“ได้สิ” กู้เจิงตกลง ชุนหงรีบไปยกเก้าอี้มาให้คุณหนูของนางนั่ง
สองพี่น้องนั่งมองหน้ากัน แต่ไม่รู้จะพูดอะไรดี ั้แ่เล็กจนโต พวกนางไม่ได้สนิทกันขนาดที่จะมานั่งคุยกันแบบนี้
ได้แต่นั่งมองหน้ากับเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่ แล้วทั้งสองต่างก็หลุดหัวเราะคิกคักกันออกมา
“พี่ใหญ่ ถ้าเมื่อก่อนท่านเป็เหมือนเช่นตอนนี้ พวกเราคงได้สนิทกันแล้วเ้าค่ะ” กู้เหยาเริ่มรู้สึกดีๆ ต่อกู้เจิง
“นั่นสิ” กู้เจิงยิ้ม นางเองก็รู้สึกเช่นนั้น
กู้เหยาเอาถุงเงินที่ได้มาพลิกดูเล่น “คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะคิดลายปักน่ารักๆ แบบนี้ออกมาได้เ้าค่ะ”
กู้เจิงยิ้มน้อยๆ
“พี่ใหญ่ ท่านแม่กับพี่รอง รวมถึงพี่สามบอกให้ท่านมาเกลี้ยกล่อมข้าใช่หรือไม่เ้าคะ?”
“เปล่าสักหน่อย”
“พวกเขายุ่งอยู่กับงานแต่งของพี่สาม คงไม่มีเวลามาสนใจข้าหรอกเ้าค่ะ”
กู้เจิงยังคงยิ้ม นางจะไม่พูดถึงเื่ของเรือนหลัก ไม่ว่าความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวของเรือนหลักจะวุ่นวายเพียงใด แต่ก็ย่อมดีกว่าความสัมพันธ์ที่มีกับนาง ถ้านางพูดดีก็จะถือเป็สิ่งที่ควร แต่ถ้าพูดไม่ดีก็จะเป็การยุแยงตะแคงรั่ว
“ข้าก็แค่โมโหแทนพี่สาม จึงอยากจะด่าคนพวกนั้น แต่ไม่รู้จะไปด่าได้ยังไง และในเรือนก็มีเพียงหวังซู่เหนียงที่รับรู้เื่ราว ข้าจะไปด่ากับคนอื่นก็ไม่ได้เ้าค่ะ”
“ท่านแม่ลงโทษ ก็ทำเพื่อเ้าด้วยเหมือนกัน”
“ข้าเข้าใจเ้าค่ะ แต่ข้าไม่อยากใช้ชีวิตเหมือนท่านแม่กับพี่สาม" กู้เหยามองพี่ใหญ่ของนางแล้วถาม “พี่ใหญ่คิดอย่างไรกับเื่ของข้าเ้าคะ?”
ถามนางหรือ? กู้เจิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ที่จริงข้าอิจฉาเ้ามาก”
“อิจฉาข้าที่เป็ลูกสาวของฮูหยินใหญ่หรือ?”
“ใช่แล้ว เ้ามีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะทำอะไรล้วนมีท่านพ่อท่านแม่คอยปกป้อง แต่ข้าหากทำอะไรผิดไป ซู่เหนียงของข้าก็คงไม่สามารถปกป้องข้าได้”
กู้เหยานิ่งอึ้งไป คิดไปคิดมาก็เป็เช่นนั้นจริงๆ
กู้เจิงกล่าวต่อ “น้องสี่ เ้าเคยคิดบ้างไหมว่า หากวันหนึ่งท่านพ่อท่านแม่แก่เฒ่าแล้ว พวกเขาไม่อาจปกป้องดูแลเ้าได้แล้วเ้าจะทำยังไง?”
กู้เหยาไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อน นางตอบโดยทันทีว่า “ก็ยังมีพี่รองกับพี่สามไม่ใช่หรือเ้าคะ?”
