ฉินจ้านยิ้มด้วยความโล่งอก รอยยิ้มนี้มาจากหัวใจ กวาดล้างความหดหู่และความเศร้าโศกที่สะสมอยู่ในใจเขามานานหลายปีออกไป
“เสี่ยวอวี่ เ้ารู้ไว้เพียงว่าการทำงานหนักนานหลายปีของข้า เพียงแค่รอให้เ้าและเสวี่ยเอ๋อเข้าสู่สำนักได้ นี่เป็ความปรารถนาทั่วไปของข้าและแม่ของเ้า!” ฉินจ้านกล่าวช้าๆ
“จริงหรือ? ท่านปกปิดทุกอย่าง เห็นพวกข้าเป็อะไร? หุ่นเชิดของท่าน? เสวี่ยเอ๋อและข้าต้องไปตามเส้นทางที่ท่านวางแผนไว้?” ฉินอวี่ะโอย่างเ็า เขาไม่้าถามคำถามเกี่ยวกับตระกูลฉิน เขาเป็เพียงผู้ผ่านทางคนหนึ่ง อีกไม่นานเขาก็จะไปตามหนทางของตนเอง แต่สถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ทำให้ไม่อาจหันหลังกลับได้ เขา้าออกจากตระกูลฉินมุ่งหน้าไปยังสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ซึ่งยังต้องผ่านพ้น่เวลาครึ่งปีนี้ไปให้ได้
นอกจากนี้ เสวี่ยเอ๋อยังคงอยู่ที่นี่ ฉินอวี่ไม่้าทำให้เสวี่ยเอ๋อต้องเศร้าใจ และยังมีเื่ที่ฉินจ้านยอมคุกเข่าสามวันสามคืน ซึ่งทำให้ฉินอวี่ทรมานใจและซาบซึ้ง
สีหน้าของฉินจ้านดูผิดไปจากปกติ เปลือกตาคล้อยต่ำ ตกเข้าสู่ความครุ่นคิดและดิ้นรนในใจ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นทันที “เ้าไม่คิดบ้างหรือ ว่าทำไมจู่ๆ เ้าจึงได้ปราดเปรื่องขึ้นมามากเช่นนี้? อีกอย่าง... ตอนที่เ้าสู้กับชุยซั่ว ล้วนแต่ใช้กลวิชายุทธ์ว่านจ้ง? นึกไม่ถึงเลยว่าเ้าจะศึกษาสำเร็จได้เร็วขนาดนี้”
ฉินอวี่ใ เขายังคงคิดอยู่เช่นกันว่าสิ่งนี้จะทำให้ฉินจ้านเกิดความสงสัยหรือไม่ แต่ตอนนี้ จู่ๆ ฉินจ้านก็พูดขึ้นเช่นนี้ ทำให้ฉินอวี่สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขาจ้องไปที่ฉินจ้านและไม่ตอบอะไร
“แม่ของเ้าทิ้งอะไรบางอย่างไว้ในตัวเ้า ส่วนมันคืออะไรนั้นข้าเองก็ไม่แน่ใจ นางบอกแค่ว่าเมื่อเ้าอายุประมาณสิบหกปี เ้าจะสามารถเปิดการใช้งานสิ่งที่นางทิ้งเอาไว้ให้ได้ สิ่งที่ทำให้ข้านึกไม่ถึงและดีใจมากคือ เ้าสามารถเปิดใช้งานมันได้ล่วงหน้าแล้ว ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็มีบางเื่ที่เ้ามีสิทธิ์ที่ควรจะรู้แล้ว” ฉินจ้านกล่าวอย่างเศร้าใจ ราวกับว่ามันทำให้เขาหวนนึกถึงหลายสิ่งหลายอย่าง
ทิ้งอะไรไว้?
ฉินอวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย เขาไม่รู้สึกอะไรเลยในร่างกายของตนเอง หรืออาจเป็เพราะระดับการฝึกฝนของเขายังไม่เพียงพอ?
