไว้ แล้วจึงนำไปเผาด้วยไฟิญญาบนเตาหลอม
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มแก้เบื่อโดยการทำความสะอาดแท่นตีอาวุธของตัวเองให้เรียบร้อย
เ้าบ้านี่มัน...
ขนาดผู้ที่มากประสบการณ์ที่ปกติจะดูเยือกเย็นอย่างอี้ชังไห่ตอนนี้ยังถึงกับหลั่งเหงื่อเม็ดโต
วิธีการสร้างยุทธภัณฑ์ของหลินอี้ที่เหมือนกับการอบขนมแบบนี้มันอยู่เหนือสามัญสำนึกมากเกินไปแล้ว
ถ้าวิธีแบบนี้ก็สามารถสร้างโล่ชั้นดีออกมาได้จริงละก็อย่างนั้นพวกเขาคงจะเสียเวลาทั้งชีวิตไปแบบเปล่าประโยชน์แล้วจริงๆ
แม้แต่เวินติ่งเทียนเองยังคิ้วขมวดแน่นจนเป็เกลียวในใจของผู้าุโท่านนี้เองก็เริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมาแล้วเหมือนกันว่าตัวเองอาจจะเลือกคนผิดก็ได้
ส่วนด้านตรงข้ามของหลินหยางนั้นซ่างกวันเฟยก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายของการขึ้นรูปแล้วราวกับบทเพลงสุดเร้าใจนี้กำลังจะบรรเลงไปถึงจุดสิ้นสุดของมันดาบสั้นอันทรงพลานุภาพของเขากำลังจะถือกำเนิดขึ้นบนโลกนี้แล้ว
หลินหยางก็ยังคงนั่งอบอะไรบางอย่างต่อไป...
ตึงงง
เสียงค้อนทุบดังขึ้นอีกครั้งซ่างกวันเฟยเหวี่ยงค้อนทุบลงเป็ครั้งสุดท้ายอย่างสะใจสีหน้าของเขาตอนนี้เป็สีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอันเปี่ยมล้นราวกับนักกวีที่สามารถสรรสร้างผลงานชิ้นเอกของตัวเองออกมาได้
เขายกดาบสั้นเล่มนั้นขึ้นมาดาบสั้นที่เขาทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจทั้งหมดในการสร้างหลังจากนั้นก็แช่ลงไปในบ่อน้ำหล่อเย็นอย่างมั่นใจ
ซู่
ควันสีขาวที่เกิดจากการแช่ของร้อนลงไปในน้ำลอยขโมงเต็มฟ้าราวกับเป็สัญญาณว่าสุดยอดอาวุธชิ้นใหม่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว
หลินหยาง...ก็ยังคงนั่งอบของๆ เขาอยู่ต่อไป...
“เสร็จแล้ว!”
ซ่างกวันเฟยะโขึ้นหลังจากที่นำดาบที่ตีขึ้นไปหล่อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วในตอนที่เขายกดาบขึ้นมาจากบ่อน้ำหล่อเย็นนั้นทั้งลานกว้างเหมือนกับจะเห็นลำแสงสาดส่องเป็ประกายแวววับออกมาจากตัวดาบ
ราวกับว่าวินาทีที่ดาบเล่มนั้นปรากฏตัวขึ้นก็รู้สึกเหมือนถูกประกายแสงจากดาบมาจ่ออยู่ที่ลำคอก็ไม่ปานจนทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นเผลอหดคอหลบโดยไม่รู้ตัว
ช่างเป็ดาบที่คมกริบจนน่าหวาดกลัวจริงๆ
“ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญตีดาบที่ทรงพลังกว่าปกติออกมาได้แบบนี้ข้าว่าคงไม่มีเกราะป้องกันระดับนิลกาฬชิ้นไหนที่จะสามารถต้านทานคมดาบของดาบนิลกาฬเล่มนี้ได้แล้ว!”
ซ่างกวันเฟยเผยอยิ้มอย่างได้ใจเหมือนกับยอดฝีมือที่กำลังจะได้รับชัยชนะจากนั้นก็หันคมดาบไปที่ศัตรูสุดแข็งแกร่งของตัวเองอย่างหลินหยาง
“หลินอี้เตรียมรับโทษปะาได้แล้ว... เ้า...นั่นเ้าทำอะไรอยู่?”
