EPISODE 04
“ฮืม ฮือ ฮือ~”
ฉันเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีในขณะที่มือข้างหนึ่งของฉันก็ถือแก้วชานมไข่มุกร้านดังติดมืออยู่ด้วย คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าอะไรทำให้ฉันคนนี้ถึงอารมณ์ดีแต่เช้าได้แบบนี้ เหตุผลมันก็มาจากวันเกิดของฉันนั่นแหละ พอดีปีนี้ฉันได้รับของขวัญวันเกิดเป็ของที่ถูกใจฉันมาก มันเลยทำให้ฉันอารมณ์ดีแบบนี้มาหลายวันแล้ว
อ่อ ตอนนี้ฉันก็กำลังจะเดินไปที่ตึกของคณะน่ะ ป่านนี้ฉันคาดการณ์ว่าพวกเพื่อนๆ ในกลุ่มของฉันคงมารวมตัวกันครบแล้วแน่เลย แต่มันก็ควรเป็แบบนั้นอยู่แล้วเพราะคนที่มักจะรวมตัวเป็คนสุดท้ายของกลุ่มมันคือฉันมาโดยตลอดนี่นา ใช่ ถูกแล้ว นอกจากฉันจะชอบกินเป็ชีวิตจิตใจแล้ว เื่มาสายนั้นมันก็เป็นิสัยติดตัวของฉันเช่นเดียวกัน แต่ไม่ใช่ว่าฉันมาสายจนทำให้เสียการเสียงานหรอกน่ะ ฉันรู้ดีว่าวันไหนฉันควรมาเร็วหรือวันไหนฉันควรที่จะมาสาย อย่างเช่นวันนี้ยังไงล่ะที่ฉันสามารถมาสายได้โดยที่ไม่มีใครต้องมาบ่นฉันจนหูชาอีก และสาเหตุที่ทำให้ฉันมาสายแบบนี้มันก็เพราะว่าฉันมัวแต่เสียเวาเลือกซื้อของกินนั่นแหละ เพราะเื่กินมันเป็สิ่งเดียวที่สามารถมาล่อคนอย่างฉันคนนี้ได้
กึก
แต่ในระหว่างที่ฉันกำลังเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีไปยังจุดที่เพื่อนของฉันนั่งรวมกลุ่มกันอยู่นั้น ขาที่กำลังก้าวเดินของฉันเมื่อกี้มันก็หยุดชะงักอยู่กับที่ไปทันทีเมื่อจู่ๆ ก็มีใครก็ไม่รู้โผล่มายืนขวางทางฉัน
หืม ยืนขวางทางแบบนี้มาดีหรือมาร้ายวะ
“เอ่อ พี่นาราครับ”
คนที่มายืนขวางทางฉันเมื่อกี้ดูเหมือนว่าจะเป็ผู้ชายน่ะ และฟังจากสรรพนามที่เขาเรียกฉันว่าพี่เมื่อกี้มันก็ทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้ต้องอายุน้อยกว่าฉันอย่างแน่นอน ส่วนหน้าตาน่ะเหรอก็ดีมั้งเพราะตอนนี้สายตาของฉันมันไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของฉันในตอนนี้มันคือโลโก้ที่ติดอยู่บนถุงที่อยู่ในมือของเขาต่างหากล่ะ
อ่า ในมือเขา ใช่ของกินหรือเปล่านะ ฉันจำได้ว่าโลโก้นั่นมันเป็โลโก้ร้านขนมชื่อดังไม่ใช่เหรอ
“พอดีเมื่อเช้าผมบังเอิญขับรถผ่านร้านนี้พอดี เลยนึกขึ้นได้ว่าพี่ชอบกินขนมหวาน ผมเลยซื้อมาฝากพี่ครับ”
ตาของฉันเป็ประกายขึ้นมาทันทีหลังจากที่ฉันได้ยินว่าสิ่งที่อยู่ในมือเขามันเป็ของฉัน
“ให้พี่เหรอ”
“ครับ พอดีผมได้ยินว่าวันก่อนเป็วันเกิดพี่ด้วย ถึงมันจะไม่ใช่ของที่มีค่าอะไร แต่พี่ช่วยรับมันไปได้ไหมครับ”
