วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ถึงสิ้นปีแล้ว พูดตามตรง่เวลานี้ของทุกปีภายในจวนจะยุ่งที่สุด แม้แต่ไท่ไท่สามก็ถูกไท่ไท่ใหญ่ตามให้ไปช่วยงาน
ไม่เพียงเท่านี้ ปีนี้ซูเยียนหรันสองสามีภรรยากลับมาฉลองปีใหม่ งานที่ต้องทำก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เมื่อไท่ไท่สามกลับมาจากเรือนหลัก เห็นเฉียวเยว่กำลังใช้กรรไกรอันเล็กของตนเองตัดสิ่งของบางอย่างอยู่ นางใแทบสิ้นสติ แต่ไม่กล้าทำให้บุตรใ ด้วยเกรงว่าความใอาจจะก่อให้เกิดเื่ผิดพลาดขึ้นได้
"เฉียวเยว่ทำอันใดอยู่หรือ" นางถาม
เฉียวเยว่รีบวางกรรไกรลง "ข้าทำหน้ากากปิดปากเ้าค่ะ"
ไท่ไท่สามขมวดคิ้วอย่างงุนงง หลังจากหยิบภาพเขียนข้างมือของเฉียวเยว่ขึ้นมาดู ถึงเข้าใจ "เพราะเหตุใดต้องทำของประหลาดเช่นนี้ด้วยเล่า?"
สาวน้อยฟันหลออธิบายอย่างจริงจัง "ข้ารู้สึกว่าเวลาพูดแล้วเห็นฟันหลอมันดูน่าเกลียดไปหน่อย ข้าเป็สตรีคนหนึ่ง แต่สตรีทุกคนก็ไม่ควรจะอยู่ในสภาพอัปลักษณ์เช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงวางแผนที่จะทำหน้ากากปิดปากให้กับตนเอง เช่นนี้ก็สามารถปิดปากได้แล้ว อีกอย่างข้าถามท่านตา ท่านตาบอกว่าโรคเข้าทางปาก ภัยออกจากปาก ท่านแม่ว่า ข้าปิดเอาไว้ ก็จะได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นทั้งสองใช่หรือไม่?"
ไท่ไท่สามรู้สึกอับจนปัญญา ได้แต่สอนไปว่า "เฉียวเยว่ ภัยที่ออกจากปาก ใช่ว่าเ้าเอาผ้าผืนหนึ่งมาปิดไว้แล้วจะสามารถหยุดยั้งได้"
เฉียวเยว่ก้มหน้าก้มตาทำต่อ "ข้าไม่สน ข้าบอกว่าได้ก็ต้องได้"
เฮ่อ... ยายหนูชักจะร้ายกาจมากขึ้นทุกวัน
แต่ไท่ไท่สามก็มิได้ห้ามปราม หากสวมทับปิดไว้แล้ว เด็กก็คงจะไม่วิตกเื่ที่ตนเองฟันหลออีก นับว่าดีสำหรับนาง
อีกทั้ง่นี้ด้านนอกหนาวเย็นมาก เมื่อคืนยังมีหิมะตก สวมคลุมไว้เช่นนี้ก็ช่วยให้อบอุ่นขึ้นไม่น้อย
"จะทำก็ทำไป แต่อย่าให้ตนเองาเ็ อวิ๋นเอ๋อร์ เ้าดูนางให้ดี อย่าให้เกิดเื่เล่า"
อวิ๋นเอ๋อร์รีบตอบรับ
เฉียวเยว่หัวเราะออกมา "ท่านแม่ ท่านใจเสาะยิ่งนัก"
ไท่ไท่สามกลอกตาใส่บุตรสาว "ข้าว่า ประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเ้าสิ่งนี้ก็คือปิดปากของเ้าไว้ไม่ให้กินอะไรเข้าไปได้"
เฉียวเยว่ "..."
จนกระทั่งเฉียวเยว่สวมหน้ากากปิดปากไปยังเรือนหลัก ก็ทำให้ทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง บนผ้าปิดปากสีขาวผืนน้อยสะอาดสะอ้านมีปักลายรูปริมฝีปากสีแดงขนาดใหญ่ไว้้า
น่าตลกขบขันอย่างยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะจนต้องยกมือปิดหน้า "เด็กคนนี้ เ้าคิดออกมาได้อย่างไร ความสามารถรอบตัวจริงๆ"
ของมันแน่อยู่แล้ว!
