หลังจากที่อวิ๋นอี้ตามเขาไปสองสามวัน ก็มีอาการเป็ลมแดด อาเจียน และท้องเสียทรมานอย่างมาก หรงซิวสงสารนางจึงกำชับให้นางอยู่บ้านดูแลตัวเองดีๆ
หลังจากทนทุกข์มาแล้วคนเราก็จะเชื่อฟังขึ้น
นางต้องทานยาสมุนไพรทั้งสามมื้อ จนแค่นางได้กลิ่นก็คลื่นไส้ นางจะกล้าขอออกจากบ้านอีกได้อย่างไร
ใน่ที่อวิ๋นอี้ต้องนอนพักฟื้นนั้น หรงซิวก็ยังคงออกเช้าตรู่กลับดึกอยู่เสมอ ยุ่งจนปลีกตัวออกมามิได้ ราวกับลูกข่างที่หมุนอยู่ตลอดเวลา
เป็ความแตกต่างที่ชัดเจนกับสตรีสามคนที่อยู่ในบ้าน
หว่านฉือกับซูเมี่ยวเออร์หายจากอาการป่วยทีละคน แต่พวกนางมิได้มาเจอกันมากนัก แต่ในขณะที่อวิ๋นอี้ป่วย สองผู้นั้นก็มาหานางเยอะขึ้น
ใจจริงนั้นมิมีทางที่จะห่วงใยนาง เกรงว่าจะมาหัวเราะเยาะนางล่ะสิไม่ว่า
อวิ๋นอี้มิได้หวังว่าจะได้เห็นงาช้างกระไรจากปากของทั้งสอง สอง้าจะแสดง นางก็จะดู กระนั้นก็ยกเวทีให้พวกนางละกัน
วันหนึ่งใน่บ่าย ซูเมี่ยวเออร์เข้ามาก่อน แสร้งถามนางด้วยความห่วงใยว่าร่างกายเป็อย่างไรบ้าง จากนั้นก็เริ่มพูดถึงหว่านฉือ
ซูเมี่ยวเออร์มีอคติกับหว่านฉือเยอะมาก ราวกับว่านางมีที่ให้ตำหนินางไปทุกเื่ อวิ๋นอี้อยู่เฉยๆ ก็น่าเบื่อ ก็ฟังนางเล่าเื่อย่างกับฟังนิทานไป
นางพูดไปพูดมา ก็พูดถึงการป่วยของหว่านฉือ
“ท่านดูสิเพคะว่ามันแปลกหรือไม่! คนกำลังจะตายไปแท้ๆ จะกลับมาะโโลดโผนมีชีวิตอีกคราได้อย่างไร?” ซูเมี่ยวเออร์คิดอย่างไรก็คิดมิออก แล้วพูดเสียงพึมพำ “หรือว่านางใช้วิธีทางไสยศาสตร์?”
อวิ๋นอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ความสนใจของนางเปลี่ยนไปจากเดิม “ก่อนหน้านี้นางเป็โรคกระไรหรือ?”
