สายตาที่เยือกเย็นของฉู่ลี่กวาดมองไปยังฝูงชน จากนั้นจึงมองไปยังมู่อวิ๋นจิ่น
ติงเสี่ยนที่ยืนอยู่ข้างหลังฉู่ลี่ เข้าใจทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นาย จากนั้นก็นำเก้าอี้จากด้านหนึ่งมาวางไว้ข้างฉู่ลี่และมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูสาม โปรดนั่งลงเถอะ”
เมื่อเห็นเช่นนี้ เจิ้งไทเฮาก็ขมวดคิ้วและพูดอย่างไม่พอใจว่า “ลี่เอ๋อร์ เื่นี้เกี่ยวกับชีวิตคน มันมีความสำคัญอย่างยิ่ง เ้าจะทำตามอำเภอใจมิได้”
“ไม่เห็นมีอะไรเลย ในตอนนี้จะหาหลักฐานอะไรมายืนยันคงไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าฆาตกรคือจิ่นเอ๋อร์ หากถึงตอนที่พิสูจน์ความจริงออกมาได้แล้วมิใช่จิ่นเอ๋อร์ และหากนางยืนอยู่ที่นี่จนเหนื่อยเป็ลมพับลงไปจะทำอย่างไร?” ฉินไท่เฟยเหลือบมองเจิ้งไทเฮา จากนั้นส่งสายตาปริบๆ ให้กับมู่อวิ๋นจิ่นที่อยู่ยืนตรงกลาง
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าด้วยความเข้าใจ และเดินไปนั่งเก้าอี้อย่างไม่รอให้ใครบอก
หลังจากนั่งลงมู่อวิ๋นจิ่นก็หันหน้าไปมองที่ฉู่ลี่และเม้มปาก นางไม่คาดคิดว่าฉู่ลี่จะพูดแทนนาง เป็เื่เหนือความคาดหมายของนางเป็อย่างมาก
ในห้องสอบสวน มู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่นั่งข้างกัน ใบหน้าของทั้งสองที่ไม่มีใครเทียบได้ ดูเหมาะสมกันจนยากจะพรรณนา
ภายในใจของเจิ้งไทเฮาตอนนี้เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง แต่ไม่สามารถระบายออกมาได้ นางจึงเบนสายตามองไปทางซูปี้ชิง
เมื่อซูปี้ชิงสบตากับเจิ้งไทเฮา นางก็พูดเสียงดังขึ้นว่า “เื่นี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของลูกสาวทั้งสองของข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้ใต้เท้าเฉินสืบหาความจริงให้ได้ เพื่อคืนความบริสุทธิ์ให้อวิ๋นจิ่นกับหลิงจู”
เมื่อได้ยินซูปี้ชิงพูดดังนั้น เว่ยหานเฉียวก็รู้สึกไม่สบายใจในทันใดก่อนจะลอบมองซูปี้ชิง และพูดกับนางว่า“ลูกสาวของเ้าไม่มีความผิดอย่างนั้นเลยหรือ? ถ้าอย่างนั้นบุตรชายของข้าที่จบชีวิตอย่างไร้สาเหตุ ไม่คิดว่าิญญาเขาจะรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรมบ้างหรือ?”
