ซูิเยว่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดไม่ออกจึงปล่อยผ่านไป “หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว พวกเ้าออกจวนไปกับข้า”
“หา” เสี่ยวอวี่ชะงักไป “เมื่อคืนเพิ่งเกิดเื่ใหญ่ขนาดนั้น คุณหนูจะออกจวนอีกหรือเ้าคะ จะมีอันตรายอะไรหรือไม่?”
“ไม่หรอก” ซูิเยว่ส่ายหน้า “ต้องอาศัยจังหวะตอนที่พวกเขายังไม่ฟื้นตัว ถึงจะออกจากจวนได้”
นางพูดไปก็มองไปทางหวังซวิน “ที่ออกไปวันนี้ก็เพราะจะจัดการเื่ของอาต้าให้เรียบร้อย จะช้าอีกไม่ได้แล้ว”
หวังซวินได้ยินก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนมารู้สึกละอายใจแล้วพูดเสียงเบา “คุณหนู ขอโทษด้วยขอรับที่เพิ่มปัญหาให้ท่าน”
ซูิเยว่มองเขาทีหนึ่งแล้วพูดเสียงเบา “หากข้าไม่อยากมีเื่ยุ่งยากก็คงไม่ช่วยเ้าหรอก”
หลังจากทานอาหารเสร็จ ซูิเยว่ก็พาพวกเสี่ยวอวี่ออกจากจวนอีกครั้ง ตอนที่เดินมาถึงหน้าประตู องครักษ์ของหอฮวาซีก็ได้ขวางนางไว้แล้วพูดอย่างลำบากใจ “คุณหนู ตอนนี้ยังไม่ปลอดภัย อย่าเพิ่งออกจากจวนเถิดขอรับ”
ซูิเยว่พูดเสียงเย็น “หลีกไป”
องครักษ์ยังคงไม่ขยับ “เช่นนั้นให้ข้าตามท่านไปเถิด”
ซูิเยว่ยิ้มเย็น “ท่านพ่อเคยบอกไม่ให้ข้าออกจากจวนหรือไม่?”
องครักษ์ส่ายหน้า
“เช่นนั้นเ้าก็หลีกไป” ซูิเยว่เดินผ่านองครักษ์ออกไปด้านนอก “ข้าพาคนไปด้วยนะ อีกอย่างกลางวันแสกๆ แบบนี้จะไปมีอันตรายอะไร”
ในที่สุดองครักษ์ก็ปล่อยซูิเยว่ออกไปอย่างทำอะไรไม่ได้
ทั้งสี่คนออกมาจากจวน ถึงแม้ซูิเยว่จะบอกว่าวันนี้ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาของหวังซวิน แต่รายละเอียดชัดเจนว่าจะทำอย่างไรนั้นซูิเยว่ไม่ได้บอกพวกเขา
ซูิเยว่พาพวกเขาเดินวนรอบหนึ่งก่อน จากนั้นถึงจะเข้าไปในโรงเตี๊ยมตี้อีโหลวที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง นางเปิดห้องที่ชั้นสามแล้วสั่งอาหารมาเล็กน้อย
หนิงหยวนเอ่ยปากถามก่อน “คุณหนู ท่านวางแผนจะทำอย่างไรหรือขอรับ”
ซูิเยว่หรี่ตาลงมองหวังซวินแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ตอนนี้หากอยากจะทำลายความคิดที่จะตามหาหวังซวินไป ก็ต้องทำให้พวกเขารู้ว่าคนคนนี้ได้หายไปจากโลกนี้แล้ว”
ทั้งสามคนได้ยินก็ชะงักไป ต่างไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของซูิเยว่
ริมฝีปากของซูิเยว่ยกยิ้มอย่างมั่นใจ นางใช้ตะเกียบชี้ไปทางหวังซวิน “นั่นก็คือ ให้เขาแกล้งตาย”
มีแค่คนตายแล้วเท่านั้นถึงจะหายไปจากโลกใบนี้ได้
ทั้งสามคนยิ่งชะงักเข้าไปใหญ่
หวังซวินได้สติกลับมาก่อน เขาเอ่ยถามด้วยความลังเล “องค์ชายห้าจะเชื่อหรือขอรับ เขาจะรู้แล้วหรือไม่ว่าข้าอยู่ในจวนสกุลซู”
“ไม่มีทาง” ซูิเยว่พูดอย่างมั่นใจ “เขาไม่รู้ว่าเ้าอยู่ในจวนสกุลซู เมื่อคืนคนพวกนั้นไม่ได้มุ่งมาทางเ้า เ้าไม่ต้องคิดมาก”
หวังซวินได้ยินนางพูดเช่นนี้ถึงได้วางใจเล็กน้อย “เช่นนั้นหากข้าจะแกล้งตาย ต้องทำอย่างไรหรือขอรับ?”
