โจวฟางเฉาขนของและขึ้นรถบัสประจำทางั้แ่เช้า ระยะทางไปถึงชุมชนบนูเานั้นค่อนข้างไกล การเดินทางด้วยรถใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง แล้วยังต้องเดินต่อไปอีกชั่วโมงกว่า หากไม่มีรถเข็นเกวียนวัวที่วิ่งผ่านประจำวัน
ใช่ว่าฟางเฉาจะอยากกลับมาทุกครั้งที่ถูกเรียก เพียงแต่เธอก็ไม่รู้จะไปที่ไหนดี
แม้ว่าพี่รองของเธอจะดูเป็มิตรและมีน้ำใจกับเธอมากกว่าพี่น้องในครอบครัวคนอื่นๆ แต่เธอก็รู้ดีว่า อีกฝ่ายแค่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น
โจวไป๋เถาเป็คนที่มีความมุ่งมั่นและทะเยอทะยานเกินกว่าพี่น้องคนอื่น หรือแม้แต่สาวๆ ในหมู่บ้านที่เธอเคยรู้จัก
เมื่อก่อนเธอมักจะเป็คนที่รู้จักเอาตัวรอดได้ดีเสมอ คอยใช้เธอกับน้องสาวทำสิ่งต่างๆ แทนตัวเองตลอดเมื่อพ้นสายตาของแม่ แต่ถึงอย่างไร บางครั้งเมื่อมีของดีๆ ก็จะแบ่งให้บ้างเพื่อเป็ค่าตอบแทน
ครั้นพออายุ 16ปี โจวไป๋เถาที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้ก็ย่อมไม่ยินยอมถูกครอบครัวจับแต่งงานเพื่อค่าสินสอดเพียงเล็กน้อย
เธอยืนกรานที่จะไปหางานทำในเมือง และวาดฝันหลอกล่อพ่อแม่ว่าตนเองจะส่งเงินที่ได้รับกลับบ้านเพื่อให้น้องชายมีเงินแต่งงานกับผู้หญิงที่ดูดีในวันหน้า
หลังจากสองผู้เฒ่านอนคิดอยู่ตลอดทั้งคืน สุดท้ายจึงปล่อยให้ลูกสาวคนรองเข้าเมืองไปหางานทำตาม้า
3-4 ปีหลังจากนั้น โจวไป๋เถาได้ส่งเงินกลับบ้านทุกเดือนไม่เคยขาดเลยจริงๆ ดังนั้นพ่อแม่ที่เพิ่งได้ชิมพายแสนอร่อยจากฟากฟ้าก็ติดใจรสชาตินี้เป็อย่างยิ่ง พวกเขาจึงปล่อยให้โจวฟางเฉา ลูกสาวคนที่สามที่เริ่มโตเป็สาวออกไปหาเงินอีกคนหนึ่งเพื่อจะได้มีรายได้มากขึ้น
ทว่าทั้งสองคงไม่คาดคิดว่า หลังจากที่ฟางเฉาออกมาทำงานได้ไม่นาน ลูกสาวคนรองที่เริ่มหาที่พึ่งพิงได้แล้วก็เริ่มทำการฏกับที่บ้าน หาข้ออ้างต่างๆ นานาเพื่อที่จะลดเงินที่ส่งกลับไป กระทั่งพักหลังๆ ถึงเลิกส่งเงินและสิ่งของกลับบ้านอย่างสิ้นเชิง รวมถึงไม่ยอมโผล่หน้าไปให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
เื่ของพี่สาวเกือบทำให้พ่อแม่ผู้หวาดระแวงสั่งขาดให้โจวฟางเฉาเลิกทำงานและกลับบ้าน
โชคดีที่พวกเขาได้ลิ้มรสความหวานมาหลายปีแล้ว จึงเสียดายเงินเดือนจำนวนนี้และจำใจให้เธออยู่ในเมืองต่อ
แต่กระนั้นน้องสาวคนที่ห้า โจวลี่ฮวากลับกลายเป็คนที่โชคร้าย ด้วยความไม่ไว้วางใจของพ่อแม่ เธอจึงถูกหมั้นหมายและรับสินสอดไว้ั้แ่เนิ่นๆ ขอเพียงเธออายุถึงเกณฑ์ก็จะถูกส่งไปที่บ้านฝ่ายชายทันที
ชะตากรรมของน้องสาวและพี่สาวคนโตทำให้ฟางเฉาหวาดกลัวจนไม่กล้าต่อต้าน กลับยังกระตุ้นให้เธอทำงานเป็บ้าเป็หลังเพื่อให้หาเงินได้มากขึ้นและพิสูจน์คุณค่าของตัวเองต่อพ่อแม่จอมเืเย็นของเธอ
เธอดิ้นรนกับชีวิตเช่นนี้อยู่นาน จนกระทั่งได้พบกับพี่สาวคนรองอีกครั้ง
ตอนนั้นเธอทำงานอยู่ในร้านอาหาร รับหน้าที่เป็ทั้งพนักงานเสิร์ฟและคนงานในครัว หลังเลิกงานตอนกลางวัน ยังต้องทำความสะอาดทั้งร้านและห้องครัวเพื่อหารายได้พิเศษ สภาพร่างกายทรุดโทรมซีดเซียวจนแทบไม่กล้าเอ่ยปากทักผู้หญิงที่ดูละม้ายคล้ายพี่สาวซึ่งไม่ได้พบกันมานาน
คุณผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมชายวัยกลางคนที่อายุคราวพ่อ สวมสร้อยทองเต็มคอโก้หรูราวกับเศรษฐีบ่อน้ำมันที่เคยเห็นในข่าว
เดิมทีเธอยังนึกว่าตัวเองจำคนผิดไป แต่ไม่คิดว่าคุณผู้หญิงเมื่อตอนกลางวันจะมาดักรอตนเองหลังเลิกงาน พร้อมทั้งยืนยันว่าตัวเองคือพี่สาวคนรองของเธอจริงๆ
โจวไป๋เถาทำงานอยู่ในเมืองมาหลายปี เธอมีความทะเยอทะยานและมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า จากตอนแรก ได้เข้าเมืองมาและทำงานใช้แรงงานไม่ต่างจากน้องสาว เธอใช้เวลาไม่กี่ปีในการซึมซับลักษณะท่าทางที่ดูดีของคนเมือง คำพูดคำจาฉอเลาะชวนรื่นหู ทั้งยังเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของตัวเองไปเรื่อยๆ ั้แ่ลูกจ้างในร้านร้านอาหาร พนักงานในร้านขายเสื้อผ้า จนสุดท้ายได้เป็พนักงานในโชว์รูมรถแห่งหนึ่งและสานสัมพันธ์กับเ้านายผู้มีเงินได้สำเร็จ
เธอภูมิใจสถานะของตัวเองในตอนนี้เป็อย่างมากและชักชวนให้น้องสาวคนที่สามใฝ่หาความก้าวหน้าเหมือนตัวเอง
โจวฟางเฉาฟังเธอแล้วก็เกิดแรงบันดาลใจจริงๆ เพียงแต่เธอไม่ได้้าที่จะใช้ร่างกายเพื่อไต่เต้าอย่างไป๋เถา จึงหยิบข้อดีจากประสบการณ์ของพี่สาวมาพัฒนาตัวเองแทน
เธอค่อยๆ ลดจำนวนเงินที่ส่งกลับบ้านลง ไม่ส่งให้ทั้งหมดทุกหยวนเหมือนเคย แต่เริ่มเก็บออมส่วนหนึ่งไว้เป็ทุนสำหรับตัวเอง
ในขณะเดียวกัน โจวไป๋เถาซึ่งเริ่มเบื่อหน่ายกับการเดินทางเพียงลำพัง ได้หยิบหนังสือที่ซื้อเอาไว้โยนมาให้เธออ่าน พร้อมบอกว่านี่คือวิธีหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นในรูปแบบหนึ่ง
เมื่อก่อนพวกเธอก็เคยได้เรียนอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะในหมู่บ้านบนูเาได้มีการก่อตั้งโรงเรียนเล็กๆ โดยยุวชนผู้มีการศึกษาจากเมืองหลายสิบปีก่อน ภายหลัง ลูกหลานของหัวหน้าหมู่บ้านคนเก่าได้รับหน้าที่เป็ครูสอน เพื่อแลกกับตำแหน่งครูประจำหมู่บ้านและเงินสนับสนุนจากทางการ เด็กๆ ในหมู่บ้านจึงพอมีโอกาสเรียนรู้จนอ่านออกเขียนได้บ้าง
หนังสือที่โจวไป๋เถาซื้อมานั้นเป็หนังสือมือสองของนักเรียนที่ใช้กวดวิชา แม้จะมีตัวหนังสือที่ถูกขีดเขียนเต็มหน้าไปหมด แต่มันก็ช่วยอธิบายรายละเอียดปลีกย่อยที่เธอไม่เข้าใจได้มาก ทำให้การเรียนด้วยตัวเองเป็ไปอย่างราบรื่น
ฟางเฉาทำงานและอ่านหนังสือด้วยตัวเองแบบนี้ต่ออีกหลายปี กระทั่งเธอมีเงินเก็บจำนวนหนึ่งจึงลาออกจากร้านอาหาร แล้วซื้อร้านแผงลอยมือสอง เริ่มธุรกิจอาหารปิ้งย่างด้วยตนเองอย่างจริงจัง
เพียงแต่หลังจากออกมาทำร้านรถเข็นเล็กๆ ด้วยตัวเอง แน่นอนว่ามันไม่ได้เริ่มต้นอย่างง่ายดายนัก
เธอใช้เงินเกือบทั้งหมดกับค่ารถเข็นและวัตถุดิบในการเริ่มต้น อีกทั้งออกจากงานจึงไม่มีเงินเดือนส่งที่บ้านอีกต่อไป ทำให้สองผู้เฒ่าโจวเริ่มกระวนกระวายใจกับลูกสาวที่เลี้ยงไม่เชื่องอีกครั้ง และเริ่มกดดันบังคับให้เธอกลับบ้าน