เฉียวเยว่หัวเราะ ดวงตาหยีโค้ง "ดูสิเ้าคะ ฟันของข้าก็อยู่ครบ"
ริมฝีปากแดงสดมีรอยยิ้มสดใส ไม่พูดก็ยิ้ม ส่วนตรงกลางยังเผยให้เห็นฟันสีขาวสะอาดซึ่งเป็ส่วนที่เฉียวเยว่คิดเพิ่มขึ้นมา
นางปีนขึ้นบนตั่ง "เวลาช่างผ่านไปเร็วยิ่ง เพียงพริบตาข้าก็จะหกขวบแล้ว"
อีกไม่กี่วันก็จะถึงปีใหม่ ่นี้แม้แต่รัชทายาทและิ่จื้อรุ่ยก็ไม่มาเรียนแล้ว เห็นได้ว่าบรรยากาศของปีใหม่นับวันก็ยิ่งตลบอบอวล
"ท่านย่า ท่านอา พวกท่านว่าข้าฉลาดหรือไม่?"
ซูเยียนหรันยิ้มอ่อนๆ พลางพยักหน้า
เฉียวเยว่ยกมือเท้าคางแล้วถอนหายใจ "ท่านอางดงามยิ่งนัก มีคำกล่าวว่าหลานสาวมักคล้ายคลึงอาหญิง ข้ารู้สึกว่าข้าก็งดงามเช่นนี้เหมือนกัน"
บรรดาพี่น้องต่างหัวเราะกันครืน
"เ้าชอบหลงตัวเอง จุดนี้ไม่มีใครเหมือน" หรงเยว่ค่อนแคะ
เฉียวเยว่แสร้งบิดมือทำท่ากระมิดกระเมี้ยน "จุดนี้เหมือนท่านไงล่ะ"
หรงเยว่แค่นเสียงเยาะ "เหลวไหลทั้งเพ เ้าจะเหมือนข้าได้อย่างไร"
เฉียวเยว่แสร้งทำพาลพาโล "ไม่สน ไม่สน ข้าบอกว่าเหมือนท่านก็เหมือนท่าน ทำไม จะกัดข้าหรือ"
หรงเยว่ทำสีหน้าจริงจัง "มีคำกล่าวว่าเด็กเจ็ดแปดขวบเป็วัยสุนัขรังเกียจ เห็นอยู่ว่าเ้าน่ะใกล้แล้ว"
เฉียวเยว่ลอยหน้า "ข้าสวยเพียงนี้ สุนัขต้องชอบข้าแน่ พี่หรงเยว่ต่างหากที่สุนัขไม่ชอบ เอ๊ะ ไม่ถูกสิ พี่หรงเยว่ของข้าสิบเอ็ดขวบแล้วนี่นา"
ทันใดนั้นนางก็ทำจริงจังขึ้นมา "ปีหน้าพี่หรงเยว่ก็ต้องไปเรียนหนังสือแล้วกระมัง?"
