หลี่ซื่ออุ้มผ้าไม่กี่พับเข้ามาในห้องโถง
หลิงเสี่ยนและเด็กสองคนตัดสินใจจะอาศัยอยู่บ้านสกุลหูเป็การชั่วคราว ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันก็จัดซื้อมาไว้เรียบร้อย
เสื้อผ้าบนกายสามคนต่างก็ชำรุดจนสุดจะทน เมื่อคืนวานหลี่ซื่อจึงปรับแก้เสื้อคลุมชายยาวตัวใหม่หนึ่งชุดของหูฉางกุ้ยให้กับผู้าุโหลิง
หลิงเสี่ยนรูปร่างผอมซูบ เสื้อคลุมชายยาวของหูฉางกุ้ยที่สวมอยู่บนกายของเขาเห็นได้ชัดว่าโคร่งไปไม่น้อย
ส่วนหลิงซีสวมชุดรัดรูปของหลัวจิ่ง ม้วนปลายกระบอกแขนเสื้อและชายขากางเกงขึ้นถึงจะนับว่าพอดีตัว
พานเสวี่ยหลันยิ่งง่ายดายขึ้นมาอีก นางโตกว่าเจินจูหนึ่งปี รูปร่างไม่ต่างกันมาก สามารถสวมเสื้อผ้าของเจินจูได้เลยโดยตรง
แต่นางรูปร่างผอมแห้ง ผอมกว่าเจินจูไปมาก
เสื้อผ้าที่พอดีตัวของเจินจู เมื่อสวมอยู่บนกายนางจึงหลวมโพรกไปบ้าง หลี่ซื่อมองไปมองมา น้ำตาก็ไหลลงมาอีกครั้งอย่างอดกลั้นไม่ได้
เด็กเหล่านี้ต้องพบกับความทุกข์ระทมอะไรกัน มือหนึ่งคู่ใต้ปลายกระบอกแขนเสื้อ หนึ่งคนหยาบกว่าอีกหนึ่งคน กลางฝ่ามือและหลังมือล้วนเป็รอยแผลและหนังด้านหนา
เจินจูมองหลี่ซื่ออย่างจนปัญญา รู้ว่านางขี้สงสารแต่ก็ไม่สามารถเหมือนน้ำที่ก่อตัวเป็คน [1] ได้หรือไม่เล่า
“ท่านแม่ ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีน้ำตาลชิ้นนี้ ทำชุดเสื้อคลุมชายยาวให้ผู้าุโสักชุด แล้วค่อยทำชุดรัดรูปให้หลิงซีเถอะเ้าค่ะ ผ้าจะได้ใช้ไปพอดี” เจินจูหยิบผ้าบนโต๊ะขึ้นแล้วเบี่ยงความสนใจของหลี่ซื่อ
“อื้ม... ได้ ผ้ายังเหลืออยู่อีกหน่อย” หลี่ซื่อละสายตามาดังคาด คลี่ผ้าออกและกะผ้าดูคร่าวๆ
“เอ่อ พี่สาวเสวี่ยหลัน ท่านทำเสื้อผ้าเองเป็หรือไม่?” ในเมื่อโตกว่าตนเอง นางจึงต้องหน้าหนาร้องเรียกอีกฝ่ายว่าพี่สาวแล้ว
บนใบหน้าเหลืองซีดของพานเสวี่ยหลันแดงเรื่อขึ้นทันทีทันใด ตอบอย่างติดอ่าง “ข้า ข้าทำไม่เป็”
หลายปีมานี้เสื้อผ้าของนางล้วนเป็ของที่บิดามารดาเหลือทิ้งไว้ให้ แต่ไหนแต่ไรมาในสถานที่เนรเทศไม่มีผ้าให้สามารถเย็บปักทำเสื้อผ้าได้ อยู่ที่นั่นมีเข็มหนึ่งเล่มมีด้ายหนึ่งม้วนสามารถไว้เย็บปะเสื้อผ้าเก่าขาดได้ก็นับว่าไม่เลวมากแล้ว
“โอ้ ข้าก็ไม่เป็เหมือนกัน ฮ่าๆ กำลังเรียนรู้จากท่านแม่เลย ต่อไปหากท่านมีเวลาก็มาทำงานเย็บปักถักร้อยด้วยกันกับพวกข้าได้นะ” เจินจูตอบทันที
“เอ่อ… อื้ม… ได้ ได้เลย” พานเสวี่ยหลันชำเลืองมองหลิงเสี่ยนแวบหนึ่ง เห็นเขาพยักหน้านางจึงรีบตอบรับ
หลี่ซื่อวัดขนาดตัวของทั้งสามคนเรียบร้อย จึงเลือกผ้าสำหรับตัดเย็บแล้วหยิบผ้าพับกลับห้องไปนั่งทำงานเย็บปักอย่างคล่องแคล่ว
เจินจูยังมีงานให้ทำไม่น้อย แต่ไม่สามารถทิ้งพวกเขาไว้แล้วไม่สนใจได้ ขณะที่กำลังลังเล...