พูดจบหนุ่มน้อยคนนั้นก็ยื่นถุงขนมส่งมาให้ฉันทันที และนั่นเลยทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเขาเป็ครั้งแรก ก็เห็นได้ว่าหนุ่มน้อยใจดีที่อุตส่าห์ซื้อขนมมาให้ฉันคนนี้เป็ผู้ชายที่หน้าตาดีเอาเื่เลยล่ะ แต่เขาจะหน้าตาแบบไหนมันก็ไม่ใช่เื่สำคัญหรอก เพราะน้ำใจของเขาต่างหากล่ะที่มีค่ากว่าหน้าตาของเขามาก
“ขอบคุณน่า”
ฉันรีบเอ่ยขอบคุณเขาไปพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้หนุ่มน้อยคนนั้นทันที โดยที่ฉันไม่ลืมที่จะยื่นมือไปรับถุงขนมที่เขาอุตส่าห์ซื้อมาให้ฉันออกจากมือของเขาด้วย อ่า ใครบอกว่าขนมถึงนี้มันไม่มีค่าล่ะ สำหรับฉันแล้ว ทุกอย่างที่กินได้มันก็มีค่าทั้งนั้นแหละ
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่ ผมนึกว่าพี่จะรังเกียจของขวัญจากผมแล้วซะอีก”
“รังเกียจอะไรกันล่ะ พี่ชอบนะที่มีคนซื้ออะไรแบบนี้มาให้พี่”
ฉันพึมพำตอบเขาไป แล้วหนุ่มน้อยคนดังกล่าวก็ยืนตัวบิดด้วยความเขินอายทันที ดูเหมือนว่าประโยคที่ฉันพูดออกไปเมื่อกี้มันจะทำให้เขารู้สึกเขินสินะ
“ถ้าหากว่าพี่ชอบ ไว้วันหลังผมซื้อมาให้อีกดีไหมครับ”
เชื่อเถอะ ว่าทันทีที่ฉันได้ยินประโยคนั้นฉันดวงตาทั้งสองข้างของฉันมันก็เป็ประกายขึ้นมาอีกครั้งทันที
“จริงเหรอ”
“ครับ ถ้าอยากนั้นเราแลกเบอร์กันไว้ก่อนดีไหมครับ ผมจะได้ติดต่อพี่ได้ถ้าหากว่าวันไหนผมแวะร้านนี้อีก”
“ได้สิ”
ฉันตอบไปแบบนั้นก่อนที่จะโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแล้วจัดการแลกเบอร์กับหนุ่มน้อยคนนั้นทันทีโดยไม่คิดคำนึงถึงเหตุผลอะไรมากมายเพราะตอนนี้คำว่าของฟรีมันกำลังบังตาฉันอยู่
“ไว้ผมจะทักหานะ”
“ได้ๆ”
“อ่อ ผมลืมแนะนำตัวไปเลย ผมชื่อบูมนะครับ พี่ช่วยจำชื่อผมไว้ด้วยล่ะ”
“อืม”
“ไว้เจอกันครับ”
แล้วหนุ่มน้อยคนนั้นก็เดินจากไป พอฉันเห็นว่าเขาเดินจากไปแล้วฉันก็รีบเปิดถุงขนมที่เขาให้ฉันมาเมื่อกี้ดูทันทีด้วยความตื่นตาตื่นใจทันทีเพื่อดูว่าเขาซื้ออะไรมาให้ฉันบ้าง ดูเหมือนว่ารสนิยมในการเลือกซื้อขนมของหนุ่มน้อยคนนั้นค่อนข้างดีเอาเื่เลยล่ะ เพราะสิ่งที่เขาเลือกมาแต่ละอย่างมันมีแต่ของที่ฉันชอบทั้งนั้นเลย
อืม แบบนี้ค่อยคุยกันรู้เื่หน่อย
ฉันคิดกับตัวเองอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะเดินตรงไปยังเก้าอี้ที่มีกลุ่มเพื่อนของฉันนั่งอยู่ทันที ซึ่งจุดที่ฉันอยู่ยืนเมื่อกี้มันอยู่ไม่ห่างจากจุดที่เพื่อนฉันนั่งอยู่มากนัก ฉันคาดว่าที่มีหนุ่มน้อยเข้ามาคุยกับฉันเมื่อกี้มันจะอยู่ในสายตาของเพื่อนฉันตลอด เพราะไม่อย่างนั้นพวกเธอคงไม่มองหน้าฉันด้วยสายตาหมั่นไส้ทันทีที่ฉันเดินมาถึงแบบนี้แน่ โดยเฉพาะอีกัสที่ออกตัวแรงกว่าคนอื่นๆ ด้วยการที่มันเบะการใส่ฉัน
“แรดให้มันน้อยๆ หน่อยนะอีนารา”
“อะไร”
ฉันพึมพำพูดกับอีกัสไป ในขณะที่มือของฉันก็กำลังแกะถุงขนมที่ฉันพึ่งได้มาเมื่อกี้ไปด้วย
“หืม มึงอย่ามาแกล้งตีหน้าซื่อ มึงคิดว่าพวกกูไม่เห็นหรือไงว่าเมื่อกี้มึงแลกเบอร์กับผู้ชาย”
“แล้วไง”
“ครั้งนี้ใครอีกล่ะ”
“มึงหมายถึงอะไรเนี่ย กูไม่รู้เื่อะไรทั้งนั้นแหละ”
“แหม่ มึงนี่มันร้ายนะอีนารา หนุ่มน้อยที่มึงพึ่งหลอกกินขนมฟรีเมื่อกี้เป็ใคร”
“ได้ยินว่าชื่อบูม”
ฉันตอบคำถามอีกัสไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งก่อนที่จะหยิบเอาขนมเข้าปากแล้วเคี้ยวมันด้วยความเอร็ดอร่อย อืม สมแล้วที่เป็ร้านดัง อร่อยสมชื่อจริงๆ นั่นแหละ
“น้องบูมวิศวะปีสามน่ะเหรอ”
เพียงแค่ฉันเอ่ยชื่อออกไป อีกัสมันก็สามารถบอกข้อมูลทุกอย่างของผู้ชายคนนั้นมาให้รู้ทันที เพราะในหัวของเพื่อนฉันคนนี้มันไม่มีเื่อะไรอยู่เลยนอกจากเื่ของผู้ชาย
“นี่มึงไปทำอีท่าไหนน้องเขาถึงแบกขนมมาให้มึงถึงที่แบบนี้”
“ไม่รู้ จู่ๆ ก็โผล่มา”
“เฮ้อ นี่มึงเคยสนใจเื่อื่นนอกจากเื่กินบ้างไหม”
เฮ้อ อีกัสมันไม่เบื่อบ้างหรือไงกันที่ตั้งคำถามนี้ถามฉันทุกวัน และคำตอบที่ฉันตอบมันไปมันก็เหมือนเดิมทุกวัน นั่นก็คือคำว่าไม่นั่นเอง
“แต่มึงรับของกินจากคนแปลกหน้าแบบนี้บ่อยๆ ระวังสักวันมึงจะโดนวางยาเข้านะ”
“นี่มันยุคไหนแล้ว คนเขาไม่เอาของกินมาเล่นกันหรอก”
“ถือว่ากูเตือนมึงแล้วนะอีนารา”
“เออ กูรู้แล้วน่า”
ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ ฉันรู้ดีว่าการรับของกินจากคนแปลกหน้ามันเป็เื่ที่อันตราย แต่คนพวกนั้นเขาอุตส่าห์ซื้อของกินมาให้ฉันทั้งทีถ้าไม่รับไว้มันก็เป็เื่ที่เสียมารยาทสิ ที่ฉันก็รับไว้ก็เพื่อไม่ให้มันเป็การเสียน้ำใจก็แค่นั้นเอง ฉันไม่ได้เห็นแก่กินจริงๆ นะ และที่อีกัสมันเตือนฉันแบบนี้มันไม่ใช่เพราะว่ามันเป็ห่วงฉันจริงๆ หรอก มันอิจฉาฉันมากกว่าที่มีหนุ่มๆ ขนของกินมาให้ฉันทุกวันต่างหากล่ะ
“เออ ว่าแต่เย็นนี้มีใครว่างบ้าง ไปเดินหาของกินที่ตลาดนัดกัน”
ฉันเอ่ยปากชวนเพราะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ฉันมีแผนว่าจะไปเดินหาอะไรกินที่ตลาดนัดน่ะ
“กูมีนัดกับพี่ชายน่ะว่าจะเข้าไปดูอู่สักหน่อย”