“ข้าก็ไม่รู้!” ซูเมี่ยวเออร์ตบโต๊ะ “ก็เพราะว่ามันเป็โรคประหลาด ดังนั้นในทั้งเมืองหลวงถึงมิมีผู้ใดรักษาได้ จากนั้นนางก็ออกจากเมืองหลวงไป ว่ากันว่านางไปหาหมอหลิว หมอเซียนที่มีชื่อเสียงผู้นั้น จากนั้นก็มิมีข่าวคราวใดๆ อีกเลย จนกระทั่งนางกลับมาที่เมืองหลวงในสามปีให้หลัง ข้ายังนึกว่านางตายอยู่ข้างนอกเสียแล้ว” นางพูดเย้ยด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว ก็เห็นสีหน้าของอวิ๋นอี้ที่มืดลงในทันใด ก็เหมือนกับจะคิดกระไรออกขึ้นมา สีหน้าอิ่มเอมใจของนางก็สงบลงเล็กน้อย แล้วเม้มปากทันใด พูดอย่างอายๆ ว่า “ข้าลืมไปว่าท่านความจำเสื่อม”
“ข้าความจำเสื่อมได้อย่างไรนั้น คุณหนูซูรู้ดีที่สุด” อวิ๋นอี้คิดถึงภาพในวันที่นางตกเหวไป แล้วก็พูดอย่างมีความหมาย
ซูเมี่ยวเออร์ปัดมือรัวๆ “ไม่ใช่ข้า...ไม่ใช่นะ..ข้าไม่รู้เื่”
“เพลานั้นที่ข้างหน้าผาก็มีเพียงเราสองคน หากมิใช่เ้า เป็ข้าเองหรือที่ะโลงไปเอง?” ในเมื่อพูดถึงเื่นี้ขึ้นมาแล้ว อวิ๋นอี้ก็พูดต่อไปอีก ความจริงของเื่นี้จะเป็อย่างไรนั้น นางมีสิทธิ์ที่จะรู้ให้กระจ่าง
เดิมคิดว่าสตรีโง่ผู้นี้จะถูกนางหลอกจนติดกับที่ใดได้ ในเวลาสำคัญ สมองของนางกลับใช้การได้ดีขึ้นมา นางยิ้มแล้วพูดว่า “พระชายามิต้องมีพูดหว่านล้อมข้าเพคะ วันนั้นที่หน้าผาไม่เกี่ยวกับข้าสักนิด”
“......”
เมื่อแผนที่คิดไว้ถูกมองออก อวิ๋นอี้ก็ไม่ดึงดันถามต่อ นางข้ามผ่านเื่นี้ไป “เ้าไม่พูดก็ไม่ต้องพูด อย่างไรเสียก็จะมีวันที่ข้าจำขึ้นได้ ถึงเวลานั้นค่อยคิดบัญชีก็ยังไม่สาย”
“กระนั้นข้าก็ขออวยพรล่วงหน้าให้พระชายาฟื้นคืนความทรงจำเร็วๆ นะเพคะ”
“ขอบใจ” อวิ๋นอี้ยิ้มรับอย่างหน้าด้าน “กระนั้นก็เชิญคุณหนูพูดถึงเื่หมอหลิวต่อ”
“หมอหลิวมีฝีมือทักษะทางการแพทย์สูงมาก เขาชำนาญการรักษาโรคหายาก ได้ยินมาว่าเขามีพลังวิเศษ คนอื่นรักษาไม่หาย เพียงแค่ไปหาเขา ก็จะรักษาได้ทั้งสิ้น” น้ำเสียงของซูเมี่ยวเออร์แฝงไปด้วยความเคารพ “ในใจของทุกคน เขาเป็ผู้ที่มิมีสิ่งใดที่ทำมิได้”
“จะเหลือเชื่อเช่นนั้นได้อย่างไร? นอกจากว่าเขาเป็เซียนจริงๆ”
“มีคนพูดว่าเขาเป็เซียนจริงๆ ด้วยนะเพคะ ได้ยินมาว่ามีหญิงชราคนหนึ่งเห็นเองกับตา เห็นว่าเขาขี่เมฆทะลุอากาศ ชุดขาวโบกปลิว สง่างามไม่มีไหวติง” ซูเมี่ยวเออร์พูดอย่างคาดเดา “ให้ข้าพูดนะเพคะ เขาอาจจะเป็พระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิดก็เป็ได้”
ยิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่
