วันเวลาที่หิมะตกในหน้าหนาวของหมู่บ้านในเขตูเาเล็กๆ เป็ไปอย่างยาวนานและน่าเบื่อ
หิมะตกหนักไม่ต่อเนื่องอยู่หลายวัน ใต้ชายคาภายในห้องโถงกลางของครอบครัวหูล้วนเต็มไปด้วยอาหารหมักที่ต้องแขวนตากลมผึ่งให้แห้ง เพื่อให้มีที่ระบายอากาศได้ดี เจินจูจึงย้ายโต๊ะอาหารมายังห้องเล็กของหลัวจิ่ง
อาหารหมักไม่สามารถตากฝนตากหิมะได้ ตามที่มารดาคนเก่าของนางกล่าวคือรสชาติจะเปลี่ยนเป็เปรี้ยว เจินจูไม่กล้าประมาทเลินเล่อ กว่าจะกรอกอาหารหมักชุดใหญ่ให้เสร็จนั้นไม่ง่ายเลย นางไม่อาจให้ความสำเร็จขั้นสุดท้ายล้มเหลวได้เด็ดขาด
วันนี้ เมื่อเจินจูนับนิ้วดูวันเวลาแล้ว อาหารหมักที่ทำชุดแรกถึงเวลาที่ควรจะส่งสินค้าได้
ยื่นศีรษะออกไปมองนอกห้อง แม้หิมะจะหยุดแล้วแต่ท้องฟ้ายังค่อนข้างมืดครึ้มอยู่เล็กน้อย หิมะที่ตกใน่สองสามวันที่ผ่านมานี้ไม่นับว่าตกหนัก โปรยปรายลงมาเป็ครั้งคราวไม่ต่อเนื่อง หิมะที่ทับถมกันก็ไม่หนาเท่าไร แม้บนถนนจะมีเศษหิน ในหมู่บ้านจะมีกองโคลนอยู่บ้าง เกวียนวัวก็ยังสามารถขยับเดินไปได้
“ท่านพ่อ วันนี้หิมะไม่ตก อาหารหมักที่ผึ่งแดดไว้วันแรกครบกำหนดพอดี ท่านไปถามที่บ้านเก่าสักหน่อยเถิด ว่าจะไปส่งสินค้าวันนี้หรือค่อยไปส่งพรุ่งนี้ดีเ้าคะ?” เจินจูเข้าไปในห้อง หูฉางกุ้ยทานอาหารเช้าแล้วก็เอาแต่ถักตะกร้าไผ่อยู่ตลอดเวลา ให้เขาได้พักสักหน่อยพอดี
“อ่า ถึงครึ่งเดือนแล้วหรือ?” หลี่ซื่อที่เย็บชุดใหม่อยู่ด้านข้างเงยหน้าขึ้นถาม
“เ้าค่ะ ถึงแล้ว ข้าดูอย่างละเอียดล้วนแห้งหมดแล้ว หากท่านไม่วางใจอีกสักเดี๋ยวตัดหนึ่งส่วนลองนึ่งดูก่อนก็ได้” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” หูฉางกุ้ยวางงานในมือไว้ด้านข้าง หยัดกายขึ้นแล้วออกไปข้างนอก ขณะนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดในบ้านก็เป็อาหารหมักหนึ่งกองใหญ่ที่มีค่านี้ ส่งสินค้าเร็วหนึ่งวันก็สบายใจเร็วขึ้นหนึ่งวัน
หูฉางกุ้ยออกจากบ้าน หลี่ซื่อก็วางงานเย็บปักถักร้อยในมือลง ถามอย่างกังวลใจ “ไม่เช่นนั้น แม่ไปตัดหนึ่งส่วนมานึ่งดีหรือไม่? อีกครู่ก็ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดีจะได้ชิมรสชาติ”