แต่ก่อนหน้านั้นพี่สาวของเธออย่างโจวไป๋เถาที่อิงอาศัยบารมีเถ้าแก่ใหญ่มาหลายปีก็เกิดท้องขึ้นมา จากนั้นเื่ก็แดงขึ้นจนพี่ชายของผู้หญิงที่เป็เมียหลวงรุดไปควานหาตัวเธอถึงบ้าน ทำให้สองผู้เฒ่าที่เพิ่งรู้เื่ตาลุกวาวเมื่อรู้ว่าลูกสาวคนรองหาลูกเขยผู้มั่งคั่งได้แล้ว ความสนใจของพวกเขาจึงถูกแบ่งไปให้ทางพี่รอง จนเธอสามารถหายใจหายคอคล่องได้อยู่สักพัก กระทั่งหาทำเลค้าขายดีๆ ที่พอจะทำกำไรได้ในที่สุด
สถานที่ที่เธอมักจะไปขายของบ่อยใน่หลายเดือนที่ผ่านมา คือโกดังสินค้าขนาดใหญ่ที่มีคนงานเข้าออกจำนวนมากต่อวัน แม้ใน่ระหว่างวันจะต้องแข่งขันกับพ่อค้าแม่ค้าเ้าอื่น แต่ฟางเฉามีข้อได้เปรียบตรงที่เธออยู่เฝ้าร้านต่อจนถึงเที่ยงคืนทุกวัน คนงานหลายสิบคนที่เข้างานกะดึกจึงกลายเป็ลูกค้าประจำของเธอ
เมื่อธุรกิจดีขึ้น เธอก็เริ่มเก็บเงินได้นิดหน่อย แต่ก็ต้องหมดไปกับความใจอ่อนของตัวเองจนได้
หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจอย่างทดท้อ ใจลอยจนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อดี
แม้ว่าคนที่ดีกับเธอที่สุดจะเป็พี่รอง แต่เธอก็ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น ไม่เคยอยากช่วยเธอด้วยใจจริงเลย
โจวไป๋เถาเพียง้าหาแม่บ้านราคาถูกที่พร้อมรับใช้บริการเธอทุกอย่างเท่านั้น เธอไม่กล้าที่จะบงการคนอื่น แต่กลับคิดจะควบคุมน้องสาวเหมือนอย่างที่ครอบครัวของเธอเคยทำ แค่ดีหน่อยตรงที่อาจจะมีอาหารและเงินเดือนให้
โจวไป๋เถาเคยพูดไว้แต่แรกแล้วว่า หากฟางเฉาตั้งใจจะติดตามเธอ ต่อจากนี้ฟางเฉาจะกลายเป็แม่บ้านที่คอยรับใช้เธอเท่านั้นและห้ามให้คนอื่นรู้ว่าทั้งสองคนเป็พี่น้องกันเด็ดขาด
อาการปวดหัวที่คุ้นเคยแล่นแปล๊บเข้ามาอีกครั้ง จนฟางเฉาอดไม่ได้ที่จะหลับตาลงโดยนอนผิงผนังเบาะไม่สนใจมองทิวทัศน์ข้างทางอย่างเหม่อลอยอีก
อาการปวดหัวหนักหน่วง พ่วงมาด้วยอุณหภูมิร่างกายที่ร้อนขึ้นจนหญิงสาวแทบจะหมดสติไปอย่างรวดเร็ว
และโชคดีที่เธอไม่ค่อยรู้ตัวดีนัก ดังนั้นเมื่อรอบตัวเกิดเสียงดังลั่นจนผู้คนหวีดร้องระงม รถคันใหญ่พลิกตลบหลายครั้งอย่างน่าหวาดเสียว เธอก็ไม่สามารถลืมตาตื่นได้
ฟางเฉารู้เพียงเลือนรางว่า ดูเหมือนว่าหัวเธอจะกระแทกกับบางอย่างจะมีน้ำกลิ่นสนิมลอยฉุนตามใบหน้า ่แขนขาก็ถูกบางอย่างกดทับจนขยับตัวไม่ได้
ในขณะนี้ เธอรับรู้ได้อย่างเลือนรางว่าพลังชีวิตของตนเองกำลังค่อยๆ หายไปอย่างรวดเร็ว
เธอรู้ว่าเธอกำลังจะตาย
จิตใจเธอดูเหมือนว่างเปล่าไปชั่วขณะ วูบหนึ่งก็รู้สึกโล่งใจที่ตัวเองไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับคำขอที่ไร้เหตุผลของครอบครัวอีก
แต่ก็น่าเสียดายจริงๆ ที่เธอไม่สามารถกลับไปที่โกดังใหญ่นั่นเพื่อขายของได้อีกแล้ว
สิ่งสุดท้ายที่เธอนึกถึงก็คือสถานที่สร้างกำไรที่ตัวเองอยู่ประจำมาหลายเดือน สถานที่ซึ่งกลายเป็ความหวังเดียวในชีวิตที่แห้งแล้งของเธอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้