อวิ๋นอี้ยังมิได้ขัดนาง ตัวเอกของเื่ที่พวกนางกำลังพูดถึงกันก็ค่อยๆ เดินเข้ามา
หว่านฉือให้คนมารายงาน แล้วก็เดินเข้ามาทำความเคารพ ในฐานะที่นางเข้าเรือนมาทีหลัง การแสดงออกต่อบ้านใหญ่ของนางนั้นเคารพมาก แม้ว่าอวิ๋นอี้อยากจะตินาง แต่ก็มิมีที่ติ
หลังจากที่นางมาถึง หัวข้อสนทนาก็จบลงอย่างธรรมชาติ ทั้งสามคนนั่งดื่มชาด้วยกัน มีพูดคุยกันบ้างประปราย หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม คนใช้ก็เข้ามารายงานโดยบอกว่าหรงซิวกลับมาแล้ว
เดิมพวกสตรีที่เอื่อยเฉื่อยและง่วงนอนเล็กน้อย เมื่อได้ยินก็มีสติกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด
ซูเมี่ยวเออร์ใช้มือประคองปิ่นปักผมหยกอย่างเกินจริง แล้วก็จัดระเบียบเสื้อผ้า เหลือเพียงแค่มิได้ไปแต่งหน้าเพิ่มที่หน้ากระจกก็เท่านั้น
หว่านฉือสงวนท่าทีเล็กน้อย แต่ก็ยังหันตัวออก ไปแอบลงแก้ม
เหลือเพียงอวิ๋นอี้ที่ยังคงอยู่บนเตียง เมื่อมองดูภาพตรงหน้า ก็ตกตะลึง
นางประมาทไปจริงๆ ..
การแข่งขันกันระหว่างสตรีนี่มัน ไร้ซึ่งขอบเขตนัก!
นางนั่งขึ้นมาอย่างใจรู้สึกได้ อวิ๋นอี้จัดการเสื้อผ้า มิได้ดูเกียจคร้านเท่าใด ในตอนที่กำลังยืดเอวตรงขึ้นมาได้นั้น ที่ประตูก็มีเสียงฝีเท้าของบุรุษหนุ่มเดินมาแต่ไกล
“อวิ๋นเออร์!”
คนตัวยังไม่ถึง เสียงก็ดังมาก่อนแล้ว
ความหงุดหงิดที่ถูกเปรียบเทียบส่วนใหญ่ก็หายไปแล้ว อวิ๋นอี้ยิ้ม แล้วเข้าไปต้อนรับเขาด้วยท่าทีอ่อนโยน “ฝ่าากลับมาแล้วหรือเพคะ?”
“ข้ากลับมา...” หรงซิวมองเห็นสตรีตัวน้อย ก็อุ้มนางขึ้นมา พูดได้ครึ่งหนึ่ง แล้วจู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นคนที่ยืนอยู่อีกสองคนด้านข้าง เสียงของเขาก็หยุดลง “พระชายารองกับคุณหนูซูก็อยู่ด้วยหรือ?”
หว่านฉือพูดทำความเคารพ “คารวะองค์ชายเพคะ!”
“ท่านพี่ซิวกลับมาแล้วหรือเพคะ? วันนี้เหนื่อยมาเลยใช่หรือไม่เพคะ?” ซูเมี่ยวเออร์ก็ไม่ยอมน้อยหน้า
หรงซิวตอบอืม เขาทำได้เพียงอดกลั้นใจที่เสน่หาไว้ แล้วเปลี่ยนท่าทีมาเป็โอบไหล่อวิ๋นอี้แทน
เขานั่งลงในห้องสักพักหนึ่ง อวิ๋นอี้ก็ให้คนนำชากับขนมเข้ามา ซูเมี่ยวเออร์และหว่านฉือก็ยืนประกบซ้ายขวา มิมีทีท่าจะออกห่างจากพวกเขาไปเลย
หรงซิวหันหน้าไปมองสตรีตัวน้อยข้างๆ อย่างช่วยมิได้
เขาเป็บุรุษ จะไล่พวกนางออกไปก็ดูจะไม่สมควรหรอกใช่หรือไม่!
อวิ๋นอี้แอบยิ้มมุมปาก แล้วช่วยแก้สถานการณ์ให้เขา “น้องสาวทั้งสองจะยืนอยู่ทำไมกันเล่า? มาทานด้วยกันสิ!”