“ได้เ้าค่ะ แต่ท่านแม่ ท่านนึ่งเพิ่มสองส่วนเถิด หนนี้ทำไว้ไม่น้อย ที่ยังเหลืออยู่พวกเราเก็บไว้ค่อยๆ ทานกันเอง” ปริมาณหมูทั้งหมดมากเพียงพอ เนื้อที่ทำการหมักทั้งหมดน่าจะเกินมาไม่น้อย
“ได้ แม่เข้าใจแล้ว!” หลี่ซื่อออกไปยุ่งอยู่กับงานบนเตา
หวังซื่อกับหูฉางหลินมากันไวมาก เกวียนวัวเร่งตรงเข้ามาในลานบ้าน ความคิดเห็นของทุกคนล้วนเหมือนกันว่าส่งสินค้าเร็วหนึ่งวันก็สบายใจเร็วขึ้นหนึ่งวัน
ประจวบเหมาะพอดีที่หลี่ซื่อนึ่งกุนเชียงเสร็จออกจากหม้อ ทุกคนล้อมกันอยู่ภายในห้องเล็กๆ ของหลัวจิ่ง พากันยกตะเกียบขึ้นลองทาน
“อื้ม ไม่เลว รสชาติยังอร่อยกว่าครั้งก่อนนัก”
“อร่อย! เนื้อนี่หอมจริงๆ ทานคู่กับข้าวสวยกำลังดี”
“ครั้งก่อนเค็มไปเล็กน้อย หนนี้กำลังดี”
“ไม่เลวๆ”
“…”
อาหารหมักที่ตากแห้งดีแล้วได้รับการยืนยัน ทุกคนจึงเริ่มจัดแจงใส่ภาชนะเตรียมส่งสินค้า
อากาศหนาวเย็น หวังซื่อไม่ได้ให้เจินจูไปในครั้งนี้ จึงเป็ตนเองกับสองพี่น้องฉางหลินและฉางกุ้ยที่มุ่งหน้าไปส่งสินค้า สองบ้านล้วนต้องเพิ่มอาหารอย่างข้าวสารและแป้งหมี่เล็กน้อยจะได้ถือโอกาสซื้อทั้งหมดกลับมา
ชั่งน้ำหนักทีละอย่างให้ดี เสร็จแล้วแบ่งใส่ภาชนะให้เรียบร้อย คลุมหญ้าฟางข้างบนอีกครั้ง ทันทีหลังจากนั้นยกขึ้นเกวียนวัว งานตระเตรียมจึงเสร็จสิ้น
เจินจูคิดเล็กน้อย แล้วหยิบหัวหมูตากแห้งทั้งชิ้น กับขาหมูสี่อันออกมาอีก วางเข้าไปในตะกร้าที่มีที่ว่างเหลืออยู่ หลังกระซิบกับหวังซื่ออยู่พักหนึ่งเกวียนวัวของครอบครัวสกุลหูจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากลานบ้านอย่างช้าๆ
เจินจูกลับมาภายในห้อง จัดเรียงราวไม้ไผ่ที่ว่างออกให้เป็ระเบียบ หลัวจิ่งค้ำไม้เท้าเข้ามาช่วยเหลือ
“ยู่เซิง ข้าทำเองก็ได้ ระวังจะชนเข้ากับขาของเ้า” เจินจูยิ้มแล้วกล่าวโน้มน้าว
หลัวจิ่งส่ายหน้า “ไม่เป็ไร ขาข้าดีขึ้นพอสมควรแล้ว” หลังจากนั้นจึงหยิบราวไม้ไผ่ในมือของนางมา ค่อยๆ เดินไปข้างกำแพงแล้ววางลง
เจินจูยิ้มน้อยๆ ส่ายศีรษะ เป็เด็กหัวรั้นจริงๆ
สองคนช่วยกันจัดเก็บราวไม้ไผ่ไม่นานก็วางไว้เรียบร้อย
“เสร็จแล้ว ขอบใจเ้ามาก ยู่เซิง” เจินจูยิ้มบางๆ
“ไม่ต้องเกรงใจ นี่เป็สิ่งที่ข้าควรทำ” ใบหน้าที่เงียบสงบของหลัวจิ่งมีความไม่คุ้นเคยแปลกแยก