“และเ้าน่าจะสังเกตเห็นแล้วใช่หรือไม่ ว่าฐานการฝึกฝนของข้าไม่ใช่ระดับเก้าของขั้นยุทธ์” ฉินจ้านกล่าวอีกครั้ง
ดวงตาของฉินอวี่หรี่ลงเล็กน้อย ในตอนแรกฉินจ้านใช้พลังค้ำจุนวัตถุ เขาใช้หนึ่งฝ่ามือโจมตีกลสามภูผาป้อง์ที่เขาสร้างไว้ ฉินอวี่จึงแน่ใจว่าระดับการฝึกฝนของฉินจ้านจะต้องอยู่ในระดับปราณเสถียรเป็อย่างน้อย เพียงแต่ ฉินอวี่ยังสงสัยว่าเขาปกปิดตนเองไว้ได้อย่างไร ท้ายที่สุด ตอนนั้นเขาต้องัักับผู้ฝึกตนระดับต่างๆ มา ซึ่งเป็เื่ง่ายมากที่ผู้คนจะสามารถแยกแยะระดับการฝึกฝนของเขาได้
“สามสิบปีก่อน ข้าก็เข้าสู่ขั้นยุทธ์แล้ว ยี่สิบปีก่อนข้าก้าวเข้าสู่ขั้นปราณเสถียรระดับต้น สิบเจ็ดปีก่อนข้าเข้าสู่ขั้นปราณเสถียรระดับกลาง!” ประกายสีแปลกๆ ปรากฏขึ้นในสายตาของฉินจ้าน
ฉินอวี่ขมวดคิ้ว ในเวลาสิบปีสามารถก้าวข้ามขั้นยุทธ์ระดับหนึ่งเข้าสู่ขั้นยุทธ์ระดับเก้า? เพียงสามปีก็ข้ามจากขั้นปราณเสถียรระดับต้นไปสู่ขั้นปราณเสถียรระดับกลาง?
“เหตุผลที่ระดับการฝึกฝนของข้าตกลง เกี่ยวข้องกับวิชาวิเศษที่ข้าฝึกฝน วิชาวิเศษที่ข้าฝึกฝนเป็สิ่งที่ข้าได้รับมาโดยไม่ตั้งใจเมื่อตอนที่ข้ายังเป็เด็ก วิชาวิเศษเหล่านี้ เมื่อฝึกฝนแล้วความเร็วจะช้ามาก แต่ในระดับขั้นเดียวกัน หากต่อสู้กันระยะประชิดแบบตัวต่อตัวข้าไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด”
“เมื่อยี่สิบสามปีก่อน ข้าบังเอิญพบว่าวิชาวิเศษนี้ค่อนข้างแปลก ข้าสามารถเผาผลาญฐานระดับการฝึกฝนเพื่อสร้างพลังอันแข็งแกร่งได้ และเป็เพราะครั้งนั้น ข้าก็เป็ที่สนใจของชุยหง แต่งตั้งข้าให้เป็แม่ทัพ และยกชุยหลิ่วให้แต่งกับข้า แต่ในตอนนั้น ชุยหลิ่วตั้งครรภ์อยู่ก่อนแล้ว หลายปีต่อมา ข้ากับชุยหลิ่วเป็เหมือนดั่งสหาย เป็สามีภรรยาแต่ในนาม ไม่ใช่ความเป็จริง”
ดวงตาของฉินอวี่เปล่งประกายสว่างไสว ไม่ได้เป็สามีภรรยากันในความเป็จริง? กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า ฉินเฟิงและฉินหย่งไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของฉินจ้าน? หลายปีมานี้ ฉินจ้านได้แต่ปกปิดไว้ในใจมาโดยตลอด...
ฉินอวี่รู้สึกเป็ทุกข์อย่างอธิบายไม่ถูก บอกได้เลยว่าฉินจ้านถูกบังคับให้อยู่ในอำนาจของตระกูลฉินมาั้แ่ต้น แต่ตอนนี้... ต้องอดทนมานานหลายปี ก็คงจะเพื่อตนเองและเสวี่ยเอ๋อ!
ยากที่จะจินตนาการได้ ถึงเวลากว่าสิบปีที่ฉินจ้านเลี้ยงดูลูกชายของคนอื่น โดยไม่เปิดเผยอะไรเลยแม้แต่น้อย และชุยหลิ่วเองก็ไม่กล้าประกาศต่อสาธารณะเช่นกัน เพราะกลัวว่าจะถูกคำตำหนิจากชุยหง ดังนั้นชุยหงจึงไม่เคยรู้เื่นี้เลย จะเห็นได้ว่า ฉินจ้านต้องพบกับความยากลำบากมากมายเพียงใดตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“สิบเก้าปีก่อนข้าได้พบกับแม่ของเ้า เราทั้งสองคนต่างตกหลุมรักกัน เกิดความเสน่หา แต่่เวลาดีๆ ไม่ยาวนาน วันหนึ่งเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน มีคนลอบเข้ามาโจมตีค่ายทหาร แม่ของเ้ารีบตามคนกลุ่มนั้นไป ส่วนข้าเผาผลาญระดับฝึกฝนของตนเองในระดับปราณเสถียรระดับกลาง เพื่อสังหารผู้ฝึกตนขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สอง แต่แล้วระดับการฝึกตนของข้าจึงลดลงจากขั้นปราณเสถียรระดับกลางถอยไปสู่ขั้นยุทธ์ระดับสอง หลายปีมานี้ยังไม่ง่ายเลยที่จะกลับมาสู่ขันยุทธ์ระดับเก้า!” ฉินจ้านพูดพลางเบือนหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนจะหวนนึกถึง่เวลาอันงดงามนั้น แม้ว่ามันเป็เพียง่เวลาสั้นๆ ก็ตาม
หากจะว่าไปก่อนหน้านี้ฉินอวี่เองก็ถูกเหยียดหยามมาก่อน นี่มันความสามารถแบบไหนกัน อยู่ในขั้นยุทธ์เป็เวลาถึงสิบปี? แต่เมื่อได้ฟังคำพูดที่ตามมาของฉินจ้าน ฉินอวี่จึงใอย่างมาก!!