ซ่างกวันเฟยถึงกับตาถลนออกมา
ภาพที่เขาเห็นคือหลินหยางที่มานั่งรอเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยอยู่ก่อนแล้ว
“ช้าเกินไปแล้ว...”
ถ้อยคำที่ซ่างกวันเฟยเคยใช้พูดดูถูกวู๋กังเอาไว้นั้นหลินหยางเอามาโยนใส่หน้ามันคืนอย่างครบถ้วนทุกคำ
แต่เื่แค่นี้...ยังไม่ใช่เื่ที่น่าโมโหที่สุดหรอก
สิ่งที่ทำให้ซ่างกวันเฟยรู้สึกรับไม่ได้มากที่สุดก็คือยุทธภัณฑ์ที่หลินหยางสร้างขึ้นมานั่นเอง
ใช่แล้ว ไอ้กระทะอบขนมอันนั้นเลย
ตัวข้าอุตส่าห์ตั้งใจสร้างยุทธภัณฑ์ระดับนิลกาฬขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบแต่หน้าแมวอย่างเ้ากลับเอาของพรรค์นี้มาล้อเลียนข้าอย่างนั้นรึ!!
แถมยังสีหน้าท่าทางเหมือนมั่นใจในชัยชนะนั่นอีกเ้ากำลังดูถูกข้า ซ่างกวันเฟย อยู่ใช่ไหม!!
ซ่างกวันเฟยรู้สึกหงุดหงิดจนไม่รู้จะด่าออกมาเป็คำพูดอย่างไรแล้วเขาไม่สามารถคาดเดาพฤติกรรมของหลินอี้ได้เลยมันทำให้เขาถึงจะอยากระบายออกไปแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน
“หึ!”
เขาจึงทำได้แค่พ่นควันสีขาวออกมาจากจมูกพร้อมกับเดินถือดาบสั้นที่เปล่งประกายไปที่กลางลานกว้างแห่งนี้มองไปที่หลินหยางอย่างเ็า “มารับความตายเสียเถอะ”
ปัง!
หลินหยางวางกระทะเหล็กขนาดหนึ่งเมตรอันนั้นลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่นเกิดรอยแตกร้าวไปทั่วกระทะทันที เหมือนกับว่ามันอาจจะพังทลายลงได้ตลอดเวลาดูไม่น่าจะทนรับการโจมตีอะไรได้อีก
คราวนี้ไม่เพียงแต่ซ่างกวันเฟยเท่านั้นที่รู้สึกหงุดหงิดแม้แต่คนดูที่อยู่รอบๆ เองก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเช่นกัน
ยุทธภัณฑ์ของทั้งสองฝ่ายมันแตกต่างกันเกินไป
ดาบที่สามารถตัดเหล็กให้ขาดได้ง่ายๆเหมือนโคลน เอาไปฟันใส่กระทะเหล็กที่ถูกเผาจนเริ่มร้าวแล้วบวกกับขนมอบแผ่นใหญ่ที่น่าจะถูกเผาจนใกล้จะไหม้เกรียมแล้ว...
ไม่กล้าจินตนาการถึงภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นเลย
เวินติ่งเทียนในตอนนี้ไม่แน่ใจแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อดี
“เอ่อ...หลินอี้ ท่านแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าทำเสร็จแล้ว... นั่นมัน...ของที่จะเอามาใช้ประลองหรือ?”
หลินหยางแสยะยิ้มขึ้นมานิดๆ“มันอาจจะดูหน้าตาน่าเกลียดไปหน่อย แต่แค่นี้น่าจะพอแล้ว”
นี่มันไม่หน่อยแล้วโว้ย!
เวินติ่งเทียนแทบจะตาเหลือกแล้วหลินอี้มันทำอะไรของมันนี่ ไอ้กระทะที่มันจะแตกแหล่มิแตกแหล่แล้วแบบนี้จะเอาไปรับการโจมตีของดาบสั้นสุดคมของซ่างกวันเฟยเล่มนั้นจริงๆ หรือ...
หลินอี้เ้าอย่าทำให้ข้าผิดหวังนะ!!
“อย่างนั้นก็ดีถ้าอย่างนั้น เรามาเริ่มขั้นตอนสุดท้ายกันเถอะ”