ชายแก่ขายดอกไม้พยักหน้าแล้วพูดว่า “คุณชายสายตาของท่านนั้นดียิ่งนัก หมั่นถังหงเป็ของขึ้นชื่อของร้านข้า ราคาสูงมาก” แล้วมองไปที่หยางหนิง หยางหนิงไม่รอให้เขาพูด ยิ้มแล้วมองไปที่เสี่ยวเหยาแล้วพูดว่า “แล้วแม่นางเสี่ยวเหยาคิดว่าเ้าแห่งดอกไม้คือดอกอะไร?”
เสี่ยวเหยาเดินหยุดตรงดอกไม้กระถางหนึ่ง มองมันด้วยสายตาที่อ่อนโยน แล้วพูดว่า “เสี่ยวเหยารู้สึกว่าอวี้หลิงหลงก็ถือเป็ดอกไม้ชั้นดี”
“อ๋อ?” ชายชราขายดอกไม้ยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไมแม่นางถึงคิดว่าเป็มันล่ะ?”
หยางหนิงมองไปที่อวี้หลิงหลงมันมีสีขาวบริสุทธิ์ มันให้ความรู้สึกพร่างพราวเมื่อเทียบกับหมั่นถังหงแล้ว สีสันอาจเทียบไม่ได้เลย แต่ว่ามันเรียบง่าย สุขุมมีเสน่ห์
“อวี้หลิงหลงไม่มีสีสันแต่งแต้ม สวยใสบริสุทธิ์ หากพูดถึงความล้ำค่า อาจจะเทียบไม่ได้กับหมั่นถังหง” ขณะที่เสี่ยวเหยาพูดถึงเื่ของดอกไม้ สีหน้าท่าทางของนางเต็มไปด้วยความตั้งใจ “แต่ทว่าดอกไม้ก็เหมือนมนุษย์ ลักษณะนิสัยใจคอเหมือนมนุษย์ มันไม่เกี่ยวอะไรกับชาติกำเนิด ใสซื่อบริสุทธิ์ หรือใจร้อนดุดัน ทั้งหมดนี้มันมาจากจิตใต้สำนึกข้างใน มีเพียงแบบนี้ ถึงจะทำให้เห็นอะไรชัดเจนขึ้น” แล้วหันกลับมา มองไปที่หยางหนิง แล้วพูดต่อว่า “จิตใจบริสุทธิ์ ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความละมุนละม่อม ไม่มีความโลภ ถึงจะจัดการทุกอย่างได้อย่างยุติธรรม ปกครองเมืองด้วยความสงบสุข ก็เหมือน...เหมือนกับที่ซื่อจื่อทำในวันนี้ ที่ไม่ได้สนใจว่าตัวท่านเป็ใคร อีกทั้งไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายเป็ใคร ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่ยอมใคร ก็เหมือนกับอวี้หลิงหลงต้นนี้”
แม่นางนางนี้พูดจาดี หยางหนิงรู้สึกชื่นชมนางยิ่งนัก แต่ก็เพราะความงามของนาง เขาจึงแอบคิดว่าเสี่ยวเหยาดูใสสะอาด สวมเสื้อผ้าดูแล้วก็เหมือนคนทั่วๆ ไป แต่คำพูดคำจาเหมือนคนที่เล่าเรียนมา เปรียบเสมือนดอกไม้ที่ล้ำค่า มันดูเหนือกว่าหมั่นถังหงที่หยวนหรงบรรยายเมื่อครู่เสียอีก
เพราะคำพูดของเสี่ยวเหยา ฟังเข้าใจง่าย ไม่เหมือนหยวนหรงทีเอาแต่วิชาการมากเกินไป ตอนนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าเมื่อครู่นี้เขาพูดว่าอะไรกันแน่
ถึงแม้หยางหนิงจะรู้สึกดีใจ แต่ปากกลับพูดว่า “แม่นางเสี่ยวเหยาชมเกินไปแล้ว”
หยวนหรงส่ายหัวแล้วพูดว่า “แม่นางเสี่ยวเหยาพูดมาแบบนี้ ทำให้คนฟังรู้สึกเข้าใจยิ่งขึ้น ได้ฟังแบบนี้แล้ว หมั่นถังหงของข้าดูไร้ค่าไปเลย”
ชายชราขายดอกไม้ก็พูดชื่นชม “คำพูดของแม่นางช่างดีนัก มันทำให้มูลค่าของอวี้หลิงหลงเพิ่มสูงขึ้น” จากนั้นก็มองไปที่หยางหนิง ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ไม่ทราบว่าท่านคิดว่าดอกไม้ชนิดใดคือเ้าแห่งดอกไม้เล่า?”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ค่อยรู้เื่ดอกไม้เท่าไหร่นัก ไม่อยากจะขายขี้หน้า เ้าก็เลือกผู้ชนะจากพวกเขาสองคนนี้เถิด”
หยวนหรงหัวเราะแล้วพูดว่า “น้องหนิง เ้าไม่ได้คิด หรือว่าเ้าไม่กล้า? ที่นี่มีแค่พวกเราไม่กี่คนเอง ต่อให้เ้าพูดผิด หรือพูดมั่วมา ข้ารับรองว่าข้าจะไม่เอาไปพูดข้างนอกหรอกนะ”
หยางหนิงเห็นสีหน้าท่าทางเขาดูได้ใจยิ่งนัก ในใจก็แอบโมโห แล้วพูดว่า “หากจะให้หาเ้าแห่งดอกไม้ในที่นี้ ข้าหาไม่เจอจริงๆ”
“ซื่อจื่อท่านหมายความว่า ในที่นี้ไม่มีเ้าแห่งดอกไม้ในใจของท่านอย่างนั้นหรือ?” ชายชราขายดอกไม้รีบถาม “ขอถามท่านซื่อจื่อเ้าแห่งดอกไม้ในใจของท่านคือดอกอะไรหรือ?”
หยางหนิงหยุดคิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ดอกบัว!”
“ดอกบัว?” ชายชรากับหยวนหรงมองหน้ากัน หยวนหรงหลุดหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “น้องหนิงนี่เป็คนลึกซึ้งเสียจริง ปลายฤดูใบไม้ร่วงเดือนสิบ ข้ายังหาดอกบัวไม่เจอสักดอก แต่ทว่าในสระน้ำของสวนดอกไม้หลังบ้านข้า มีดอกบัวบานสะพรั่งทุกปี ถือเป็เื่ปรกติ จะว่าไปแล้ว น่าจะเป็ดอกไม้ที่ไม่มีราคามากที่สุดในจวนแล้ว” แล้วชี้ไปที่หมั่นถังหง “น้องหนิงรู้หรือไม่ว่าหมั่นถังหงกระถางนี้ มันพอที่จะให้เ้าแลกเอาดอกบัวในจวนของถนนผีพาทั้งหมดมาให้เ้าได้เลยนะ?”
ในคำพูดของเขา ดูถูกดอกบัวมากๆ
ชายชราขายดอกไม้ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ซื่อจื่อท่านก็เป็คนที่ชอบดอกบัวนี่เอง แต่ว่าร้านขายดอกไม้บนถนนเส้นนี้ จะหาร้านที่ขายดอกบัวก็ยากเสียจริง แต่ว่าจะเอาดอกไม้มาตีเป็ราคาก็คงมิได้ ซื่อจื่อชอบดอกบัว คิดว่าคงมีเหตุผล”
หยางหนิงฟังคำพูดของชายชราขายดอกไม้ที่ดูเหมือนจะมีมารยาท แต่ในคำพูดเ่าั้ก็แสดงถึงการดูถูกดอกบัวอยู่ เขาก็เลยขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
เขาเองก็ไม่ได้เถียง เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมาว่า “ดอกบัวถึงแม้จะเกิดจากโคลนตมแต่ก็กลับไม่เปื้อนโคลนสักนิด ผุดตัวผ่านน้ำแต่ยังคงความสวยงามเอาไว้ ไม่มีกิ่งก้านไม่มีเถาวัลย์ กลิ่นหอมสดชื่น ชื่นชมได้จากที่ไกลๆ แต่ไม่อาจนำมาชื่นชมได้” เขาพูดถึงตรงนี้ ก็เพิ่มน้ำเสียงให้ดังขึ้น “ดอกเบญจมาศ เป็ดอกไม้ของผู้สันโดษ โบตั๋น เป็ดอกไม้ของผู้ร่ำรวย ดอกบัว เป็ดอกไม้ของผู้ดี!”
หยวนหรงเกิดในตระกูลบัณฑิต เื่ความรู้ด้านวรรณกรรมถือว่าไม่แย่ เมื่อฟังหยางหนิงท่องกลอนออกมา ก็ตะลึงไป เพราะมันเหนือความคาดหมายของเขามากๆ
สายตาที่แวววาวของเสี่ยวเหยาเต็มไปด้วยความตะลึง คิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาว่า “เกิดจากโคลนแต่ไม่เปื้อนโคลน ผุดตัวผ่านน้ำแต่ก็ยังคงความสวยงาม...ชื่นชมได้จากที่ไกลๆ แต่ไม่อาจนำมาชื่นชมได้...!” มันช่างคมคายเสียจริง “ซื่อจื่อ นี่...นี่คือเหตุผลที่ท่านชอบดอกบัวอย่างนั้นหรือ?”