ซูิเยว่คีบผักเข้าปากแล้วพลันถามออกมา “เ้ามีร้านผ้าในเมืองหลวงใช่หรือไม่?”
หวังซวินไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงได้ถามถึงเื่นี้ แต่ก็ยังตอบกลับไปตามความจริง “ขอรับ แต่ร้านที่อยู่ในเมืองหลวงของข้าได้ปิดไปแล้ว อ้อ ร้านนั้นอยู่ห่างจากตี้อีโหลวไปไม่ไกลมาก มีอะไรหรือคุณหนู ท่านอยากจะใช้หรือ?”
ซูิเยว่ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้อยากใช้ หากสละร้านขายผ้าร้านนี้ไป เ้าคงไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่?”
“ไม่มีปัญหาขอรับ” หวังซวินส่ายหน้า ทั้งยังไม่เข้าใจว่าซูิเยว่จะทำอะไร
ซูิเยว่เผยรอยยิ้มลึกลับยากจะคาดเดาออกมา นางโบกมือเรียกหนิงหยวนให้รีบเข้ามาหาทันที ซูิเยว่เอียงตัวไปที่ข้างหูเขา ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน สีหน้าของหนิงหยวนจากไม่ค่อยอยากจะเชื่อเปลี่ยนมาเป็นับถือ
“เอาล่ะ เ้าไปจัดการเถิด แต่ต้องระวังหน่อย อย่าให้คนอื่นจับได้”
“ขอรับ คุณหนูวางใจเถิด”
หลังจากหนิงหยวนพูดจบก็ออกจากห้องไป
เสี่ยวอวี่กับหวังซวินสองคนมองหน้ากัน ต่างอยากรู้ว่าซูิเยว่พูดอะไรกับหนิงหยวน
“คุณหนูขอรับ หนิงหยวนไปทำอะไรหรือ”
“อีกเดี๋ยวพวกเ้าก็จะรู้” ซูิเยว่ไม่ได้อธิบาย แผนการนี้เป็แผนที่จู่ๆ นางก็คิดขึ้นมาได้ ค่อนข้างรับประกันความปลอดภัยพอสมควร ดังนั้นจะชนะหรือแพ้ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้แล้ว
เสี่ยวอวี่กับหวังซวินไม่ได้ถามอะไรให้มากอีก
ทั้งสามคนนั่งอยู่ในห้องอยู่นาน ทานไปแล้วก็รอไป หนิงหยวนก็ยังไม่กลับมาสักที
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ตอนที่ทั้งสามคนรอจนเบื่อแล้ว ภายในห้องก็พลันมีควันสีดำลอยขึ้นมา ตามมาด้วยแสงไฟ
เสี่ยวอวี่เป็คนแรกที่พบ นางชี้นิ้วไปที่ที่ควันดำลอยขึ้นมาแล้วร้องอย่างใ “คุณหนู ดูสิเ้าคะ ไฟไหม้แล้ว”
สีหน้าซูิเยว่เรียบเฉยมองออกไปนอกหน้าต่างตามทิศทางที่นางชี้ จากตำแหน่งของนางสามารถเห็นแสงไฟได้พอดี
หวังซวินเองก็หันไปมองทางหน้าต่างด้วยความใ หลังจากมองได้ครู่หนึ่งก็พูดออกมา “ทิศทางที่ไฟไหม้เหมือนจะเป็ร้านขายผ้าของข้าที่อยู่ตรงนั้นเลย”