อีชีต้าร์ปฏิเสธฉันมาคนแรก ซึ่งเพื่อนฉันคนนี้มีพี่ชายที่เป็เ้าของอู่ซ่อมรถอยู่และเพื่อนของฉันคนนี้ก็มีฝีมือในการซ่อมรถที่เก่งกาจด้วย
“กูขอบาย ี้เีว่ะ”
อีปลาวาฬปฏิเสธเป็รายต่อมา
“ี้เีหรือจะไปนอนกกผัวกันแน่”
เมื่อได้โอกาสอีกัสมันก็รีบแขวะอีปลาวาฬทันที
“เื่ของชะนีมีผัว กะเทยโสดอย่างมึงไม่เข้าใจหรอก”
“ว๊าย แรงนะที่พูดเมื่อกี้ ใครบอกว่ากูไม่มีผัว กูซุ่มกินเงียบอยู่พวกมึงแค่ไม่รู้ก็แค่นั้นเอง”
“จ้า”
“ถ้างั้น ไม่มีใครไปกับกูสินะ โอเค กูไปคนเดียวก็ได้”
เพราะปกติฉันก็ไปคนเดียวตลอด แต่ที่ฉันเอ่ยปากชวนก็ชวนตามมารยาทก็แค่นั่นแหละ เผื่อว่าจะมีใครบางคนสนใจไปกับฉันด้วยก็แค่นั้น แต่ไม่มีใครไปด้วยแบบนี้ก็ดี จะได้ไม่ต้องมีคนคอยห้ามเวลาที่ฉันกำลังตะลอนกินยังไงล่ะ
“อ้าว มึงไม่รอคำตอบจากกูหน่อยเหรอ”
อีกัสเอ่ยถาม
“ไม่จำเป็ เพราะกูไม่อยากไปไหนมาไหนกับมึงสองคนอีกแล้ว”
“ชิ กูไม่ง้อมึงก็ได้”
เพราะครั้งที่แล้วอีกัสมันทำกับฉันไว้มาก จนฉันจำฝังใจเลยล่ะ ั้แ่วันนั้นมันจึงทำให้ฉันได้ตั้งปฏิญาณไว้กับตัวเองไว้ว่าฉันจะไม่ไปไหนมาไหนกับอีกัสสองคนอีกเด็ดขาด เพราะไปกับมันสองคนทีไร ฉันซวยตลอด ฉันไม่อยากซวยแบบนั้นอีกแล้ว เพราะฉะนั้นอะไรที่เลี่ยงได้ฉันก็ควรเลี่ยงมันซะ อย่างเช่นฉันเลี่ยงที่จะไปไหนมาไหนกับอีกัสตอนนี้ยังไงล่ะ
เวลาต่อมา
“อืม หอมจัง”
ฉันพูดกับตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มๆ ซึ่งตอนนี้ฉันกำลังยืนถือเครปร้านดังที่ฉันอุตส่าห์ยืนต่อแถวรอซื้อตั้งนานสองนานอยู่ในมือไปด้วย อ่อ ตอนนี้ฉันอยู่ที่ตลาดนัดชื่อดังแห่งหนึ่งน่ะ คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ ฉันก็มาทำตามแผนการที่ฉันวางไว้ั้แ่เมื่อคืนนั่นแหละ นั่นคือการตะลอนกินแบบจุๆ ซึ่งตอนนี้ฉันก็ตะลอนกินได้มาถึงครึ่งทางแล้ว แต่มันก็ยังเหลือของกินอีกมากมายที่ฉันยังไม่ได้ลองกิน แน่นอนว่าฉันไม่หยุดแค่นี้หรอก ไว้ฉันกินเครปนี้หมดเมื่อไหร่ฉันเริ่มตะลอนกินอีกครั้งแน่นอน
ครืด ครืด ครืด
แต่ในระหว่างที่ฉันกำลังดื่มด่ำกับกลิ่นหอมของเครปที่พึ่งทำเสร็จใหม่ๆ อยู่นั้น จู่ๆ โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนขาสั้นที่ฉันสวมอยู่มันก็สั่นขึ้นมาเมื่อมีคนโทรเข้า ฉันเลยต้องเสียสละเวลาอันแสนมีค่าของฉันล้วงหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาแล้วกดรับสายทันที
“ว่าไงคะพี่ชายสุดหล่อ โทรมาหาเค้ามีไรหรือเปล่า”