หยางหนิงพยักหน้าอย่างนิ่งๆ ท่าทางของเขาดูสง่างาม
ทันใดนั้นก็ได้ยินหยวนหรงพูดขึ้นมาว่า “ล้ำเลิศ” จากนั้นเขาก็จับแขนของหยางหนิง แล้วถามว่า “น้องหนิง บทกลอนนี้ของผู้ใดกัน? ช่างเขียนคมคายยิ่งนัก ที่แท้เ้าก็รู้จักคนเช่นนี้ด้วย แนะนำให้ข้ารู้จักบ้างจะได้หรือไม่?” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ความรู้ข้าก็ไม่ได้แย่ แต่ว่ากลอนที่แต่งออกมาได้หลายปีแล้ว เมื่อเทียบกันแล้ว ยังถือว่าด้อยนัก...!” เหมือนว่าเขานึกขึ้นมาได้ว่าเสี่ยวเหยาอยู่ข้างๆ ก็เลยหยุดพูดไป
หยางหนิงแอบคิดในใจว่าเ้านี่รู้เยอะเสียจริง แต่ว่าเหมือนเขาจะรู้ว่าเป็กลอนจาก “อ้ายเหลียนซัว” ไม่ใช่เขาแต่งเอง แสดงว่าเขากำลังดูถูกตัวเขาอยู่ ก็เลยมองไปแล้วย้อนถามกลับไปว่า “เ้าหมายความว่า ข้าแต่งกลอนเองไม่ได้อย่างนั้นรึ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” หยวนหรงพูดอย่างมั่นใจ “เ้ามีอะไรบ้าง ข้าจะไม่รู้เชียวหรือ? นี่ไม่ใช่คำที่ใครจะสามารถแต่งออกมาได้ เกิดจากโคลนแต่ไม่เปื้อนโคลน ผุดตัวผ่านน้ำแต่ก็ยังคงความสวยงามเอาไว้ แค่สองประโยคนี้ ก็สามารถเผยแพร่ไปได้อีกร้อยปีเชียวนะ”
หยางหนิงแอบคิดในใจว่าความรู้เ้าก็ไม่ธรรมดาเลย สองประโยคนี้ไม่ได้แค่เผยแพร่ไปกว่าร้อยปี จากนั้นเขาก็สะบัดแขนที่หยวนหรงจับอยู่ออกแล้วพูดว่า “เ้าจะบอกว่าใครเป็คนแต่งก็แล้วแต่เ้า ออกจากที่นี่ไปแล้ว เ้าจะเอาไปอวดว่าเ้าเป็คนแต่งเอง ข้าก็จะไม่ว่าเ้า”
หยวนหรงคิดในใจว่าพูดแบบนี้มีประโยชน์อันใดกัน ที่นี่มีคนเห็นว่าออกมาจากปากเ้า จะกลายมาเป็กลอนที่เด็กร้องเล่นกันหรืออย่างไร
“คำพูดที่ออกมาจากปากท่านซื่อจื่อช่างคมคายยิ่งนัก นับถือนับถือ” ชายชราขายดอกบัวถึงแม้จะมีความรู้ไม่มาก แต่ว่าเห็นปฏิกิริยาของหยวนหรงกับเสี่ยวเหยาแล้ว ก็รู้ว่านี่จะต้องเป็กลอนที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน จากนั้นก็ยิ้มให้กับหยวนหรงแล้วพูดว่า “คุณชายคิดว่าดอกไม้ของใครควรจะเป็เ้าแห่งดอกไม้ในวันนี้?”
จริงๆ แล้วชายชราขายดอกไม้เป็พ่อค้าที่ฉลาดมาก เขาเชิญหยางหนิงเข้าร้านมา จริงๆ แล้วก็เพื่อโฆษณาให้กับร้านของตัวเอง
หยางหนิงช่วยคนที่ถนน ปะทะกับสู่อ๋องซื่อจื่อ ชาวบ้านต่างเห็นกันหมด อีกอย่างเื่แบบนี้ไม่นานก็กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ชื่อเสียงของหยางหนิงจะต้องเป็ที่รู้จักเพิ่มขึ้นไปอีก
ถึงเวลานั้นก็แค่กระจายข่าวออกไปว่า จิ่นอีโฮ่วซื่อจื่อเคยมาซื้อดอกไม้ร้านเขา ร้านของเขาก็จะได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ จากนั้นเป็ต้นมา เขาก็ไม่เคยคิดที่จะเอาความคิดของตัวเองไปตัดสินอยู่แล้วแต่แรกว่าผู้ใดคือผู้ชนะ เพราะฐานะของจิ่นอีโฮ่วนั้นสูงศักดิ์ ส่วนหยวนหรงเองก็ดูท่าจะมาจากตระกูลชั้นสูง หากตัวเขาตัดสินแพ้ชนะด้วยตนเอง อาจจะทำให้ผิดใจกับใครก็ได้
หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “เห็นแก่กลอนของเ้า คนที่ชนะก็ให้เ้าแล้วกัน” เขามองไปที่เสี่ยวเหยา แล้วถามว่า “แม่นางมีความเห็นว่าอย่างไร?”