“พี่รองของเ้าต้องแต่งงานออกไปมีครอบครัวเป็ของตัวเอง เกรงว่าคงจะอยู่ดูแลเ้าตลอดชีวิตไม่ได้ ส่วนพี่สามของเ้าก็จะกลายเป็พระชายาของตวนอ๋องแล้ว การเป็พระชายาต้องอยู่ในกฎของวังหลวง นางก็คงจะมาดูแลเ้าไม่ได้เหมือนกัน”
กู้เหยาอ้าปากค้าง นางไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงเื่พวกนี้เลยด้วยซ้ำ
กู้เจิงพูดต่อ “ตอนอยู่ที่บ้าน พ่อแม่จะเป็ผู้ปกป้องคุ้มครองดูแลเ้า แต่ต่อไปเ้าก็ต้องพึ่งพาตัวของเ้าเอง และในวันหนึ่งข้างหน้าเ้าก็ต้องกลายเป็คนที่ปกป้องคุ้มครองพ่อแม่ของเ้าหรือลูกของเ้าด้วยเหมือนกัน”
กู้เหยานิ่งคิดตามคำพูดของพี่สาว เมื่อก่อนนางไม่เคยคิดที่จะสนใจเื่พวกนี้เลย
“ข้าออกไปก่อนนะ” กู้เจิงกล่าวลา “วันนี้ที่เรือนวุ่นวายกับการจัดเตรียมงาน ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาดูว่า้าความช่วยเหลือหรือไม่?”
“พี่ใหญ่ ข้าจะไปด้วยกันกับท่านเ้าค่ะ”
“ได้ ข้าจะรอเ้า”
ภายในเรือนหลัก กู้หงหย่งและเว่ยซื่อ รวมถึงกู้เจิ้งชินกำลังยุ่งกับการจัดเตรียมสถานที่ พวกเขายุ่งกันจนไม่มีเวลาแม้แต่จะพักดื่มชาสักอึก โดยเฉพาะเว่ยซื่อที่ต้องคอยกำกับบ่าวรับใช้ให้ทำงานตามที่นาง้า
“พี่ใหญ่ น้องสี่?” กู้เจิ้งชินทักขึ้นเมื่อเห็นพี่ใหญ่และน้องสี่เดินเข้ามาด้วยกัน
“ท่านแม่” กู้เจิงคารวะนายหญิง
เมื่อเห็นบุตรสาวคนเล็ก เว่ยซื่อก็หมายจะตำหนิเสียงเย็น แต่บุตรสาวคนเล็กกลับวิ่งโผเข้ามาในอ้อมอกของนาง พร้อมส่งเสียงอู้อี้ว่า “ท่านแม่ ลูกผิดไปแล้ว ต่อไปลูกจะไม่ทำให้ท่านกับท่านพ่อเป็ห่วงอีกเ้าค่ะ”
เว่ยซื่อตกตะลึง กู้หงหย่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็มองบุตรสาวคนเล็กอย่างประหลาดใจ
“น้องรอง มีอะไรให้ข้าช่วยไหม?” กู้เจิงเดินไปถามกู้เจิ้งชิน
“มีขอรับ พี่ใหญ่ไปตรวจสอบตัวอักษร喜* ที่ต้องใช้แปะผนังกับข้าหน่อยสิขอรับ" กู้เจิ้งชินคิดว่ายามนี้น้องสาวกับท่านพ่อท่านแม่น่าจะมีอะไรอยากคุยกัน
(*แปลว่า ยินดี มักใช้ติดในงานมงคล)
“ได้สิ”
ระหว่างที่ช่วยตรวจดูแลความเรียบร้อยของสถานที่จัดงาน กู้เจิงกับน้องรองพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“บุตรชายภรรยาเอกของตระกูลเซี่ยกงเจวี๋ยช่วยพูดให้เ้าต่อหน้าองค์ชายสิบสองงั้นหรือ?” กู้เจิงประหลาดใจ อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็ถึงกงเจวี๋ยแห่งเยว่เฉิง ถึงแม้ในเยว่เฉิงจะมีป๋อเจวี๋ยมากมาย แต่กงเจวี๋ยกลับมีเพียงไม่กี่คน “เ้ากับกงเจวี๋ยน้อยคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันหรือไม่?”