ฉันเอ่ยทักทายปลายสายทันทีด้วยเสียงร่าเริง ซึ่งคนที่โทรมาหาฉันก็คือเฮียรบพี่ชายของฉันนั่นแหละ
(อยู่ไหน ทำไมเสียงดังแบบนี้)
“เค้าอยู่ตลาดนัดอะ เฮียมีไรเปล่า”
(นี่อย่าบอกนะว่าไปออกไปหาอะไรกินอีกแล้ว)
หืม พี่ชายใครเนี่ย รู้ทันฉันตลอด
(แต่ช่างเถอะ เฮียแค่จะโทรมาถามว่าจะย้ายเข้าห้องตอนไหน)
อ่อ ที่โทรมาเขาแค่จะถามเื่ที่ฉันจะย้ายไปอยู่ที่คอนโดที่เขาพึ่งยกให้ฉันนี่เอง เื่นั้นไม่ต้องห่วงหรอก ฉันได้วางแผนและจัดการไว้เป็ที่เรียบร้อยแล้วล่ะ
“เค้าว่าจะย้ายของเข้าไปพรุ่งนี้อะเฮีย”
(อืม ก็ดี ถ้าขาดเหลืออะไรหรือ้าให้ช่วยก็โทรมาบอกก็แล้วกัน)
ถ้าไม่ติดว่าเฮียรบชอบกวนประสาทฉันอยู่บ่อยๆ ล่ะก็ ฉันคงยกตำแหน่งพี่ชายดีเด่นให้เขาไปแล้ว
“ได้จ้า”
(ถ้างั้นก็แค่นี้แหละ อ่อ กินเสร็จก็รีบกลับเข้าใจไหม เป็ผู้หญิงไปไหนมาไหนตอนมืดๆ ค่ำๆ มันอันตราย)
“รู้แล้วน่า วางแล้วนะ”
ฉันตอบกลับเฮียรบไปเพียงแค่นั้นก่อนที่จะตัดสายเขาทิ้งเพราะถ้าหากฉันคุยกับเขาต่ออีกสักหน่อยเขาคงบ่นฉันจนหูชาแน่ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามากพอที่จะมายืนฟังเฮียรบบ่นหรอก เพราะตอนนี้ฉันมีบางอย่างที่สำคัญกว่าการฟังเฮียรบบ่นก็คือ ฉันต้องรีบจัดการเครปที่อยู่ในมือฉันให้หมดตอนนี้ยังไงล่ะ
“อืม ถึงเวลาของเราสักที”
ฉันบ่นพึมพำพูดกับตัวเองอีกครั้งก่อนที่จะขยับหมวกบักเกตที่ตัวเองสวมอยู่ให้เข้าที่เข้าทางแล้วเริ่มอ้าปากเพื่อที่จะได้กัดเอาชิ้นส่วนของเครปกรอบๆ เข้าปากของตัวเอง
ผลัก!
“อะ”
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้เริ่มอ้าปากด้วยซ้ำฉันก็ต้องหลุดเสียงอุทานออกมาด้วยความใแทน เมื่อจู่ๆ ก็มีอะไรก็ไม่รู้พุ่งมาชนเข้าที่ร่างของฉันอย่างจัง และแรงชนนั่นมันก็ค่อนข้างแรงมาก แรงถึงขั้นทำให้ฉันคนนี้ถึงกับต้องเซไปตามแรงโน้มถ่วงของโลกเลยทีเดียว เฮ้ ฉันกำลังจะล้มหัวคะมำลงไปกระแทกกับพื้น แต่จะทำยังไงดี ถ้าหากฉันล้มลงท่านี้เครปที่ฉันอุตส่าห์ยืนรอซื้อตั้งนานนั่นมันต้องแตกละเอียดกับพื้นแน่ๆ อ่า ถ้าอย่างนั้นเพื่อช่วยชีวิตเครปนี้ฉันเสียสละชีวิตของตัวเองแทนก็แล้วกัน
ทันทีที่ฉันตัดสินใจแบบนั้นเสร็จ ฉันก็ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการเปลี่ยนท่าทางของตัวเองใหม่ โดยการที่ฉันใช้มือข้างหนึ่งยื่นไปยันกับพื้นเพื่อรับแรงกระแทกทั้งหมดของร่างกายแทน โดยที่มืออีกข้างของฉันไม่ลืมที่จะชูเครปขึ้นเหนืออากาศเพื่อปกป้องไม่ให้มันตกลงไปอยู่กับพื้นไปด้วย
ตุบ!