เจินจูเลิกคิ้วเล็กน้อย แอบถอนหายใจอยู่ข้างใน และผ่อนคลายน้ำเสียง “ยู่เซิง เ้าไม่จำเป็ต้องกดดันมากเกินไปนัก แม้บ้านข้าจะช่วยชีวิตเ้าไว้ แต่ไม่ได้หวังให้เ้าตอบแทนอันใด หากเปลี่ยนเป็ผู้อื่นพวกข้าก็ทำเช่นเดียวกันนี้ เ้าพักผ่อนรักษาอาการาเ็ให้สบายใจ ต่อไปเมื่อรักษาขาหายดี เดินได้คล่องแล้ว จึงจะสามารถตามหาพี่ชายคนโตของเ้าได้”
่เวลาพักหนึ่งที่อยู่ร่วมกันนี้ ยู่เซิงเคยเปิดเผยความลับข้อมูลของครอบครัวเขาเล็กน้อย ครอบครัวเขาประสบกับเคราะห์กรรมแสนสาหัส บิดามารดาทั้งคู่จากไป เหลือเพียงพี่ชายคนโตหนึ่งคนที่อยู่แดนไกล
“ข้ารู้ ข้าไม่ได้กดดันมาก เดิมทีสิ่งเหล่านี้ควรช่วยทำอยู่แล้ว” ดวงตาดำมืดของหลัวจิ่งมองนางอย่างสงบ แน่นอนว่าบุญคุณการช่วยชีวิตต้องตอบแทน ครอบครัวพวกนางไม่ใส่ใจก็เป็เื่หนึ่ง หลัวจิ่งรู้ตัวเองบุญคุณเพียงหยดน้ำ สมควรตอบแทนเป็น้ำพุ [1]
“…”
เจินจูรู้สึกว่ามุมปากตนเองกระตุกเล็กน้อย ใบหน้าดื้อรั้นของเ้าหนุ่มนี่ ท่าทางจะกล่าวไม่เข้าใจ... ช่างเถิด เขาอยากทำอะไรก็ทำเช่นนั้น
หลัวจิ่งยืนอยู่ที่เดิมมองเจินจูที่เดินเข้าห้องครัว ก้นบึ้งหัวใจแกว่งไหวเล็กน้อย วันเวลาเหล่านี้ขาของเขาดีขึ้นเร็วมาก เมื่อคืนลองไม่ใช้ไม้เท้าก็สามารถเดินได้สองสามก้าว คิดๆ ไปแล้วหากผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง ขาของเขาน่าจะสามารถเดินเหินได้ปกติอีกครั้ง
เพียงแต่หนทางหลังจากนี้เขาควรจะเดินไปอย่างไร หลัวจิ่งสับสนงงงวยเล็กน้อย หลัวรุ่ยพี่ชายคนโตอยู่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือห่างไกล การเดินทางห่างจากที่นี่ตั้งกี่พันลี้ เขามือเปล่าไม่มีเงินติดตัวสักเหวิน ทำอย่างไรจึงจะไปถึงได้อย่างปลอดภัย? ก่อนมารดาจะจากไปเคยบอกไว้ ว่าห่างไปสักปีสองปีรอให้สถานการณ์คลี่คลายลงสักหน่อยแล้วค่อยไปหาพี่ชายใหญ่ก็ยังไม่สาย
หลัวจิ่งไตร่ตรองอยู่ครึ่งค่อนวัน ดูเหมือนว่าเขายังต้องคิดหาวิธีที่จะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเขตูเานี่สักปีสองปี รอให้สืบสถานการณ์ต่างๆ แน่ชัดแล้วค่อยทำการตัดสินใจอีกครั้งก็แล้วกัน
กำหนดทิศทางแล้วใจหนึ่งดวงก็ตกตะกอนและสงบลงได้