เผาผลาญฐานการฝึกฝน? สังหารผู้ฝึกตนระดับสูงสุดของขั้นเทียนชุ่ยขั้นที่สองด้วยระดับปราณเสถียรระดับกลาง?
นี่คือวิชาวิเศษที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้?
แม้ว่าฉินอวี่จะเคยอ่านตำราในหอตำราสำนักเทียนฉีมา แต่เขาก็ไม่เคยเห็นวิชาวิเศษที่แปลกประหลาดและทรงพลังเช่นนี้มาก่อน!
อย่างไรก็ตาม ระดับฝึกตนยิ่งสูง ช่องว่างระหว่างชั้นยิ่งมากขึ้น เช่นเดียวกับที่เขาซึ่งอยู่ขั้นยุทธ์ระดับหกได้ใช้วิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรตในการต่อสู้กับชุยซั่วในขั้นปราณเสถียรระดับต้น แต่เขายังไม่สามารถทำได้ถึงขั้นเดียวกับการสังหารผู้ฝึกตนระดับสูงสุดของขั้นเทียนชุ่ยขั้นที่สองด้วยขั้นปราณเสถียรระดับกลางแน่นอน แม้ว่าจะใช้วิชาปีศาจคลั่งหกปริวรรตก็นับว่ายากที่จะทำได้!!
“และครั้งนั้นเช่นกัน ที่แม่ของเ้าได้ช่วยชีวิตของชุยหงไว้ และชุยหงก็ได้รู้ว่าแม่ของเ้าเป็คนของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง และนี่คือเหตุผลที่ชุยหงแอบสนับสนุนข้าอย่างลับๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อย่างที่เ้าพูดมานั้นล่ะ เขา้าจะเข้าสู่สายของสำนักยุทธ์ว่าจ้ง!”
“หลังจากเสร็จสิ้นการรบครั้งนั้น ข้าและแม่ของเ้าก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาสองสามปี ชุยหงและชุยหลิวก็ไม่กล้ารบกวนพวกเรา และใน่เวลานั้นเอง แม่ของเ้าก็ให้กำเนิดเ้าและเสวี่ยเอ๋อ แต่หลังจากเสวี่ยเอ๋อคลอดออกมา แม่ของเ้าก็จากไปอย่างไร้ร่องรอย แม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ข้ายังเชื่อมั่นว่าแม่ของเ้ายังไม่ตาย และยังคิดจะตามหาแม่ของเ้า”
“แต่ความจริงที่ทำให้ข้าต้องอยู่ที่นี่ ประการแรกคือพวกเ้าสองคนยังเด็กอยู่ และประการที่สองเป็เพราะความเร็วในการฝึกฝนครั้งใหม่กลับช้ามากขึ้น หลังจากที่สูญเสียฐานระดับฝึกตนไป หลายปีมานี้ข้าหมกมุ่นอยู่กับการค้า และข้า้าทุ่มเททรัพยากรอย่างบ้าคลั่งเพื่อจะยกระดับการฝึกฝนให้รวดเร็วขึ้น แต่กลับไม่มีประโยชน์เลย แต่ก็ยังดีที่มีสิ่งให้ข้าพอจะได้ดีใจ นั่นคือ แม้ว่าระดับการฝึกฝนจะค่อยๆ ก้าวหน้า แต่ทุกครั้งที่ระดับเปลี่ยนแปลงไป พละกำลังก็ดูเหมือนจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นด้วย”
“แม้ว่าตอนนี้ข้าจะอยู่ในขั้นยุทธ์ระดับเก้า แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นขั้นปราณเสถียรโดยทั่วไปอยู่ในสายตาเลย อีกอย่าง ข้ายังเปิดจุดพลังจุดอื่นที่นอกเหนือจากจุดตันเถียนไว้ด้วย” พูดจบ ฉินจ้านก็ชำเลืองมองฉินอวี่และยื่นนิ้วออกมา ชี้ไปยังจุดระหว่างคิ้วของฉินอวี่
“ทะเลทุกข์?” ฉินอวี่ใมากอยู่ในใจและพูดขึ้นเบาๆ