กู้เจิ้งชินส่ายหัว “เคยพบหน้ากันหลายครั้ง แต่ไม่เคยติดต่อคบหากันมาก่อน ที่เขามาช่วยพูดให้ข้า ข้าก็แปลกใจเช่นกันขอรับ"
“แล้วความสัมพันธ์ระหว่างกงเจวี๋ยน้อยกับองค์ชายสิบสองเป็ยังไงบ้าง?”
“กงเจวี๋ยน้อยเข้าวังั้แ่เด็กเพื่อมาเป็เพื่อนร่วมเรียนกับองค์ชายสิบสองขอรับ”
กู้เจิงแปลกใจ “เช่นนั้นเ้าก็อาจจะได้เข้าวังไปเป็เพื่อนร่วมเรียนกับองค์ชายสิบสองด้วยก็ได้"
“สุดท้ายเื่นี้ยังต้องขึ้นอยู่กับฝ่าาขอรับ” กู้เจิ้งชินตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก
วันนี้นางได้บอกพ่อแม่สามีไว้แล้วว่าจะอยู่กินข้าวเย็นที่จวนสกุลกู้ พอเสิ่นเยี่ยนเลิกงานเขาจะมารับและพานางกลับบ้านด้วยกัน
นางกับน้องรองช่วยกันตรวจสอบการจัดแต่งเรือนทั้งหมดแล้วว่าไม่มีอะไรตกหล่น กู้เจิงเลยจะขอตัวไปที่เรือนของซู่เหนียง แต่น้องรองกลับบอกนางว่า ตอนนี้ซู่เหนียงน่าจะกำลังกินข้าวเที่ยงอยู่ที่เรือนหลัก
“เ้าว่าอะไรนะ?" กู้เจิงคิดว่าตัวเองหูฝาดไป
“เมื่อเช้าท่านแม่เรียกให้ซู่เหนียงมากินข้าวกลางวันด้วยกันก่อนที่น้องสามจะออกเรือน ทั้งครอบครัวควรจะร่วมกินข้าวด้วยกันขอรับ เดิมทีตั้งใจจะไปเชิญพี่ใหญ่และท่านพี่เขยใหญ่ด้วย แต่ไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะมาช่วยแต่เช้าขอรับ”
กู้เจิงพยักหน้ารับรู้ นางยังแปลกใจอยู่บ้าง เพราะอย่างไรเสียนายหญิงก็เกลียดชังซู่เหนียงถึงปานนั้น
“ขอพี่ใหญ่อย่าได้สนใจเื่ในอดีต ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็ครอบครัวเดียวกัน อันที่จริงความสัมพันธ์ในจวนของเราดีกว่าที่จวนอื่นมากนะขอรับ” กู้เจิ้งชินรีบบอกกู้เจิง
กู้เจิงเองก็เห็นพ้องต้องกันในจุดนี้
ทั้งสองเดินพูดคุยกันมาตลอดทางจนมาถึงเรือนหลัก กู้เจิงเห็นซู่เหนียงกำลังกินข้าวอยู่จริงๆ วันนี้นางสวมเสื้อผ้าเป็มงคล ดูมีชีวิตชีวาเป็พิเศษ เวลานี้นางกำลังพูดคุยหัวเราะกับนายหญิง แม้นายหญิงจะไม่สนใจนาง แต่นางก็ยังพูดต่อไม่หยุด
ความสามารถในการเอาตัวรอดของซู่เหนียงช่างเหมือนกับแมลงสาบ* จริงๆ ตอนนางแต่งงานออกไป ก็ยังกังวลอยู่ว่าหากซู่เหนียงยังทำตัวเหมือนเมื่อก่อนอีกจะทำอย่างไร? แต่จากที่เห็นในตอนนี้ นางก็ค่อนข้างจะวางใจในการเปลี่ยนแปลงของซุ่เหนียงแล้ว
(*มาจากฉายาที่คนจีนตั้งให้ว่า ตัวเล็กแต่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ จึงใช้เปรียบเปรยว่าตายยากหรืออึดมาก)
“ซู่เหนียงเ้าคะ” กู้เจิงทักขึ้น
“ลูกสาวสุดที่รักของข้า” หวังซู่เหนียงเดินเข้ามาหากู้เจิงอย่างตื่นเต้น นางกอดกู้เจิงอย่างแแ่