พอเขาพูดจบก็พลันเข้าใจอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นก็ชะงักแล้วหันไปมองซูิเยว่ที่ดื่มชาด้วยท่าทางนิ่งสงบเหมือนไม่ได้ใอะไรเลย
บวกกับคำพูดของซูิเยว่เมื่อสักครู่ รวมถึงเื่ที่ซูิเยว่สั่งให้หนิงหยวนออกไปทำ หวังซวินก็ถึงกับบื้อไปและพลันเข้าใจอะไรขึ้นมาทันที “คุณหนู....คงไม่ได้เป็อย่างที่ข้าคิดใช่หรือไม่”
ซูิเยว่วางแก้วชาลง มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น และไม่ได้ตอบคำถามหวังซวิน หากแต่ลุกขึ้นยืน “ไปสิ พวกเราเองก็ไปดูกันเถิด”
ทั้งสามคนออกจากโรงเตี๊ยมแล้วออกเดินไปยังที่ที่ไฟไหม้
ไฟคงจะแรงขึ้นเรื่อยๆ ควันสีดำเข้มถึงได้ปกคลุมไปครึ่งท้องฟ้า ห่างจากตรงนี้ไปอีกสองถนน ในอากาศยังมีกลิ่นไหม้แผ่ขยายไปทั่ว
ผู้คนที่เดินอยู่บนถนนต่างก็พากันพูดคุยแล้วเดินไปทางที่ไฟไหม้ พวกซูิเยว่สามคนก็ปะปนเข้าไปในกลุ่มคน หลังจากเดินไปได้สองถนนพวกนางก็มาถึงที่เกิดเหตุ ถึงจะยืนห่างจากตรงนั้น่หนึ่งก็ยังรู้สึกถึงไอร้อนที่แผ่ออกมา
เป็อย่างที่หวังซวินคิด ไฟกำลังไหม้ร้านผ้าของเขาแต่ก่อนหลังนั้น
อากาศในตอนนี้เดิมทีก็ร้อนอยู่แล้ว โดยเฉพาะของที่เป็ผ้าเช่นนี้ พอจุดไฟที่ตัวป้ายแล้วก็จะไหม้ไปถึงตัวร้าน แสงไฟที่สูงเสียดฟ้ากับควันดำแทบจะปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าแถวนี้จนไม่สามารถดับไฟได้ทัน
กลิ่นเหม็นไหม้แผ่ขยายออกไปในอากาศ ทั้งยังมีฝุ่นขี้เถ้าสีดำลอยตกลงมามากมาย
ซูิเยว่ขมวดคิ้วเอามือปิดปาก ทุกคนที่มาดูไฟไหม้ทำได้แค่ล้อมดูอยู่ตรงพื้นที่โล่งไกลๆ จากหน้าร้านขายผ้าพร้อมกับชี้ไปที่ร้าน
“เอ๋ ข้าจำได้ว่าร้านนี้เหมือนจะเป็ร้านของเถ้าแก่หวังซวิน”
“อากาศร้อนขนาดนั้นก็ยากจะหลีกเลี่ยงให้มีเื่ไฟไหม้ล่ะนะ”
“แต่จะว่าไปแล้ว ไม่ได้เห็นเถ้าแก่หวังมาระยะหนึ่งแล้วนะ”
เสียงพูดคุยมากมายของผู้คนเข้าหูของซูิเยว่ทุกคำ นางยกยิ้ม ในแววตาประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง
ไฟยิ่งไหม้แรงขึ้นเรื่อยๆ ร้านขายผ้าสองชั้นก็ถูกไฟกลืนร้านไปจนหมด แต่โชคดีที่ทั้งสองฝั่งร้านขายผ้าไม่มีร้านค้าอื่น ดังนั้นนอกจากร้านขายผ้าแล้วก็ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้