“ใต้เท้าเฉิน ขอให้ตัดสินเื่นี้อย่างเป็ธรรมกับข้าด้วย” เว่ยหานเฉียวพูดพลางสะอึกสะอื้น
อัครเสนาบดีมู่ซึ่งขมวดคิ้วฟังการสอบสวนอยู่เงียบ ๆ ก็ลอบถอนหายใจ เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับบุตรทั้งสามของตระกูลมูทำให้ตระกูลมู่กลายเป็ขี้ปากชาวบ้านในชั่วพริบตา ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ความจริงว่าใครคือฆาตกรที่แท้จริงกันแน่
เฉินพู่ก็หมดหนทางเช่นกัน เมื่อนึกถึงคดียาพิษที่แปลกประหลาดในจวนอัครเสนาบดีมู่เมื่อไม่นานมานี้กับสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นก็อดที่ทอดถอนใจไม่ได้ว่าจวนนี้ไม่มีความสงบเลยจริง ๆ
“นักชันสูตรศพเพิ่งบอกว่าอี้หยางถูกรัดคอจนตายด้วยเส้นด้ายมิใช่หรือ ทำไมเราไม่เริ่มตรวจสอบจากด้านนี้ก่อน อย่างไรเสียในฐานะพี่ชาย ข้าไม่เชื่อว่าอวิ๋นจิ่นที่อ่อนแอจะสามารถฆ่าชายที่ตัวสูงตั้งเจ็ดฉื่อลงได้” มู่อวิ๋นหานที่นิ่งเงียบเป็เวลานานก็พูดขึ้นมาในที่สุด
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่อวิ๋นหาน เฉินพู่ก็พยักหน้าและมองไปที่นักชันสูตรศพ “ท่านทั้งสอง จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายปีของพวกท่าน พอจะทราบหรือไม่ว่าเส้นด้ายนี้เป็ประเภทไหนกัน”
“ข้าเกรงว่าเราต้องรวบรวมเส้นด้ายทุกชนิดมาเปรียบเทียบกันทีละเส้นจึงจะสรุปผลได้” นักชันสูตรศพคนหนึ่งกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินพู่ก็พยักหน้าเข้าใจ
จากนั้นมินานมาก ทหารได้ไปรวบรวมเส้นด้ายมากว่าสิบประเภท นักชันสูตรศพทั้งสองยื่นมือไปรับมา แล้วนำไปเปรียบเทียบกับาแที่คอของศพ
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งไขว่ห้างพิงเก้าอี้และกอดอกโดยไม่มีวี่แววของความหวาดกลัวฉายออกมาจากดวงตาแม้แต่น้อย ทั้งยังมองไปในทิศทางของซูปี้ชิง
สตรีที่จิตใจโเี้อำมหิตยอมทำทุกวิถีทาง แม้แต่พรากชีวิตของคนอื่นไปก็ทำได้ลงคอ
ซูปี้ชิงหันมองมู่อวิ๋นจิ่นและสบตากันชั่วขณะ ซูปี้ชิงแสดงความรู้สึกประหนึ่งถือไพ่เหนือกว่า
คราวนี้แหละมู่อวิ๋นจิ่น… ต่อให้เ้ามีปีกโบยบินได้ก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้แน่นอน!
...
ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วที่นักชันสูตรศพทั้งสองยังคงศึกษาาแเพื่อหาประเภทเส้นด้ายที่ใช้สังหารมู่อี้หยาง ประกอบกับอากาศอบอ้าวที่พลอยทำให้ทุกคนในห้องสอบสวนแทบจะหมดความอดทน
ในระหว่างที่บรรยากาศเงียบงัน มีทหารสองนายหิ้วแขนชายวัยกลางคนซ้ายขวา รีบเร่งเข้ามาในศาลต้าหลี่
“เรียนท่านใต้เท้า ชายผู้นี้ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ข้างนอกมานานแล้ว เดินเข้าไปสอบถามกลับละล่ำละลักไม่พูดไม่จา อีกอย่างท่าทางดูมีพิรุธจึงจับตัวเข้ามาที่นี่ขอรับ”
หลังจากพูดจบ ทุกคนก็มองไปที่ชายวัยกลางคนที่ถูกคุมตัวมา
เมื่อเห็นผู้คนในห้องสอบสวน ชายวัยกลางคนคุกเข่าลงพร้อมกับตบหน้าตนเอง ดวงตาของเขากวาดไปรอบๆ ก่อนจะหยุดลงที่มู่อวิ๋นจิ่น แล้วรีบหลบตาหันไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
เกือบจะทุกคนที่เห็นฉากนี้อย่างชัดเจน
“เ้าเป็ใคร ทำไมถึงแอบอยู่นอกศาลต้าหลี่” เฉินพู่มองชายวัยกลางคนและถามเสียงดัง
เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินดังนั้น ร่างกายของเขาก็สั่นเล็กน้อยก่อนจะก้มหัวลงพูดว่า “ข้าน้อยแค่ผ่านมาเฉยๆ… ผ่านมาเฉยๆ เท่านั้นขอรับ”
“แค่ผ่านมางั้นหรือ?” เจิ้งไทเฮาพูดขึ้น “แล้วทำไมเ้าต้องทำตัวเหมือนกินปูนร้อนท้องด้วย?”