เสี่ยวเหยาคิดแค่อยากจะมาชมดอกไม้เท่านั้น เื่แพ้ชนะนางไม่ได้สนใจ อีกอย่างบทกลอนของหยางหนิงนั้นทำให้คนตะลึง คำพูดสั้นๆ เพียงไม่กี่คำ แต่สามารถยกระดับดอกบัวให้ดูมีคุณค่าขึ้นมาได้ ในใจนางก็แอบนับถือ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ดอกบัวของซื่อจื่อ เป็เ้าแห่งดอกไม้แน่นอน”
หยางหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าก็พูดจาไปเรื่อย พวกเ้าอย่าเอาจริงเอาจังนักเลย”
“หากว่าซื่อจื่อพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งยอดเยี่ยมเสียจริง” เสี่ยวเหยาพูดไปยิ้มไป “ขนาดพูดโดยไม่ได้ตั้งใจยังคมคายขนาดนี้ ถ้าหากตั้งใจแล้วละก็บทกลอนไม่ยิ่งน่าฟังไปกว่านี้หรือ? เกิดจากโคลนแต่ไม่เปื้อนโคลน ผุดตัวผ่านน้ำแต่ก็ยังคงความสวยงาม บทกลอนที่ดีแบบนี้ใช่ว่าจะได้ฟังได้ยินได้อยู่ตลอด”
หยางหนิงจับไปที่ศีรษะของตัวเองแล้วพูดว่า “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ คนที่จะทำได้แบบนี้ก็มีอยู่ไม่มาก”
หยวนหรงยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “น้องหนิงพูดถูก ข้าว่าบนแม่น้ำฉินไหว ไม่ว่าจะเรือสำราญลำไหน ผู้คนที่เกิดบนโคลนตมก็มีมากเหมือนขนวัว น้อยนักที่จะไม่เปื้อนโคลน เกิดจากโคลนแต่ไม่เปื้อนโคลน ผุดตัวผ่านน้ำแต่ก็ยังความสวยงาม พูดง่ายแต่จะทำจริงๆ คงยาก”
“ก็เพราะว่ามันยาก ก็เลยเป็ของล้ำค่า” หยางหนิงพูดว่า “สถานบันเทิงบนเรือสำราญลำนั้น จะมีสักกี่คนที่สะอาดเชียว” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเองก็รู้สึกได้ว่าไม่ควรจะวิจารณ์เื่นี้ต่อหน้าเสี่ยวเหยา กำลังจะเปลี่ยนประเด็น กลับเห็นว่าสีหน้าของเสี่ยวเหยานั้นซีดเซียว จากนั้นนางก็เดินจากไป
“แม่นางเสี่ยวเหยา เ้า...!” ทุกคนกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวเหยาบทจะไปก็ไป เสี่ยวเหยาเดินไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างใ แต่นางก็เดินไปถึงหน้าประตูแล้ว
หยางหนิงนิ่งไปครู่หนึ่ง รู้ว่าจะต้องหลุดอะไรไม่ดีออกไปแน่ๆ แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าอะไรที่ทำให้เสี่ยวเหยาโกรธ จึงรีบเดินตามไป “แม่นางเสี่ยวเหยา พวกข้าพูดอะไรผิดไปหรือ?”
ด้วยความรีบร้อน เขาจึงจับแขนของเสี่ยวเหยา
เสี่ยวเหยาสะบัดแขนอย่างแรง ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านจะพูดอะไรผิดได้เล่า? ข้าเป็ผู้หญิงไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ มาพูดจาเหลวไหลที่นี่เอง” จากนั้นก็เดินจากไป
หยางหนิงฟังจากน้ำเสียงของนางไม่เหมือนเมื่อครู่ที่เข้ากันได้ดี นำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเ็า เห็นนางรีบเดินจากไป แล้วก็หายไปท่ามกลางผู้คน เขายืนงงอยู่หน้าประตู เหลือบไปมองดอกจินจั่นอิ่นไถ แล้วก็รีบะโไปว่า “แม่นางเสี่ยวเหยา ดอกไม้ที่เ้าอยากได้...!” เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เสี่ยวเหยาก็หายไปแล้ว
หยวนหรงเดินเข้ามา แล้วถามด้วยความแปลกใจว่า “เกิดอะไรขึ้น? เมื่อครู่ยังดีๆ กันอยู่เลย แม่หญิงนางนี้บทจะโกรธก็โกรธ?”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เหมือนว่าข้าจะพูดอะไรผิดไป...ว่าแต่มันประโยคไหนกัน?”