ผ่านสิ้นปีนี้ไป หรงเยว่ก็อายุสิบสองปีแล้ว สำนักศึกษาสตรีต้องไปสมัครด้วยตนเอง ทว่าหรงเยว่กลับผัดผ่อนไม่ยอมไปสมัครมาตลอดสองปี บัดนี้แม้แต่อิ้งเยว่ก็เข้าสำนักศึกษาสตรีแล้ว แต่นางกลับไม่ไป หากปีหน้ายังบ่ายเบี่ยงอีก ก็นับว่าเป็เื่ที่น่าอับอายขายหน้าสำหรับจวนซู่เฉิงโหว
การรับสมัครจะจัดขึ้น่ต้นวสันต์ของทุกปี หากยังไม่ถึงวันเกิดก็จะมิได้รับอนุญาต นี่เป็การปิดกั้นคนส่วนหนึ่ง ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงสามารถเข้าศึกษาในสำนักศึกษาสตรีได้จริงๆ ตอนอายุสิบเอ็ดปี
หรงเยว่เกิดช้า ทำให้ต้องเสียเวลาไปหนึ่งปี
ไท่ไท่รองเป็สตรีใจแคบคิดแต่เื่หยุมหยิมไร้แก่นสาร บุตรสาวของตนเองยังไม่ไป ไหนเลยจะยอมให้บุตรสาวที่เกิดจากอนุเกินหน้าเกินตา ด้วยเหตุนี้เฉี่ยวเยว่จึงพลอยอดเข้าสำนักศึกษาไปด้วย แต่ทั้งสองก็ยังได้ร่ำเรียนวิชาความรู้จากอาจารย์ที่จ้างมาสอนเป็การส่วนตัว
เอ่ยถึงเื่นี้ สีหน้าของหรงเยว่ก็ชะงัก รู้สึกพูดไม่ออก แท้จริงแล้วนางไม่อยากไปเรียนหนังสือ แต่ตอนนี้ไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้อีกต่อไป หลังจากคิดแล้วก็สงวนวาจาไว้
ยิ่งไปกว่านั้นหากครานี้สอบไม่ติด มารดาของนางต้องโกรธอีกแน่ นึกถึงตรงนี้หรงเยว่ไหนเลยจะไม่เศร้าใจ
"พี่หรงเยว่ ท่านคงไม่อาวรณ์ข้ามาก ถึงขั้นคิดวางแผนแกล้งสอบไม่ติด หลังจากนั้นก็อยู่เป็เพื่อนเล่นกับข้าที่บ้านหรอกกระมัง" เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ
หรงเยว่ถลึงตาใส่นาง "ใครอยากจะเล่นกับกระต่ายอ้วนโง่งมอย่างเ้ากันล่ะ"
เฉียวเยว่เข้าไปกอดแขนฮูหยินผู้เฒ่าพลางหัวเราะคิกคัก "พี่หญิงสามเขินแล้ว ช่างเป็สตรีที่ปากไม่ตรงกับใจแท้ๆ"
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะไปกับนางด้วย บรรดาหลานสาวเหล่านี้ ใครเป็อย่างไรนางย่อมรู้ดีที่สุด
การเรียนของหรงเยว่ไม่โดดเด่น อาศัยข้อจำกัดเื่วันเกิดเลื่อนกำหนดการเข้าสำนักศึกษาตอนอายุสิบขวบอย่างสมเหตุสมผล แท้จริงแล้วคนที่เกิดช้าเหมือนนางก็เตรียมตัวอ่านหนังสือสอบเข้าครั้งหน้า ถึงอย่างไรสำนักศึกษาก็เปิดเรียน่ฤดูใบไม้ร่วง ถ่วงเวลาเช่นนี้จนผ่านไปอีกหนึ่งปี แต่สถานการณ์เช่นนี้มักเกิดกับเด็กผู้ชายมากกว่า น้อยนักที่จะเกิดกับเด็กผู้หญิง การเข้าสำนักศึกษาเร็วเกินไป หากผลการเรียนไม่ดี ก็ขายหน้าผู้อื่นเช่นกัน ดังนั้นสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพียงคนเดียวที่เข้าศึกษาปีนี้ก็คืออิ้งเยว่ของพวกเขา
ส่วนหรงเยว่ปีที่แล้วเลื่อนไปหนึ่งปี ปีนี้ก็อ้างว่าไม่สบายมิได้ไปสอบ ปีหน้าจึงไม่อาจผัดผ่อนได้อีกต่อไป
สตรีสามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาสตรีถือเป็สิ่งที่น่าภาคภูมิใจ หากไม่ไป ภายภาคหน้าจะหาสามีก็คงยากที่จะได้คู่ครองที่เหมาะสม