หลัวจิ่งเดินเข้ามาคู่กับอาชิงที่ฝึกการต่อสู้ใน่เช้าเสร็จ
ดวงตาเจินจูเป็ประกาย “อาชิง เช้านี้ไม่เรียนหรือ? ทำไมออกมาเร็วเพียงนี้?”
“อื้ม วันนี้คาบแรกเป็วิชาการต่อสู้ เพิ่งเลิกเรียน ข้าเลยเข้ามาดูสักหน่อย” อาชิงใช้แขนเสื้อเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก “เมื่อครู่ ยู่เซิงก็ช่วยอาจารย์เฝ้านักเรียนที่แอบี้เีอยู่ด้วยกัน”
วิชาฝึกการต่อสู้ส่วนใหญ่อยู่ข้างนอกห้องเรียน เด็กๆ ปล่อยกระจัดกระจายอย่างอิสระ จึงได้รับการควบคุมไม่ทั่วถึงอยู่บ้าง ประโยชน์ของอาชิงกับหลัวจิ่งจึงปรากฏออกมา
เด็กยี่สิบคนแบ่งเป็สองกลุ่ม สิบคนหนึ่งกลุ่มแบ่งฝึกสองฝั่ง ฝึกพลังพื้นฐานหนึ่งชุดอย่างการตั้งหม่าปู้ [2] ฝึกการวาดขา ออกหมัดและอื่นๆ...
เจินจูเคยหารือกับฟางเสิง หลักสูตรสอนของการต่อสู้ใช้การฝึกฝนพื้นฐานเป็หลัก ไม่จำเป็ต้องสอนการฝึกพลังที่สูงและลึกจนเกินไป แน่นอนหากเขารู้สึกว่ามีเด็กที่มีคุณสมบัติพื้นฐานดี และมีพร์ฝึกฝนด้านการต่อสู้ สามารถปรึกษาที่บ้านของเด็ก แล้วรับเป็ลูกศิษย์เข้าสำนักนอกเหนือจากนี้ได้
ร่างกายของฟางเสิงดีขึ้นมากกว่าตอนที่เพิ่งมาถึงบ้านสกุลหูอย่างมาก ยาสมุนไพรของท่านหมอจางก็ยังคงดื่มอยู่ พิษตกค้างภายในล้างออกไปเจ็ดถึงแปดส่วน แม้แต่ท่านหมอจางเองล้วนรู้สึกว่าช่างน่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง ใบสั่งยาที่เขาสั่งให้ไปเขาชัดแจ้งเป็อย่างดีว่าน่าจะไม่มีผลมากเพียงนั้น การดีขึ้นได้ของฟางเสิง ควรยกความดีให้คุณสมบัติและพลังภายในร่างกายของเขาเองที่แข็งแกร่งอย่างมาก
แต่ฟางเสิงกลับไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเขาที่แสดงออกมา เมื่อเขาถูกวางยาพิษใน่แรก สภาพร่างกายในขณะนั้นอยู่ในจุดสูงสุด อาศัยกำลังภายในของตนเองที่แข็งแกร่งยังไม่สามารถยับยั้งการแพร่ของพิษได้เลย ไม่มีเหตุผลเลยที่ผ่านมาหลายปีเพียงนี้จะสามารถกดพิษไว้ได้
สองฝ่ายล้วนคิดว่าเป็ประโยน์อันยิ่งใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม ต่างฝ่ายต่างไม่สามารถกล่าวโน้มน้าวว่าเป็ความดีของอีกฝ่ายได้