“เจิ้งไทเฮา ที่นี่คือศาลต้าหลี่ ในเื่ของการพิจารณาคดี ท่านซึ่งเป็คนในวังควรหยุดขัดขวางคดีนี้ได้แล้ว!” ฉินไท่เฟยทนไม่ได้อีกต่อไป
เมื่อได้ยินดังนั้น เจิ้งไทเฮาก็กลอกตาไปที่ฉินไท่เฟย ต่างฝ่ายก็ต่างแสดงท่าทีเยาะเย้ยต่อกัน “พวกเราก็ล้วนพอๆ กัน ไม่มีใครแตกต่างกัน”
เฉินพู่รู้สึกละอายใจอีกครั้ง และเมื่อกำลังจะถามคำถามอื่น ก็เห็นว่าชายวัยกลางคนดูเหมือนจะตัวสั่นสะท้านรุนแรง ขณะที่คุกเข่าอยู่ชายผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมองมู่อวิ๋นจิ่นเป็ครั้งคราว
มันอาจจะเป็...
“ค้นตัวเขา!” เฉินพู่พูดทันที
หลังจากพูดจบ ทหารหลายคนก็วิ่งเข้ามาผลักชายวัยกลางคนลงกับพื้น และเริ่มตรวจค้นร่างกายของเขาทุกซอกทุกมุม จากนั้นไม่นานพวกเขาก็พบเส้นด้ายสีดำม้วนหนึ่งเหน็บอยู่ในเข็มขัดของชายคนดังกล่าว
เมื่อเห็นว่าพบเส้นด้ายดำ ทุกคนก็ต่างพากันมองไปที่ชายผู้นั้นเป็ตาเดียว
นักชันสูตรศพรีบวิ่งเข้ามาพิจารณา ผลคือเส้นด้ายดำมีกลิ่นเหม็นลอยโชยจาง ๆ สีหน้าของนักชันสูตรศพนิ่งไปชั่วขณะก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ไปตักน้ำสะอาดมาชามหนึ่ง”
สักพักก็มีทหารนำชามใส่น้ำเข้ามา
นักชันสูตรศพรีบรับน้ำสะอาดมา แล้วจุ่มเส้นด้ายดำลงไป เขย่าเบาๆ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เห็นคราบเืจาง ๆ ไหลซึมออกมา น้ำในชามก็เปลี่ยนเป็สีแดงเข้ม
“เ้าฆ่าลูกชายข้า! ไอ้ฆาตกร ข้าจะสับเ้าเป็ชิ้นๆ เพื่อชดใช้ชีวิตให้แก่ลูกชายของข้า!” เว่ยหานเฉียวรีบเข้าไปทุบตีชายวัยกลางคนทันที
ชายวัยกลางคนคลุมศีรษะ และหลบหลีกเป็พัลวัน
ในเวลานี้ซูปี้ชิงก็เข้ามาทุบตีและดุด่าชายวัยกลางคน ละทิ้งภาพลักษณ์นายหญิงแห่งจวนอัครเสนาบดีมู่ไปโดยสิ้นเชิง “บอกข้ามา… ทำไมเ้าถึงต้องฆ่าบุตรชายของข้าด้วย?”