“อ่า”
ฉันหลุดเสียงร้องออกมาทันทีด้วยความรู้สึกเจ็บเพราะเมื่อกี้ดูเหมือนว่าฝ่ามือข้างที่ฉันเอาลงพื้นมันจะไถลไปกับพื้นปูนพร้อมกับหัวเข่าของฉันที่กระแทกเข้ากับพื้นปูนเต็มๆ นั่นอีก อ่า ดูเหมือนว่าฉันจะได้แผลนะ แต่พอฉันหันไปเห็นเครปที่อยู่ในมือฉันอย่างปล่อยภัยเท่านั้นแหละ ความเจ็บเมื่อกี้มันก็หายไปทันที ก่อนที่ฉันจะพึมพำพูดกับตัวเองอย่างมีความสุขว่า...
“อ่า โชคดีชะมัดที่อย่างน้อยแกก็ยังคงปลอดภัยดี”
“เฮ้ เป็ไรไหม”
ในระหว่างที่ฉันกำลังดื่มด่ำกับความสุขอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงของใครบางคนเอ่ยถามฉัน ดูเหมือนว่าเ้าของเสียงนั่นจะเป็คนที่เดินชนเมื่อกี้แน่ๆ เลย อ่า เป็ผู้ชายสินะ ถึงว่าทำไมถึงได้ชนจนร่างของฉันกระเด็นแบบนั้น แต่ไม่เป็ไร คนเรามันก็ผิดพลาดกันได้ และอีกอย่างเครปฉันมันก็ยังปลอดภัยดีอยู่ เพราะฉะนั้นฉันไม่เอาเื่ก็แล้วกัน เมื่อคิดได้อย่างนั้นฉันเลยเอ่ยตอบโต้เขาไปว่า...
“ไม่เป็ไรค่ะ”
ในขณะที่ฉันพูดไปนั้นมือของฉันก็โบกปฏิเสธเขาไปด้วย แน่นอนว่าในระหว่างที่ฉันเอ่ยพูดกับเขาไปนั้นสายตาของฉันมันยังคงจ้องอยู่ที่เครปเหมือนเดิม เพราะตอนนี้ฉันไม่ได้สนใจเื่หน้าตาของคู่กรณีสักเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่ฉันสนใจก็คือเครปนี่ต่างหากล่ะ
“shit!”
หืม เมื่อกี้เหมือนฉันได้ยินเขาคนนั้นสบถคำหยาบออกมาใช่ไหม
“มากับฉัน”
หมับ!