แต่ร่างกายของฟางเสิงได้ปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นเป็เื่ที่แย้งไม่ได้จริงๆ
“โอ้ ผู้ใดแอบเกียจคร้านแล้วถูกเ้าจับได้? เจินจูยิ้มแล้วมองไปทางหลัวจิ่ง
เขาสวมชุดสำหรับฝึกการต่อสู้สีน้ำเงินเข้ม ท่าทางสูงตรงร่างเพรียวบาง กอปรกับใบหน้ารูปไข่หล่อเหลาสง่างาม ช่างโดดเด่นสะดุดตานัก
“ก็ไม่ใช่จ้าวขุยผู้นั้นหรือ!” ยังไม่ทันรอให้เขาเปิดปาก อาชิงที่อยู่ด้านข้างก็แย่งเอ่ยออกมา “เกียจคร้านนัก แม้แต่หม่าปู้ยังตั้งไม่ดีเลย ตั้งได้ไม่นานก็ร้องทรมานะโว่าเหนื่อยแล้ว”
จ้าวขุยหรือ เป็บุตรชายของเถียนกุ้ยจือ นี่เพิ่งเปิดเรียนได้ไม่นานก็ถูกอาชิงมาร้องบอกตั้งกี่ครั้งแล้วนี่
“อ้อ ครั้งก่อนไม่ใช่เคยบอกแล้วหรือ เขากลัวลำบากกลัวเหนื่อย แล้วยังไม่ชอบที่ท่านอาจารย์ฟางสอนเขาอีก เช่นนั้นพักอยู่บ้านให้สบายไปสิ จะได้มีที่ว่างให้เด็กที่อยากเข้าเรียนเพิ่มขึ้น ทำไมเขายังมาเข้าเรียนต่ออีก?” อยากเข้าเรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ไม่อยากเข้ารับการสั่งสอน เหอะ ทำเหมือนโรงเรียนเปิดมาเพื่อครอบครัวเขา ไม่มีการถือหางให้ท้ายปัญหาเช่นนี้หรอกนะ
“ก็ไม่ใช่บิดาของเขาหรือ กลับไปฟาดหนึ่งรอบ ต่อมากดเขาไว้ให้ยอมรับผิด ซิ่วฉายหยางกับอาจารย์ฟางถึงให้เขาอยู่ที่โรงเรียนต่อ เพิ่งทำตัวดีได้ไม่กี่วันก็เริ่มคิดแอบี้เีอีกแล้ว” อาชิงกล่าวอย่างโมโหหอบหายใจไม่ทัน ในนักเรียนยี่สิบคน ี้เีที่สุดและปลิ้นปล้อนที่สุดนับว่าเป็จ้าวขุยแล้ว
“ไม่ต้องสนใจเขา หากเขาทำผิดอีกก็ไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน ให้หัวหน้าหมู่บ้านตักเตือนผู้ใหญ่ที่บ้านเขา หากยังทำผิดอีกก็ติดประกาศแจ้งไล่ออกไปตามตรงเลย จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อเด็กคนอื่นที่เรียน อาชิง เ้าถือเป็ผู้ช่วยอาจารย์ กฎเกณฑ์ในโรงเรียนต้องทำตัวเป็แบบอย่าง” หนึ่งครั้งจดความผิด สองครั้งกล่าวเตือน ครั้งที่สามไล่ออกไปได้เลย อื้ม... ข้อนี้ควรเพิ่มลงไปในกฎข้อบังคับของโรงเรียนด้วย