พอเดินออกจากบ้านมายังลานบ้านของครอบครัวเกษตรกรเล็กๆ เสียงอบอุ่นอ่อนโยนของหลี่ซื่อกับเจินจูพูดคุยหัวเราะครื้นเครงในห้องครัว ข้างกำแพงลานบ้านเสียงตลกขบขันของผิงอันที่ไล่ไก่หาไข่ดังขึ้น ล้วนปรากฏให้เห็นความมีชีวิตชีวาและเรียบง่าย มุมปากของหลัวจิ่งโค้งยิ้มจางๆ แล้วย่างก้าวเข้าไปในลาน
...ในการดำเนินชีวิตของครอบครัวสกุลหูได้ใช้เวลาเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติจีนอย่างเต็มไปด้วยการยุ่งอยู่กับงาน และต้อนรับการมาถึงของสิ้นปี
วันนี้ท้องฟ้าเปิด อากาศแจ่มใส ครอบครัวสกุลหูทุกคนโดยสารเกวียนวัวไปตลาดพร้อมกัน
หูฉางหลินขับเกวียน หวังซื่อนำทางผิงซุ่น ส่วนหลี่ซื่อนำทางเจินจูกับผิงอัน คนทั้งหมดนั่งจนเต็มหนึ่งเกวียน
ชุ่ยจูไม่ได้ตามมาเพราะเหลียงซื่อกำลังตั้งครรภ์ นาง้าคนดูแล
หวังซื่อใบหน้าชื่นมื่นอารมณ์คึกคัก แน่นอนว่านางย่อมดีใจอย่างมาก ใบสั่งสินค้าของสือหลี่เซียงสำเร็จลุล่วงอย่างราบรื่น อาหารหมักหนึ่งพันแปดร้อยชั่งนั้นทำให้ครอบครัวสกุลหูหาเงินได้กว่าห้าสิบเหลียง หักต้นทุนออกก็มีกำไรสามสิบกว่าเหลียง
แล้วยังมีหัวหมูกับขาหมูตากแห้งไม่กี่อันนั่นอีก หวังซื่อล้วนเผยสินค้าทั้งหมดและขายให้สือหลี่เซียง เ้าของร้านเหนียนสนใจหัวหมูตากแห้งกับขาหมูตากแห้งมาก บอกว่าเป็ของกำนัลส่งท้ายปีที่ดีที่สุดที่จะมอบให้่วันเทศกาล แล้วเขาก็จัดการห่อหุ้มทั้งหมดที่เหลืออยู่ซื้อไปด้วยทันที
ร้านสาขาบางร้านขายอาหารหมักได้ดีเกินคาดหมาย อาหารที่เพิ่งจะมีขึ้นทำให้ดึงดูดลูกค้าทั้งใหม่และเก่าไม่น้อย ห่อใส่กล่องเป็ของกำนัลส่งท้ายปีออกไปมอบให้คนยิ่งไม่น้อย ความ้าอาหารหมักหนึ่งวันดีกว่าอีกหนึ่งวันขายดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าขาด่ก่อนปีใหม่จะมาถึง เหนียนเสียงหลินจึงสั่งสินค้าต่อเนื่องอีก เนื้อตากแห้งกับกุนเชียงสั่งจำนวนห้าร้อยชั่งกับแปดร้อยชั่งตามลำดับ อาหารหมักเก็บไว้ได้ค่อนข้างนาน หากก่อนปีใหม่ขายไม่หมดจะเก็บไว้ขายหลังปีใหม่ก็ยังอยู่สภาพเหมือนเดิม
เมื่อสกุลหูรับใบสั่งสินค้าแล้วก็เริ่มซื้อหมูมาเชือดและทำการหมักพร้อมกับกรอกไส้ใหม่อีกครั้ง ที่ผ่านมายุ่งอยู่กับงานถึงสองวันจึงทำใบสั่งสินค้าชุดใหม่สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