คำเรียก ลูกสาวสุดที่รัก ทำให้ทุกคนในเรือนหลักต่างแอบมองไปที่พวกนาง ทุกคนล้วนคิดว่าที่แท้ในที่เร้นตาคน หวังซู่เหนียงกับคุณหนูใหญ่ก็อยู่ด้วยกันเช่นนี้
การกอดของซู่เหนียงทำให้กู้เจิงรู้สึกอบอุ่นในใจ ั้แ่ที่นางแต่งงานออกไป ทุกครั้งที่นางได้พบกับซู่เหนียง นางก็มักจะกอดซู่เหนียงให้มากขึ้น
ในความทรงจำของกู้เจิง นี่เป็ครั้งแรกที่ทุกคนในครอบครัวได้กินข้าวร่วมกัน
“พรุ่งนี้คุณหนูสามจะต้องออกเรือนแล้ว หลังจากนี้ก็จะอยู่ในฐานะพระชายา วันหน้าหากพวกเราพบหน้ากันก็ต้องทำความเคารพด้วยสินะ” หวังซู่เหนียงปิดปากหัวเราะ
“แม้ว่าข้าจะเป็พระชายา แต่พอข้ากลับมาที่บ้าน ข้าก็ยังคงเป็คุณหนูสามแห่งตระกูลกู้ สิ่งนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลเ้าค่ะ” กู้อิ๋งรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังจะแต่งงานในวันพรุ่งนี้ และต้องออกจากบ้านหลังนี้ไป
เว่ยซื่อมองบุตรสาวด้วยความพึงพอใจ “ใช่แล้ว ไม่ว่าเ้าจะไปที่ใด จะกลายเป็ใคร เ้าก็จะเป็ลูกสาวตัวน้อยของแม่เสมอ”
กู้เจิง กู้เจิ้งชิน และกู้เหยาต่างอมยิ้มบางๆ
“รีบกินข้าวกันเถอะ” กู้หงหย่งกล่าวขัดบรรยากาศอบอุ่นที่เกิดขึ้น “ถ้าไม่รีบกินตอนนี้ อาหารจะเย็นเอานะ”
“นายท่าน ข้าจะตักให้ท่านเองเ้าค่ะ” หวังซู่เหนียงใช้ตะเกียบคีบเนื้อใส่ชามให้กู้หงหย่งอย่างรวดเร็ว แล้วนางก็หันมาคีบหัวสิงโต* ใส่ชามให้นายหญิงเว่ยซื่อ “นายหญิง ท่านก็กินด้วยนะเ้าคะ”
(*อาหารขึ้นชื่อของจีนโดยเฉพาะมณฑลเจียงซู เป็หมูสับที่ปั้นเป็ก้อนกลมเหมือนลูกชิ้นตุ๋นกับผักกาดขาว)
“เ้าไม่ต้องคีบอาหารให้เราหรอก อีกอย่างข้าไม่ได้ชอบกินหัวสิงโต” เว่ยซื่อมองหวังซู่เหนียงด้วยสายตาเ็า
หวังซู่เหนียงไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย นางยิ้มใส่หน้านายหญิงเว่ยซื่อพลางกล่าวว่า “งั้นนายหญิงชอบกินอะไรเ้าคะ? ข้าจะได้คีบให้ท่าน”
เว่ยซื่อเหลือบตามองกู้เจิงที่อมยิ้มมองพวกนางอย่างขบขัน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าชอบกินผัก”
หวังซู่เหนียงรีบคีบผักใส่ในชามของเว่ยซื่ออย่างรวดเร็ว แล้วนางก็คีบหัวสิงโตชิ้นนั้นใส่ลงในชามของตัวเองพลางกินด้วยความเอร็ดอร่อย
“พี่ใหญ่ อย่ามัวกินแต่ข้าวเลย กินกับข้าวด้วยเ้าค่ะ” กู้อิ๋งก็คีบเนื้อให้กู้เจิงด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเรือนหลักดูเหมือนจะดีขึ้นมาก นางยิ้มอย่างมีความสุขพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณน้องสาม”