“อื้ม ทราบแล้ว ข้าทำการบ้านที่ซิ่วฉายหยางให้เสร็จหมดทุกวันเลย” นับั้แ่ย้ายไปยังบ้านใหม่ เื่ที่เขาต้องเร่งทำเริ่มมีมากขึ้นทุกวัน ทั้งต้องตื่นแต่เช้าฝึกการต่อสู้แล้วยังต้องช่วยดูแลนักเรียน และกวาดพื้นทำกับข้าวซักผ้าในบ้านทั้งหมดล้วนเป็เขาทำเสร็จสิ้นเพียงคนเดียว ตอนเย็นยังต้องทำการบ้านที่ซิ่วฉายหยางให้เป็พิเศษอีกด้วย
“ฮ่าๆ ดีแล้ว อยากรับผิดชอบตำแหน่งอาจารย์ผู้ช่วยนี้ให้ดี ระดับของตนเองก็ต้องตามให้ทัน หากแม้แต่นักเรียนที่เข้าเรียนมาใหม่ยังสู้ไม่ได้ หน้าตาของเ้าจะเอาวางไว้ที่ไหนได้” อาจารย์ผู้ช่วยก็เป็นางที่จ่ายเงินเชิญมา หากสามารถช่วยจัดการโรงเรียนให้ดีได้ก็ทำให้นางสบายใจได้ไม่น้อย
“อื้ม ข้าไม่มีทางแย่กว่าพวกเขาแน่นอน” อาชิงกำหมัดแน่นแล้วกล่าว
ขณะที่สามคนพูดคุยกัน หลิงเสี่ยนก็ไตร่ตรองความหมายออกมาได้สองสามอย่าง
หมู่บ้านนี้มีโรงเรียน โรงเรียนเหมือนจะเป็ของครอบครัวสกุลหู มีหลักสูตรฝึกสอนการป้องกันตัว และอาชิงกับยู่เซิงล้วนช่วยดูแลนักเรียน
คล้ายว่าสกุลหูจะไม่ค่อยเหมือนครอบครัวร่ำรวยในหมู่บ้านทั่วไป
ถือโอกาสที่อาชิงไม่มีเรียน่เช้า เจินจูให้เขานำทางพวกหลิงเสี่ยนสามคนเดินละแวกใกล้เคียงหนึ่งรอบ เพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมโดยรอบเสียหน่อย
ส่วนเจินจูลากหลัวจิ่งมาปรึกษาหารือ
“เ้าว่า ข้าซื้อูเาซิ่วซีดีหรือไม่? ปลูกต้นหงเฟิงให้เต็มทั่วทั้งเขา เมื่อมองไปไกลๆ ก็เป็แสงสีแดงหนึ่งผืน ช่างเป็ภาพที่สวยงามมากเลย” นางใช้มือวาดความสูงของูเา จินตนาการฉากงดงามของต้นหงเฟิงกว้างไกลสุดสายตา
ความตื่นเต้นสะท้อนระยิบระยับปรากฏอยู่ในดวงตานาง ประหนึ่งว่าเป็เด็กที่ได้ทานลูกกวาดที่้า
หลัวจิ่งยิ้มเงียบเชียบ “ไม่ใช่ว่าเ้าก็ชอบดอกอิงฮวาเต็มูเาทั้งลูกด้วยหรือ?”
“อื้ม ข้าตรองดูแล้ว รู้สึกว่าเป็ป่าไม้ใบของต้นหงเฟิงจะดูดีกว่า เพราะอย่างนั้นเลยตัดสินใจปลูกต้นหงเฟิงผืนหนึ่งก่อน” เจินจูใบหน้ายิ้มแย้มดุจดอกไม้บาน “ูเาซิ่วซีสูงและชันเกินไป ไม่เหมาะกับการปลูกไม้ผลหรือไม้ดอก เมื่อซื้อูเามาปลูกต้นหงเฟิง หลังจากนั้นก็สร้างศาลาหนึ่งหลังไว้ตรงไหล่เขา รอให้ใบของต้นหงเฟิงแดงไปทั่วแล้ว พวกเราก็ขึ้นไปบนศาลาชื่นชมทิวทัศน์ทั่วทั้งูเาได้ เ้าว่าดีหรือไม่?”