...เกวียนวัวเดินอยู่บนถนนทางการเอื่อยๆ ผิงซุ่นกับผิงอันนั่งอยู่ข้างกายหูฉางหลิน ตลอดทางเจี๊ยวจ๊าวตื่นเต้น พูดคุยไม่หยุดพัก
หวังซื่อใบหน้ายิ้มแย้ม ความสุขใจทำให้รอยยิ้มที่มุมปากไม่เคยตกลงเลย ยุ่งอยู่กับงานนี่มาเดือนกว่าๆ ก็หาเงินได้หกสิบกว่าเหลียง สำหรับครอบครัวสกุลหูแล้วเป็จำนวนเงินที่ไม่เคยจิตนาการมาก่อน เงินขาวเป็ยวงห่อหุ้มอยู่ในอ้อมอก แม้ในยามหลับฝันก็ยังมีความสุข
ในความดีใจของหลี่ซื่อยังมีความกระวนกระวายอยู่เล็กน้อย นานแล้วที่นางไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคน แม้เคยไปตลาดต้าวันกับหูฉางกุ้ยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ในใจยังคงกังวลอยู่บ้าง
“ท่านแม่” เจินจูกุมมือหลี่ซื่อที่เหงื่อออกเล็กน้อย ในระหว่างการเดินทางเข้าเมือง จึงชวนพูดคุยไปเรื่อยไม่หยุดปาก เพื่อผ่อนคลายจิตใจที่ตึงเครียดของหลี่ซื่อ “อีกเดี๋ยวถึงเมือง พวกเราไปฝูอันถังก่อน หลังจากนั้นจึงไปตลาดตะวันออกซื้อของเล็กน้อย หากว่าพวกเราหิวแล้วก็ไปทานเกี๊ยวน้ำหรือบะหมี่สักถ้วยก่อนก็ได้”
“ท่านพี่ ข้าอยากทานเกี๊ยวน้ำ!” ผิงอันที่อยู่ด้านข้างพอได้ยินว่าทานก็หันมาอย่างเร็ว
“พี่สาม ข้าก็อยากทานเกี๊ยวน้ำ!” ผิงซุ่นก็แสดงท่าทีอยากมีส่วนร่วมทันที
“ได้ อยากทานอะไรได้หมดเลย” หวังซื่อพยักหน้าเบิกบานใจ
“พวกเ้าสองคนถึงในเมืองแล้วห้ามวิ่งสะเปะสะปะไปทั่ว ระวังถูกล่อลวงไปเชียวนะ หากไม่เชื่อฟังครั้งหน้าผู้ใดก็ห้ามคิดจะออกมาตลาดแล้ว ทราบหรือไม่?” เจินจูถือโอกาสสั่งสอนพวกเขาหนึ่งรอบ
“ข้าทราบแล้ว” สองคนตอบพร้อมเพรียง ทันทีหลังจากนั้นก็มองหน้าแล้วยิ้มให้กัน และเอะอะโวยวายกันต่อไป
“อย่าโวยวาย ระวังตกเกวียน!” หูฉางหลินตำหนิหนึ่งเสียง สองคนหยุดลงทันที
“ฮ่าๆ” หลังพูดคุยเฮฮากันไปหนึ่งรอบ หลี่ซื่อรู้สึกผ่อนคลายลงนิดหน่อย บนใบหน้าผุดรอยยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย
ไม่กี่วันก็จะปีใหม่แล้ว ในตะกร้าไผ่สานบนเกวียนใส่ของกำนัลส่งท้ายปีของฝูอันถังไว้ ในนั้นมีกระต่ายสองตัว ไก่บ้านสองตัว ไข่ไก่หนึ่งตะกร้า นอกเหนือจากนี้คือ กุนเชียงและเนื้อตากแห้งอีกหนึ่งตะกร้า พะโล้หอมกรุ่นหนึ่งโถใหญ่เต็มๆ เจินจูยังเพิ่มฟักทองลูกใหญ่ผลิตผลจากมิติช่องว่างหนึ่งลูกเป็พิเศษอีกด้วย แน่นอนว่าครอบครัวสกุลหูมีอาหารที่ค่อนข้างพิเศษ ของกำนัลส่งท้ายปีที่มอบให้ย่อมหนีไม่พ้นสิ่งเหล่านี้
จวนจะสิ้นปีเช่นนี้ ผู้คนในเมืองหลั่งไหลแออัดจนแน่น รวมกับเกวียนที่สัญจรไปมามากมาย ครอบครัวสกุลหูจึงฝากเกวียนวัวไว้ข้างประตูเมือง และต่างคนต่างแบก บ้างก็อุ้มสินค้าแล้วเดินเข้าไปบนถนน
ฝูอันถังตั้งอยู่ในพื้นที่ที่คึกคักบนถนนฝั่งทิศใต้ เมื่อเดินอยู่บนถนนกระแสคนหลั่งไหลวุ่นวายไม่ขาดสาย เจินจูจูงมือเด็กชายเพื่อหลีกเลี่ยงผู้คนมากมายนั้น และเดินเข้าฝูอันถังด้วยความระมัดระวัง
ภายในร้านฝูอันถัง เ้าของร้านหลิวกำลังทักทายแขกอยู่หน้าโต๊ะคิดเงิน หน้าโถงมีคนหลั่งไหลมาตรวจโรคและจัดยาตามใบสั่งไม่น้อย ลูกจ้างล้วนยุ่งกันจนหัวปั่น
“เจินจู เ้าของร้านหลิวกำลังยุ่งอยู่ คงไม่ดีที่พวกเราจะรบกวนกระมัง ไม่เช่นนั้น พวกเรากลับไปแล้วค่อยมาอีกครั้งดีหรือไม่?” หวังซื่อชำเลืองมองเหตุการณ์ เ้าของร้านหลิวยุ่งมาชั่วครู่ชั่วยามแล้ว ลูกจ้างก็เจียดเวลาออกมาไม่ได้
กลับไปแล้วค่อยมาอีก? เช่นนั้นไม่ต้องหิ้วของหนึ่งกองไว้แบบนี้หรือ แล้วจะเดินชมตลาดซื้อของได้อย่างไร
“ท่านย่า รอเดี๋ยวเ้าค่ะ ของหนึ่งกองใหญ่นี่ เราหิ้วไว้นานคงไม่ได้ ข้าจะดูหน่อยว่าผู้ใดสามารถหาเวลาว่างออกมาได้บ้าง” ดวงตาเจินจูกวาดซ้ายขวา คิดหาลูกจ้างที่คุ้นเคย ขอเพียงเอาของให้พวกเขาก็พอ
“เอ๋” เจินจูจ้องมองตาโต เป็ไปดังคาดที่นางเห็นคนคุ้นเคยเข้า “ท่านย่า พวกท่านรอตรงนี้สักครู่นะเ้าคะ ข้าไปเดี๋ยวเดียวจะกลับมา” กล่าวจบก็วิ่งเหยาะๆ เข้าไปยังมุมหนึ่งของโถงภายในร้านฝูอันถังและหายวับไป ตรงนั้นเป็ทางที่ทะลุต่อไปยังลานด้านหลัง
“องครักษ์เฉิน! องครักษ์เฉิน! เ้าคะ” เจินจูยืนอยู่ข้างทางเดินที่ทะลุไปด้านหลัง เสียงเล็กร้องเรียก
“ผู้ใด?” เฉินเผิงเฟยหูเฉียบแหลม ได้ยินว่ามีคนะโเรียก เขาจึงหันศีรษะมองไปรอบๆ
เชิงอรรถ
[1] บุญคุณเพียงหยดน้ำ สมควรตอบแทนเป็น้ำพุ หมายความว่า ในยามยากลำบากได้รับการช่วยเหลือมาเพียงเล็กน้อย ต่อไปต้องตอบแทนเป็เท่าตัว