สิ้นสุดคำพูดนั้นแขนของฉันก็ถูกมือของผู้ชายคนนั้นฉุดให้ฉันยืนขึ้นพร้อมกับออกแรงดึงให้ฉันเดินตามเขา เอ๊ะ ดะ เดี๋ยวสิ ผู้ชายคนนี้จะลากฉันไปไหน
โซ่ Talk
“เมื่อกี้ตัวมองมันใช่ไหม”
“เฮ้ย เปล่า ไม่ได้มอง”
“แต่เค้าเห็นว่าตัวมอง ตัวชอบผู้หญิงแบบนั้นใช่ไหม ใช่สิ เขาไม่สวยเหมือนผู้หญิงคนนั้นนี่นา”
“อย่าพึ่งร้องไห้สิตัว สาบานว่าเขาไม่ได้มองผู้หญิงคนนั้นจริงๆ”
“จริงนะ”
“อืม จริงสิ เขารักตัวมากขนาดนี้เขาจะไปมองผู้หญิงคนอื่นทำไม”
“งือ เขาก็รักตัวมากนะ”
“หืม อะไรวะ”
ผมพึมพำพูดขึ้นมาด้วยมึนงงกับเหตุการณ์ที่ผมเห็นกับตาเมื่อกี้ ตอนนี้สายตาของผมกำลังมองไปยังคู่รักคู่หนึ่งที่เดินผ่านมาทางนี้พอดีด้วยความสนใจ ตอนแรกคู่รักคู่นั้นก็เดินมาด้วยกันในสภาพที่ดูเหมือนจะรักกันดี แต่แล้วจู่ๆ ทั้งคู่ก็มีปากมีเสียงกันจนถึงขั้นทำให้ผู้หญิงถึงกับต้องเสียน้ำตา ซึ่งตอนแรกผมคิดว่าพวกเขาสองคนจะเลิกกันแล้วซะอีกก็เห็นทะเลาะกันรุนแรงซะขนาดนั้น
แต่..ผมเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะตอนนี้คู่รักที่ทะเลาะกันเมื่อกี้กำลังยืนกอดกันกลมแถมยังบอกรักกันราวกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้มีเื่บาดหมางกันซะอย่างนั้น อ่า ช่างเป็เื่ที่แปลกซะจริง
อ่อ คงสงสัยกันใช่ไหมล่ะว่าผมคนนี้ทำไมถึงมานั่งดูคู่รักทะเลาะกันได้ พอดีผมออกมานั่งหาแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงน่ะ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมออกมานั่งทำอะไรแบบนี้ข้างนอก เพราะผมทำแบบนี้มาหลายปีแล้ว ก็น่าจะเริ่มั้แ่ตอน่ที่ผมเริ่มหัดแต่งก็น่าจะได้ และสถานที่ที่ผมมักจะมาหาแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงมันก็มักจะเป็ที่ที่คนค่อนข้างชุกชุม อย่างเช่นวันนี้ที่ผมเลือกมานั่งแถวตลาดนัดชื่อดังที่มีคนเดินผ่านมาอยู่ตลอด
ถ้าจะให้ผมอธิบายว่าทำไมผมถึงเลือกที่แบบนี้ในการหาแรงบันดาลใจไม่ใช่ที่เงียบๆ เหมือนกับที่ศิลปินคนอื่นเลือกทำกัน มันก็เป็เพราะว่าการได้นั่งมองดูคนเดินผ่านไปมาด้วยสายตาของตัวเองมันทำให้ผมมองเห็นถึงเื่ราวต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป ร้อยคนก็ร้อยเื่ราว อย่างเช่นคู่รักเมื่อกี้ถึงแม้ว่ามันจะแปลกสำหรับผม แต่มันก็ทำให้ผมนึกเนื้อเพลงขึ้นมาในหัวได้ทันทีหลังจากที่เห็นคู่รักคู่นั้น
ใช่ ทุกอย่างที่ผมเห็นผ่านด้วยสายตาของตัวเองผมสามารถถ่ายทอดมันออกมาเป็บทเพลงได้ และนี่ก็คือวิธีที่ผมใช้ในการแต่งเพลงมาโดยตลอดยังไงล่ะ
“เอ๊ะ นั่นพี่โซ่หรือเปล่าแก”
ถึงแม้ว่าที่แบบนี้มันจะเหมาะแก่การเก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจสำหรับผม แต่มันก็เป็ที่ที่เสี่ยงสำหรับผมเช่นเดียวกัน เสี่ยงว่าคนจะจำผมได้เหมือนอย่างเช่นตอนนี้ยังไงล่ะ
“ไม่รู้สิ แต่เขาหน้าเหมือนพี่โซ่เหมือนกันนะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นผมก็รีบดึงเอาหมวกที่ผมสวมอยู่ลงมาปิดบังใบหน้าของตัวเองไว้ทันทีพร้อมกับดึงฮูดขึ้นมาคลุมทับอีกครั้งเพื่อทำให้ตัวเองไม่ตกเป็เป้าสายตาจากคนรอบข้างมากจนเกินไป
“ฉันว่าต้องใช่แน่ๆ เรารีบเข้าไปขอลายเซ็นพี่เขากันดีกว่า”
ผมรีบเก็บข้าวของของตัวเองทันทีก่อนที่จะรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่เมื่อกี้แล้วเดินออกมาจากตรงนั้นทันที แต่..มันจะง่ายกว่านี้ถ้าคนพวกนั้นไม่เดินตามหลังผมมา จากหนึ่งคนกลายเป็สองคน จากสองคนเริ่มมีกลายเป็กลุ่มก้อน ดูเหมือนข่าวมันจะแพร่งพรายออกไปให้คนอื่นได้รับรู้เร็วมาก เพราะตอนนี้กำลังมีคนจำนวนมากเดินตามหลังผมอยู่
“อ่า ให้มันได้แบบนี้สิ”
ผมบ่นกับตัวเองด้วยความหัวเสียก่อนที่จะรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้คนพวกนั้นเดินตามผมมาไม่ทัน
ผลัก!