“ดูเหมือนว่าฆาตกรจะมาที่ประตูของเราด้วยตัวเอง ตามกฎหมายของอาณาจักรซีหยวน การฆาตกรรมและการลอบวางเพลิงทั้งหมดจะถูกลงโทษด้วยการตัดศีรษะครึ่งหนึ่งเพื่อเป็ตัวอย่างแก่ผู้อื่น!” องค์หญิงห้ากล่าวเย้ยหยัน
เมื่อได้ยินว่าต้องถูกตัดศีรษะ ชายวัยกลางคนพลันอ้าปากค้าง แล้วคำนับเอาหน้าผากกระแทกพื้นอย่างบ้าคลั่งให้กับเฉินพู่ “ข้าน้อยเลอะเลือนไปแล้ว ที่รับจ้างทำงานเอาเงิน”
“รับเงินจากคนอื่น ใครกันที่้าให้เ้าทำร้ายลูกชายของข้า” เว่ยหานเฉียวกล่าวทั้งน้ำตาคลอเบ้า
ชายวัยกลางคนนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะเลียริมฝีปาก สายตาของเขาเลิ่กลั่กไม่หยุดนิ่งและไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ
“ไม่พูดอย่างนั้นหรือ เอาเลย! ใครก็ได้ลากมันลงมาแล้วผ่าครึ่งศีรษะซะ!” หญิงองค์ห้าพูดต่อ
หลังจากพูดจบ ทหารหลายคนก็เข้ามา และกำลังจะลากชายวัยกลางคนออกไป
“ไม่ ไม่ ไม่ ข้ายอมพูดแล้ว!” ชายวัยกลางคนตัวสั่นเทา จากนั้นหันไปด้านข้างและชี้ไปที่มู่อวิ๋นจิ่น “ใช่แล้ว เป็คุณหนูสามขอให้ข้าทำสิ่งนี้”
...
มู่อวิ๋นจิ่นรู้ว่าชายวัยกลางคนไม่ได้ปรากฏตัวนอกศาลต้าหลี่โดยบังเอิญ เนื่องจากชายผู้นี้จ้องมองมาที่นางอย่างมีเลศนัยทันทีที่เข้าประตู
และในทันทีที่ด้ายเปื้อนเืปรากฏขึ้น มู่อวิ๋นจิ่นรู้ได้ทันทีว่าคำพูดจากปากชายวัยกลางคนพิสูจน์สิ่งที่นางพูดว่าเป็ความจริงทั้งสิ้น
“คุณหนูสาม? เ้ามีหลักฐานว่าอวิ๋นจิ่นยุยงเ้าหรือเปล่า” เว่ยหานเฉียวประหลาดใจ แม้ว่านางจะสงสัยว่าเป็มู่อวิ๋นจิ่น ทว่าในตอนนี้มู่อวิ๋นจิ่นเอาแต่พูดว่านาง้าหลักฐาน แต่ยังหาหลักฐานมัดตัวนางมามิได้อยู่ดี
ชายวัยกลางคนน้ำตาไหลเมื่อได้ยินคำพูดนั้นก่อนจะเช็ดน้ำตาแล้วเริ่มพูดต่อ “ข้าน้อยชื่อตู้ซาน ที่บ้านมีคนแก่และเด็ก ข้าเป็คนหาเลี้ยงครอบครัว! แต่ข้าน้อยด้อยความรู้และไม่มีความสามารถ เล่นแต่พนันั้แ่เช้ายันค่ำจนเป็หนี้ก้อนใหญ่ ครั้งก่อนหน้านี้ท่านแม่ของข้าน้อยเกิดป่วย ข้าน้อยพยายามคิดหาเงินเพื่อรักษา จึงไปเล่นพนันเพื่อหวังพลิกชีวิต กลับนึกไม่ถึงว่าถูกคุณชายรองชนะตลอดเลยขอรับ”
“ต่อมาข้าขอร้องคุณชายรองให้ปล่อยข้าไป และขอเงินไว้ให้แม่ข้าไปหาหมอ คุณชายรองไม่เพียงปฏิเสธ แต่ยังสั่งให้คนทุบตีข้าด้วย ไม่กี่วันต่อมาแม่ของข้าก็เสียชีวิตด้วยอาการป่วย ข้าจึงโกรธแค้นคุณชายรองและทนแบกรับความแค้นไว้ในใจ ข้าอยากจะหาโอกาสสอนบทเรียนดี ๆ ให้กับคุณชายรองอยู่เสมอ...”