"ผ่านปีใหม่นี้ไปก็ใกล้จะสอบฤดูวสันต์ ่ปีใหม่เ้ากับเฉี่ยวเยว่งดออกไปเล่นข้างนอก ข้ากำชับคนอื่นๆ ไว้แล้วว่าอย่าไปรบกวนพวกเ้า ยังมีเวลาอีกสองเดือนก่อนการสอบ พวกเ้าอ่านท่องตำราในห้องให้ดี ข้าจะจัดหาอาจารย์ให้พวกเ้าเพิ่มอีกสองคน นอกจากนี้จะให้ท่านอาสามของพวกเ้าสอนให้กับพวกเ้าด้วย"
หรงเยว่เม้มปาก "ทราบแล้วเ้าค่ะ"
เฉียวเยว่ถอนหายใจ เหตุใดไม่ว่าจะไปที่ไหนล้วนแต่ต้องเรียนหนังสือ
"หรงเยว่ เฉี่ยวเยว่มีสอบหลังปีใหม่ เฉียวเยว่กับชิงเยว่พวกเ้าก็อย่านิ่งนอนใจ พ้นปีใหม่นี้ไปพวกเ้าก็หกขวบแล้ว ควรเตรียมตัวปูพื้นฐานเสียแต่เนิ่นๆ ถึงเวลาจะได้ไม่จวนตัวจนเกินไป"
แท้จริงแล้วหากเทียบกับจวนอื่นที่ให้เริ่มเรียนั้แ่สามสี่ขวบ จวนของพวกเขาห้าหกขวบถึงจ้างอาจารย์มาสอนจึงไม่นับว่าเร็วเกินไป
ส่วนอิ้งเยว่... นั่นถือเป็กรณีพิเศษ
เฉียวเยว่แม้ว่าตอนนี้จะยังเล็ก ยังมองไม่ออกว่าจะเป็อย่างไร และยังมิได้เรียนตามระบบอย่างแท้จริง แต่นางกับฉีอันได้รับอิทธิพลจากการเห็นและได้ยินมาั้แ่เด็กประกอบกับความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ จึงค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าเด็กที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
"เฉียวเยว่กับฉีอันมีอันใดที่ไม่เป็ ก็ถามท่านตาของเ้าได้"
"ท่านตาชมข้า ท่านตาชมข้า" ฉีอันโอ้อวด "ข้ากับเฉียวเยว่วาดหนังสือภาพเื่บันทึกการเดินทางสู้ชมพูทวีปด้วยกัน ท่านตาบอกว่าทักษะพื้นฐานของข้าดีกว่า เฉียวเยว่วาดภาพแหกคอก"
เฉียวเยว่เท้าสะเอวพูดเสียงดัง "เช่นนั้นไยเ้าไม่เล่าที่ท่านตาบอกว่าสตรีวาดเช่นนี้งดงามน่ารัก ดูมีเอกลักษณ์เป็ของตนเองเล่า"
ฉีอันพูดอย่างจริงจัง "ก็ท่านตาบอกว่าข้าเดินตามลู่ทางแบบดั้งเดิม ส่วนเ้าเดินเส้นทางคดเคี้ยวนี่นา"
เฉียวเยว่เชิดดวงหน้าน้อย โต้แย้งอย่างมีเหตุผล "ถนนทุกสายล้วนมุ่งสู่กรุงโรม [1] ไม่มีถนนสายไหนที่ไม่ถูกต้อง อีกอย่างข้าเป็สตรี ไม่จำเป็ต้องเดินตามลู่ทางแบบดั้งเดิม ตรงข้ามควรที่จะทำให้ยิ่งมีสีสัน นี่คือคำกล่าวของท่านตาเช่นกัน"
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ "ท่านตาของพวกเ้าวันๆ ไม่ต้องทำอะไร นอกจากพูดเอาอกเอาใจพวกเ้าสองคนกระมัง?"
เฉียวเยว่กับฉีอันสบตากันแล้วก็หัวเราะเสียงดัง
เห็นพวกเขาเป็เช่นนี้ ิเยว่ซึ่งอายุโตกว่าก็ยังอิจฉา
หากนางมีท่านตาเช่นนี้บ้าง ระดับความรู้ก็คงจะดีกว่าตอนนี้
แน่นอนว่าอิ้งเยว่ตอนเด็กๆ ไม่มีท่านตาคอยชี้แนะ ก็ยังมีความสามารถโดดเด่น แต่คนที่เป็อัจฉริยะแต่กำเนิดเช่นนี้จะมีสักกี่คนกัน
"เรียนฮูหยินผู้เฒ่า อวี้อ๋องเสด็จมาเ้าค่ะ"
ทั้งห้องเงียบสนิททันที
"รีบเชิญเข้ามา"
"อวี้อ๋อง... อวี้อ๋องตรัสว่าไม่มีความประสงค์จะพบปะผู้อื่น เพียงแค่แวะมาเยี่ยม... มาเยี่ยมแม่หนูแตงน้อยแสนหวานเ้าค่ะ" คังหมัวมัวกล่าว
เฉียวเยว่ไถลลงมาจากเตียงเตา "เขาเอาของขวัญมาให้ข้าด้วยหรือไม่?"