“เ้ารู้ได้อย่างไรว่าจุดนั้นเรียกว่าทะเลทุกข์?” ฉินจ้านมองไปที่ฉินอวี่ด้วยความประหลาดใจ เขาจะต้องอ่านตำราโบราณถึงหลายเล่มจึงจะรู้ว่าจุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วนั้นถูกเรียกว่าทะเลทุกข์
เขาไม่รู้ว่าฉินอวี่ไม่เพียงแต่ใกับสิ่งนี้ แต่เขายิ่งใมากขึ้นกับวิชาวิเศษในการฝึกตนของฉินจ้าน เขากำลังรู้สึกอย่างคลุมเครือว่า วิชาการฝึกของฉินจ้านนั้นมีความคล้ายคลึงกับวิชาชนิดหนึ่งที่มีอธิบายไว้ในตำราโบราณของหอตำราสำนักเทียนฉีอย่างมาก
เมื่อเห็นความเงียบของฉินอวี่ ฉินจ้านก็เปลี่ยนเื่ไปเป็เื่มารดาของฉินอวี่อีกครั้ง จากนั้นฉินจ้านจึงพูดขึ้น หลังจากหายใจออกยาวๆ “ความเป็มาของแม่เ้าไม่ธรรมดา นางจงใจจะปิดบังข้า หลายปีมานี้ ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจเื่ที่มาของนาง ข้ารู้เพียงว่านางเป็ศิษย์ของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง แต่ข้าเคยสอบถามมาว่า แม่ของเ้าเป็ศิษย์ของสำนักยุทธ์ว่านจ้งหรือไม่ จึงได้คำตอบว่านางคือสาวรับใช้ของบุตรสาวคนหนึ่งของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง แต่ข้ายังรู้สึกอย่างเลือนรางว่าไม่น่าจะใช่ เพราะข้าเคยพบกับบุตรสาวของสำนักยุทธ์ว่านจ้งมาก่อน นางสุภาพต่อแม่ของเ้ามาก จึงไม่เหมือนว่าจะเป็สาวใช้ของนาง”
“ดังนั้น ข้าจึงเฝ้ารอมาโดยตลอด หลังจากที่เ้าและเสวี่ยเอ๋อได้เข้าสู่สำนักเซียน และหลังจากที่ระดับการฝึกฝนของข้าดีขึ้นกว่าที่เป็อยู่ ข้าจะออกไปตามหาแม่ของเ้า!” ฉินจ้านถอนหายใจ สิ่งเหล่านี้ติดค้างอยู่ในตัวเขา หลังจากอดทนมานานหลายปี เขาต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงและความทุกข์มากมาย ต้องพบเจอเื่ราวทางโลก แต่ท้ายที่สุด ก็ไม่อาจลบล้างความรักที่เขามีต่อแม่ของฉินอวี่ได้
ฉินอวี่จ้องไปทางฉินจ้าน เขารู้สึกว่าฉินจ้านเหมือนจะแก่ลงไปมาก และรู้สึกไม่สดชื่นในใจ แต่ฉินอวี่เริ่มมีเบาะแสอย่างเลือนรางเกี่ยวกับวิชาวิเศษที่ฉินจ้านใช้ฝึกฝน
เมื่อเห็นความเงียบของฉินอวี่ ฉินจ้านก็คิดว่าฉินอวี่ไม่สามารถยอมรับได้ในทันที หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดต่อว่า “ในห้าเดือนครึ่งนี้ข้าจะพยายามพัฒนาการฝึกฝนของเ้าให้ดีที่สุด เ้าไปพักผ่อนสักหน่อยเถอะ” ฉินจ้านลุกขึ้นยืนช้าๆ และจากไปอย่างเหน็ดเหนื่อย
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของฉินจ้านซึ่งกำลังจากไป จู่ๆ ฉินอวี่ก็นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาได้ จนแววตาแห่งความประหลาดใจและความใก็เผยผ่านดวงตาของเขาทันที
“พันค้อนสร้างกาย ร้อยหลอมบ่มจิต หรือมันคือ ‘ร้อยหลอม’ ?”
“จะเป็ไปได้อย่างไร?”