ด้วยความเร่งรีบบวกกับผมที่คอยเอาแต่มองไปด้านหลังบ่อยๆ มันเลยทำให้ผมบังเอิญเดินชนใครบางคนเข้าอย่างจัง แต่มันไม่ใช่แค่การเดินชนธรรมดาน่ะสิ เพราะตอนนี้เ้าของร่างที่ผมพึ่งชนไปเมื่อกี้ตอนนี้กำลังล้มกองอยู่กับพื้นเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
“อ่า โชคดีชะมัดที่อย่างน้อยแกก็ยังคงปลอดภัยดี”
อ่า โชคร้ายชะมัด
“เฮ้ เป็ไรไหม”
ผมเอ่ยถามออกไป พร้อมกับชะโงกหน้ามองไปยังจุดที่ผมพึ่งเดินจากมาไปด้วยว่าตอนนี้คนพวกนั้นยังคงตามผมมาอยู่หรือเปล่า ซึ่งตอนนี้คนพวกนั้นกำลังมองหาผมกันให้วุ่นอยู่ ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะคาดสายตาไปแล้วสินะ ผมเลยใช้โอกาสนั้นมองไปยังคู่กรณีอีกครั้ง ก็เห็นได้คนที่ผมเดินชนเมื่อกี้เป็ผู้หญิง
“ไม่เป็ไรค่ะ”
เธอเอ่ยตอบผมกลับมาพร้อมกับโบกมือปฏิเสธความช่วยเหลือจากผม
“shit!”
ผมถึงกับต้องสบถออกมาทันทีเมื่อเห็นว่ามือข้างนั้นของเธอที่โบกไปมาเมื่อกี้มันมีเือาบอยู่ อ่า ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะรีบหลบหนีจากกลุ่มแฟนคลับอยู่ก็เถอะ แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่ใจจืดใจดำพอที่จะทิ้งให้ผู้หญิงคนนี้ตกอยู่ในสภาพนี้คนเดียวหรอกนะ ผมเป็คนที่มีความรับผิดชอบพอ การที่เธอล้มจนได้แผลแบบนั้นมันก็เป็ความผิดของผมด้วย เพราะฉะนั้นต้องรับผิดชอบเธอ
“พวกเรา พี่โซ่อยู่ทางนั้น”
“มากับฉัน”
เพราะตอนนี้มันคือสถานการณ์คับขันผมเลยตัดสินใจเอื้อมมือไปดึงแขนของผู้หญิงคนนั้นให้เดินตามผมมาทันที
[โปรดติดตาตอนต่อไป]
นางเอกฉันก็ห่วงแต่ของกิน
ส่วนเฮียโซ่นั้นก็ห่วงแต่แฟนคลับจะตามมา
มันเลยทำให้พวกเขาสองคนยังไม่เห็นหน้ากัน
แต่..เฮียลากน้องไปแบบนั้น เฮียจะใไหมเนี่ยที่เห็นว่าเป็น้อง
ปล.ตอนหน้าติดเหรียญแล้วเน้อ ไรต์จะเปิดให้อ่านฟรีหนึ่งชั่วโมงนะคะ
หวังว่าทุกคนจะอ่านทันเน้อ ส่วนใครไม่ทันก็เปย์ไรต์มาซะดีๆ 555
หนึ่งคอมเม้นเท่ากับหนึ่งกำลังใจงับ