ทั้งสองผู้นั้นเดิมทีก็มิมีท่าทีที่จะออกไป เมื่อเห็นอีกฝ่ายยื้อไว้ ก็รีบตอบตกลงทันที
เมื่อมีคนนอกอยู่เยอะ ก็พูดคำหวานเลี่ยนมิได้ หรงซิวจึงเงียบ อวิ๋นอี้คิดได้ถึงเื่ยุ่งของเขา ก็ถาม “การสำรวจเขื่อนสิ้นสุดลงแล้ว ต่อไปฝ่าาคิดจะวางแผนอย่างไรเื่ควบคุมน้ำท่วมเล่าเพคะ?”
ไม่ทันที่หรงซิวจะได้ตอบกระไร ก็ได้ยินเสียงของหว่านฉือถามขึ้นมาเบาๆ “การควบคุมน้ำท่วมหรือเพคะ?”
อวิ๋นอี้เลิกคิ้ว “ทำไมหรือน้องหว่านฉือ? เ้ามีความคิดเห็นกระไรงั้นหรือ?”
“ความคิดเห็นคงจะมิมีหรอกเพคะ” นางยิ้มเห็นฟัน “เพียงแต่ว่าในเื่ของการป้องกันน้ำท่วมนั้น น้องมีความรู้อยู่บ้าง”
ครานี้ขนาดหรงซิวก็มีความสนใจขึ้นมา เขายิ้มเบาๆ แล้วสนับสนุนให้นางพูด “โอ้หรือ? ไหนพูดมาหน่อยสิ”
“เพคะ” หว่านฉือพยักหน้า “จากมุมมองของข้า การป้องกันน้ำท่วมนั้นมีปัจจัยสำคัญอยู่สองข้อ หนึ่งคือการสกัดกั้นน้ำสองคือการลอกคลองระบาย ต้องเอาการสกัดกั้นน้ำเป็หลัก ขุดคลองระบายเป็รอง ทำให้ทั้งสองเช่นนี้ควบคู่กัน มันถึงจะได้ผลดีเพคะ”
ซูเมี่ยวเออร์เป็คนแรกที่แสดงออกถึงความไม่เห็นด้วย “สิ่งที่พระชายารองพูดมานั้น เป็สิ่งที่เราๆ ก็รู้กัน ข้านั้นคิดว่าสิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ว่าจะสกัดกั้นอย่างไร ลอกคลองอย่างไร หากจะพูดแค่มาตรการแต่ไม่บอกวิธีการ เกรงว่าจะไร้ประโยชน์ไปนะเพคะ! หรือว่าท่านพี่หว่านฉือจะทำได้เพียงพูดปากเปล่า พูดแต่คำสวยหรูใช่หรือไม่เพคะ? เกรงว่าชื่อเสียงของสตรีมากความสามารถของท่านจะไม่เหมาะสมกันกระมัง”
“น้องเมี่ยวเออร์พูดเช่นนี้ หมายความว่ามีวิธีการแล้วหรือ?” หว่านฉือพูดขึ้น “เดิมทีข้าก็กำลังจะพูดต่อ แต่ในเมื่อน้องอยากจะแสดงตัวตนเช่นนั้น ข้าก็จะให้โอกาสน้อง เ้าพูดก่อนสิ หากมีสิ่งใดที่ยังขาดเหลือ ข้าจะช่วยพูดเสริมให้อีก เ้าว่าดีหรือไม่?”
“พูดก็พูดสิเพคะ!” ซูเมี่ยวเออร์ยอมมิได้กับวิธีกระตุ้นของนางจริงๆ “ดูถูกผู้ใดกันวันๆ! หากท่านพี่มีวิธีบีบบังคับผู้อื่นเยอะเช่นนี้ เอาเวลาไปคิดให้ดีดีกว่าเพคะ ว่าเดี๋ยวข้าพูดวิธีของข้าจบแล้ว ท่านจะหาคำกระไรมาพูดให้ได้หน้า!”