“ดี” หลัวจิ่งชื่นชอบที่นางพูดคุยกับเขาลักษณะคล้ายเด็กเช่นนี้ น้ำเสียงใกล้ชิดเป็ธรรมชาติ ดูคล้ายเช่นครอบครัวที่อยู่ด้วยกันมองหน้ากันทั้งวันทั้งคืน
เื่ซื้อูเาซิ่วซีตัดสินใจได้เช่นนี้ เจินจูจึงเริ่มยุ่งกับงานบ้านขึ้น
ให้อาหารหมู ให้อาหารไก่และให้อาหารปลา ที่บ้านเลี้ยงสัตว์มาก งานจึงไม่มีทางน้อยได้
เจินจูมองไก่สี่สิบห้าสิบตัวในเล้า ขมวดคิ้วพลางใส่อาหารไก่เข้าไปในรั้ว
ไก่เลี้ยงไว้เยอะเกินไป การทำความสะอาดเล้าไก่ทุกวันล้วนเป็งานที่ทำให้คนเหนื่อยนัก
ครั้งหน้าจะต้องไม่เลี้ยงไก่เยอะมากมายเช่นนี้อีกเด็ดขาด จะได้ไม่หาความลำบากให้ตนเองทำ
ให้อาหารไก่เสร็จ เจอหลัวจิ่งที่ว่างอยู่จึงเรียกใช้เขาให้ไปรดน้ำแปลงผัก
รดน้ำเสร็จ ให้เขากวาดลานบ้านอีกหนึ่งรอบ เห็นว่าเขาฟังที่นางเรียกใช้แต่โดยดี เจินจูมีความสุขไปทั้งหัวใจ ที่แท้ความรู้สึกเรียกใช้คนไปทำงานช่างสุขสบายใจเช่นนี้นี่เอง
ป่าหงเฟิงของเจินจูมีแบบแผนออกมาอย่างรวดเร็ว
แผนการก่อสร้างริมฝั่งแม่น้ำทั้งผืนให้เชื่อมต่อกับูเาซิ่วซี ที่จริงแล้วออกแบบไม่ง่ายเลย
บ้านของครอบครัวหูสร้างขึ้นอยู่ตำแหน่งตรงกลาง ด้านขวาสร้างโรงเรียนกว้างขวางสองหลัง จะให้สิ่งก่อสร้างเหล่านี้กลมกลืนเข้ากับโครงการใหม่อย่างเป็ธรรมชาติได้อย่างไร หลิงเสี่ยนใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อออกแบบแผนงานไว้หลายรูปแบบ
เจินจูเลือกหนึ่งแบบจากในนั้นขึ้น ที่เห็นแล้วไม่ได้สลับซับซ้อนจนเกินไปนัก
ข้อเรียกร้องของนางไม่มาก ขั้นตอนไม่จำเป็ต้องยุ่งยากสลับซับซ้อน สกุลหูไม่ใช่ตระกูลขุนนางเ้าของที่ดินสูงส่งและมีอำนาจอะไร จะ้าความพิถีพิถันลายละเอียดปลีกย่อยมากมายเพียงนั้นเสียที่ไหนกัน
หลิ่วฉางผิงเริ่มยุ่งกับงานอีกหนึ่งรอบอย่างม้าไม่หยุดกีบ
เริ่มั้แ่ต้นปีมา เขาทำโครงการก่อสร้างแต่ละอย่างให้สกุลหูโดยไม่ได้หยุดมาตลอด บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจเป็อย่างมากเช่นกัน ทำไมสกุลหูมีงานที่ต้องปลูกสร้างมากมายเพียงนั้น แต่ความไม่เข้าใจเหล่านี้เมื่อได้รับเงินค่าตอบแทนทุกเดือนจำนวนหนึ่งไม่น้อย จึงอันตรธานหายไปจนหมด
ชาวบ้านสิบกว่าคนที่ติดตามเขาทำงาน กลับแทบอยากให้การก่อสร้างของสกุลหูยุ่งไม่เสร็จตลอดไป ช่วยสกุลหูทำงานได้ค่าตอบแทนทุกเดือนล้วนจ่ายให้ตรงตามเวลา บ่อยครั้งยังให้เพิ่มมาอีกด้วย แค่เงินที่ทำงานได้ครึ่งปีนี้ก็พอให้พวกเขายิ้มหน้าบานได้แล้ว