“เมื่อไม่กี่วันก่อน คุณหนูสามสกุลมู่มาหาข้าน้อย และให้สัญญาว่าตราบใดที่ข้าน้อยฆ่าคุณชายรองได้สำเร็จ นางจะให้เงินก้อนโต และประกันความเจริญรุ่งเรืองของข้าน้อยไปตลอดชีวิตข้าน้อยเลอะเลือนและเสียสติจึง...”
ชายวัยกลางคนไม่พูดต่อ หลังจากเช็ดน้ำตาแล้วเขาก็ร้องไห้ “ปล่อยข้าไป คุณหนูสามสั่งให้ข้าทำทั้งหมดนี้ นางเป็คนบงการ! ข้าแค่ตาบอดเพราะเงินโปรดยกโทษให้ข้าด้วยเถอะขอรับ!”
สิ้นเสียงนั้นแล้ว ชายวัยกลางคนกลับสะอึกจนพูดมิออกก่อนจะถอดรองเท้า และหยิบปิ่นหยกออกจากถุงเท้าด้านใน “คุณหนูสามให้สิ่งนี้เป็ของมัดจำ หากทำเื่นี้สำเร็จ ข้าน้อยจะได้สุขสบายไปตลอดขอรับ”
...
หลังจากเห็นปิ่นปักผมหยก มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย
ปิ่นปักผมอันนี้เป็ของนางจริง ๆ ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้ระวังตัวมากพอ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำมันหาย
ในห้องโถง หลังจากเห็นปิ่นปักผม คิ้วของฉินไท่เฟยก็ขมวดเข้าหากัน ราวกับว่าหัวใจของนางเต้นผิดจังหวะไปสองสามจังหวะก่อนจะมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นด้วยความไม่เชื่อ
‘เป็ไปได้หรือไม่ว่าข้าดูคนผิดไปจริงๆ?’
เจิ้งไทเฮาตะคอกอย่างเ็า “ปิ่นปักผมนี้ดูคุ้นๆ ฉินไท่เฟย นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฮ่องเต้ผู้ล่วงลับมอบให้เ้าในตอนนั้นหรือ”
นี่เป็ครั้งแรกที่เจิ้งไทเฮาทำเอาฉินไท่เฟยสะอึกจนพูดมิออก นางไม่มีอะไรจะพูด ทำได้เพียงกัดริมฝีปากและมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นด้วยความโกรธ “มู่อวิ๋นจิ่น เ้าควรอธิบายเื่นี้ให้ชัดเจน”
คนส่วนใหญ่ที่มีความลังเลใจเกี่ยวกับเื่นี้ในตอนแรก เมื่อเห็นปิ่นหยกนั้น ในใจก็ร้อยเรียงเื่ราวได้เกือบทั้งหมดแล้ว
มีพยานและหลักฐานทางวัตถุทั้งหมดคงจะเป็ความจริงแล้วที่คุณหนูสามสกุลมู่จะเป็ผู้อยู่เื้ัการฆาตกรรมในครั้งนี้
มู่อวิ๋นจิ่นที่ถูกจ้องมองด้วยสายตามากมาย จู่ ๆ ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ในชีวิตของนาง สิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือการถูกทำร้ายและถูกฆ่า
หากมู่อวิ๋นจิ่น้าฆ่าใครสักคน ทำไมนางต้องทำลับ ๆ ล่อ ๆ ด้วย และที่สำคัญยังยืมมือของคนอื่นอีก ความคิดที่จะจ้างวานฆาตกรเพื่อฆ่าใครสักคนเหมือนเป็การดูถูกนาง
ฉู่ลี่ชำเลืองมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น และหลังจากเห็นปิ่นหยก เขาก็เม้มริมฝีปากบางของตน ในขณะที่ขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนที่จะเกิดความคิดบางอย่างที่ส่งผ่านออกมาทางแววตา