ทุกคน : เ้าตรงไปตรงมาเช่นนี้ จะดีจริงหรือ?
"ดูจะเยอะเลยเ้าค่ะ ตอนนี้คนอยู่ที่เรือนสามแล้ว" คังหมัวมัวทอยิ้มน้อยๆ
"ท่านย่า ข้าไปดูก่อนนะเ้าคะ หากเขาเอาของอร่อยมาให้ ข้าจะส่งมาที่นี่" เฉียวเยว่รีบเอ่ยทันที พร้อมกับแสดงท่าทางว่า ข้ากำลังลดน้ำหนัก ข้าเชื่อฟังที่สุด
ฉีอันไม่ค่อยสนใจคนผู้นี้มากนัก ไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน เพียงถอนหายใจเอ่ยว่า "ใครเรียกเฉียวเฉียวว่าแตงน้อยแสนหวานล้วนเป็คนโง่งม"
เฉียวเยว่กลอกตาใส่เขา สวมเสื้อคลุม แล้ววิ่งออกไปจากห้อง
เมื่อเห็นคนมากมายล้วนแต่เอ็นดูนาง ชิงเยว่ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เฉี่ยวเยว่ก็อิจฉาจนตาแดงก่ำ
และขณะที่ไม่มีใครเห็น ิเยว่ก็มองไปทางประตูตลอดเวลา ดูเหมือนว่าจิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เฉียวเยว่ะโโลดเต้นกลับมาเรือนสาม เห็นอวี้อ๋องหรงจ้านนั่งอยู่กลางห้องโถง มีบิดาของนางนั่งอยู่ด้านข้าง
เฉียวเยว่วิ่งเข้าไป "ท่านพี่จ้าน ท่านคิดถึงข้าหรือ?"
น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น
แต่ดูเสแสร้งไปหน่อย
หรงจ้านยิ้มบางๆ "ไม่ค่อยคิดถึง วันนี้ตอนเข้าวังเสด็จย่าถามถึงอาการาเ็ที่แขน ข้าก็เลยนึกได้ว่าควรแวะมาดูว่าฟันของตัวการก่อเหตุอย่างเ้าขึ้นใหม่หรือยัง"
เฉียวเยว่แค่นเสียงหึ "คนปากกับใจไม่ตรงกัน ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย"
นางเดินเข้ามา "แขนของท่านเป็อย่างไรบ้าง?"
"อาศัยบารมีของเ้า รักษาจนดีขึ้นมากแล้ว แต่ผ่านวันนี้ไปจะเป็อย่างไรยังยากจะบอกได้"
ให้ตายเถอะ คนบัดซบผู้นี้อยากให้นางปล่อยสุนัขใช่หรือไม่?
เอ้อ... บ้านของพวกนางไม่มีสุนัข!
จริงๆ เลย นางอยากข่วนหน้าคนผู้นี้ให้กลายเป็มันฝรั่งเส้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด ชอบเยาะหยันความงดงามปานบุปผาของนางดีนัก
"ท่านพี่จ้าน ตกลงท่านมาทำไมกันแน่ เอาของขวัญมาด้วยหรือเปล่า"
หรงจ้านยิ้มน้อยๆ ให้กับความจริงจังของนาง "เ้าถอดสิ่งของที่น่าขันอันนี้ออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้ารู้แล้วว่าเ้าไม่มีฟัน ไม่ต้องปกปิดก็ได้"
เฉียวเยว่ชักเดือดดาลขึ้นมาจริงๆ "ท่านมาถึงก็ยิงใส่ข้าเป็ชุด ทำไม? นึกว่าข้ารังแกง่ายใช่หรือไม่ อยากให้แขนเคลื่อนผิดตำแหน่งอีกครั้งหรืออย่างไรหืม? เ้าหนุ่ม นึกว่ากระต่ายอย่างข้ากัดคนไม่เป็ใช่หรือไม่?"
"งี้ด"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้