งานก่อสร้างใหม่นี้ออกคำสั่งโดยผู้าุโจิตใจดีผมสีดอกเลาท่านหนึ่ง
ตามที่ได้ยินมา ผู้าุโหลิงท่านนี้เป็ปรมาจารย์การก่อสร้างสวนหย่อมที่สกุลหูเชิญมาโดยเฉพาะ
ชั่วขณะหนึ่ง ผู้คนต่างก็เสียงดังเกรียวกราวขึ้นอีกครั้ง
การเคลื่อนไหวคลื่นลูกแล้วลูกเล่าของสกุลหู ราวกับมักมีสิ่งที่ไม่คาดคิดอยู่เสมอ
หวังซื่อก็รู้สึกเช่นกันว่าเื่ของครอบครัวบุตรชายคนเล็กมักโผล่มาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
คนที่มาเป็แขกของที่บ้านบุตรชายคนเล็ก ท่าทางหนึ่งคนดีกว่าอีกหนึ่งคนนัก
คู่ศิษย์อาจารย์ที่มาเป็อันดับแรกว่ากันว่าเป็ผู้มีฝีมือสูงส่งในโลกยุทธภพ ต่อมาก็ครอบครัวซิ่วฉายหยาง และตอนนี้เป็ปู่หลานสามคน เจินจูบอกว่าผู้าุโท่านนั้นฐานะเดิมเป็จิ้นซื่อที่ซื่อสัตย์
จิ้นซื่อเลยนะ บริเวณรอบนอกร้อยลี้เมืองไท่ผิง เกรงว่าล้วนไม่เคยมีจิ้นซื่อสักคนปรากฏออกมาเลย
สามารถสอบเข้าจิ้นซื่อได้ ล้วนเป็ปัญญาชนคงแก่เรียนที่มีความรู้และสติปัญญามาก
หวังซื่อฟังจนดวงตาเป็ประกาย บรรพบุรุษสกุลหูช่างสร้างบุญกุศลเสียจริง ไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่มีความรู้และฐานะเดิมเป็จิ้นซื่อเข้ามาพักอยู่ในลานบ้านตนเอง
แม้จิ้นซื่อผู้นี้จะเป็นักโทษเนรเทศที่ได้รับการลงโทษให้มายังที่แห่งนี้ก็ตาม
หวังซื่อเข้าใจการลงโทษของนักโทษเนรเทศอยู่บ้าง ชายแดนเอ้อโจวค่อนมาทางเหนือ เป็สถานที่ห่างไกลจากเมืองหลวงมาก จึงเป็หนึ่งในสถานที่ที่ราชสำนักเนรเทศผู้ต้องหาให้มาที่นี่
บริเวณอำเภอเจิ้นอันก็เป็สถานที่เนรเทศ มีฝ่ายควบคุมดูแลนักโทษเฝ้าผู้ต้องหาโดยเฉพาะ
ระยะเวลาเนรเทศของอาณาจักรต้าสยานานที่สุดสิบปี หลังสิบปีไปแล้วหากไม่ถูกอภัยโทษก็ต้องให้คนในบ้านหรือคนในวงตระกูลไปไถ่ตัวกลับมา
ระยะเวลาเนรเทศของผู้าุโหลิงผ่านไปนานแล้ว ตอนนี้ส่งมาพักอยู่บ้านสกุลหูอย่างไร้อุปสรรค
...แต่สิ่งของที่ลากกลับมาแต่ละเกวียนนั่นคืออะไรกัน?
เชิงอรรถ
[1] น้ำที่ก่อตัวเป็คน หมายถึง การที่ปรับตัวไปตามสถานการณ์ง่ายๆ เหมือนน้ำที่ปรับเปลี่ยนรูปร่างไปตามภาชนะที่บรรจุ แต่ในที่นี้หมายถึงคนที่เอาแต่ร้องไห้ น้ำตาไหลออกมามากมายท่วมไปหมด จนจะเหมือนว่าคนๆ นี้คือก้อนน้ำรูปร่างคนเดินได้
[2] ตั้งหม่าปู้ คือ การตั้งท่ายืนม้า เป็ท่าที่สำคัญที่สุดในวิชามวยจีน เป็ที่รู้จักในชื่อ ยืนม้า หรือนั่งม้า ซึ่งจะยืนลักษณะเหมือนนั่งบนหลังม้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้