“ก็ไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย?” หยวนหรงทำหน้างุนงง “พวกเราเพียงแค่บอกว่าหญิงสาวบนเรือสำราญที่แม่น้ำฉินไหวไม่มีผู้ใดสะอาด...เอ๋ อย่าบอกนะว่านางโกรธเพราะคำๆ นี้?”
หยางหนิงนิ่งไป เดาความเป็ไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงผิดหวังว่า “หรือว่าเสี่ยวเหยานางจะเป็...?”
“ข้าคิดว่าไม่ใช่เช่นนั้น” หยวนหรงรีบส่ายหัวแล้วพูดว่า “เสียแรงเป็ถึงจิ่นอีโฮ่วซื่อจื่อ ถึงตอนนี้ยังไม่เข้าใจผู้หญิงอีกหรือ แม่นางเสี่ยวเหยานางเอวตรง คอเล็กหลังตรง มองดูก็รู้ว่ายังบริสุทธิ์อยู่ เ้าดูท่าทางเวลานางพูดหรือทำอะไรสิ ไม่มีทางเป็แบบนั้นแน่นอน”
พอหยวนหรงพูดมาแบบนี้ หยางหนิงรู้สึกสบายใจ พูดด้วยความแปลกใจว่า “หากไม่ใช่แบบนั้น ถ้าอย่างนั้น...ถ้าอย่างนั้นนางทำไมถึงได้โกรธเพราะคำพูดนั้นเล่า?” ขมวดคิ้วแล้วพูดต่อว่า “หรือว่าเราสองคนพูดไม่ระวัง มาพูดถึงสถานที่แบบนั้นตรงนี้ นางจึงไม่พอใจ?” ยกมือแล้วชี้ไปที่หยวนหรง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “เ้านี่มันจริงๆเลยนะ ชมดอกไม้ก็ดอกไม้สิ อยู่ดีๆ พูดถึงที่นั่นทำไมกัน?”
“เ้าอย่ามาโทษข้าคนเดียวนะ” หยวนหรงพูดด้วยความน้อยใจ “เ้าเองก็พูดคล้อยตามข้าไปไม่ใช่หรือ? ทำไมโยนความผิดมาให้ข้าคนเดียวแบบนี้เล่า?”
ชายชราขายดอกไม้เดินเข้ามา แล้วพูดอย่างระวังว่า “ซื่อจื่อ...!” จากนั้นก็ยื่นมือออกมา นั่นมันเงินสองตำลึง “แม่นางเสี่ยวเหยาไปแล้ว ดอกจินจั่นอิ่นไถกระถางนี้ท่านก็ไม่จำเป็ต้องซื้ออีก”
“ดอกไม้กระถางนี้ข้าซื้อ แต่ว่าเอาไว้ที่เ้านั่นแหละ” หยางหนิงยังคงสงสัยว่าทำไมเสี่ยวเหยาจู่ๆ ก็จากไป “เ้าคอยสังเกตด้วย หากแม่นางเสี่ยวเหยามาที่นี่อีก ไม่ว่าเ้าจะใช้วิธีอะไรก็ตามจะต้องเอาดอกไม้กระถางนี้มอบให้นางให้ได้” เหมือนคิดอะไรออก แล้วถามไปว่า “จริงสิ เ้ารู้จักแม่นางเสี่ยวเหยาหรือไม่?”
ชายชราขายดอกไม้ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ที่นี่มีผู้คนเดินไปเดินมา ทุกวัน ต่อให้แม่นางเสี่ยวเหยาเคยมาที่นี่จริง ข้าน้อย...ข้าน้อยก็จำไม่ได้หรอก แต่ว่าซื่อจื่อโปรดวางใจ ต่อไปข้าน้อยจะคอยสังเกต กระถางดอกไม้นี่ข้าจะคอยดูแลให้เป็อย่างดี”
หยางหนิงมองไปที่เสี่ยวเหยาหายไป จากนั้นก็บ่นกับตัวเองว่า “เ้าเป็ใครกันนะ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้