จ้าวหงซานกลับมาถึงในบ้านยังมึนงงอยู่เล็กน้อย
เขาเพิ่งไปทำงานที่บ้านครอบครัวหูได้ไม่กี่วัน ค่าแรงต่อเดือนก็เพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยเหวินอย่างพูดไม่ออก
ในตอนนั้นเขาหน้าแดงและบอกปัดไปว่าไม่้า
แต่เจินจูกลับกล่าวว่าหากเขาไม่้ารับเงินค่าแรงจำนวนนี้เพิ่ม เช่นนั้นนางคงทำได้เพียงจ่ายเงินให้บิดาของเอ้อร์หนิวมาช่วยดูแลบ้านเก่าแล้ว
จ้าวหงซานจะกล่าวอะไรได้อีก?
จนกระทั่งเขากลับมาบอกผู้เป็บิดา จ้าวสี่เหวินไม่พูดไม่จาไปชั่วขณะจึงถอนหายใจยาว “ฉางกุ้ยเป็คนที่ข้าเห็นมาจนโต ทั้งครอบครัวนี้ล้วนจิตใจมีเมตตา นี่เป็การที่พวกเขามีใจที่คิดจะช่วยเหลือครอบครัวเรา เงินค่าแรงสี่ร้อยเหวินต่อเดือน หากเทียบว่าอยู่ในเมืองนับเป็เงินจำนวนไม่น้อยเลย ในเมื่อครอบครัวเขาไว้ใจเ้าเพียงนี้ เช่นนั้นเ้าต้องตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี อย่าให้ความไว้วางใจของเขาเสียเปล่า ส่วนไหนไม่เข้าใจก็ถามให้มาก อย่าทำหน้าที่ผิดพลาด ส่วนที่บ้านมีข้ากับแม่ของเ้าอยู่เฝ้า เ้าไม่ต้องเป็ห่วง”
จ้าวหงซานพยักหน้ารับปากหนักแน่น สองพ่อลูกพูดคุยกันอยู่นาน จ้าวหงซานจึงหิ้วห่อผ้าเดินไปท้ายหมู่บ้าน
มีการเฝ้าดูแลบ้านเก่าโดยจ้าวหงซาน ครอบครัวหูนับได้ว่าไม่ต้องเป็กังวลใจแล้ว เจินจูคำนวณลูกคิดจนเสียงดังป๊อกแป๊ก [1] ต้องกลับไปให้ฟางจากมิติช่องว่างโดยเว้นสามวันห้าวันแค่นั้นก็พอ
นางในยามนี้กำลังตื่นเต้นดีใจและปีติยินดีอย่างมาก กลิ้งไปมาบนเครื่องนอนเตียงใหม่ของตนเอง
โอ้ ในที่สุดก็มีห้องเป็ของตนเองเสียที
ผืนผ้าห่มธรรมดาสีฟ้าอ่อน ชุดผ้าปูนอนสีเดียวกัน เครื่องนอนนุ่มฟูทำขึ้นใหม่ เมื่อเอนตัวลงให้ความรู้สึกสบายอย่างมาก เจินจูยืดเอวอย่างเกียจคร้าน แล้วจึงหยัดกายลุกขึ้นจัดระเบียบห้อง สิ่งของของนางเดิมแล้วมีไม่เยอะ สามารถจัดเก็บให้เข้าที่อย่างง่ายดาย
เตียงของห้องนี้วางไว้อยู่ข้างหน้าต่าง ตู้เตียงไม้แดงที่ทำขึ้นใหม่วางไว้อย่างเป็ระเบียบ เจินจูเคยชินกับการนอนเตียง [2] ชีวิตความเป็อยู่เริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ รอถึงวันที่หิมะตก ค่อยย้ายไปบนเตียงอิฐก็แล้วกัน
เมื่อจัดเก็บห้องของตนเองเสร็จแล้ว หลี่ซื่อจึงจัดเก็บห้องของผิงอันและหลัวจิ่งหนึ่งรอบ เป็เครื่องนอนและผ้าปูเตียงที่ทำขึ้นใหม่ทั้งหมด แตกต่างกันเพียงแค่สี ของผิงอันเป็สีครามเข้ม ของหลัวจิ่งเป็สีน้ำเงิน
“บ๊อกๆ” เสียงเห่าของเสี่ยวหวงที่ติดตามมา ดังก้องชัดเจนสะท้อนอยู่ในลานบ้านกว้างโล่ง
เจินจูเปิดประตูลานบ้าน เห็นเสี่ยวหวงส่ายหางไปมาด้วยความตื่นเต้นดีใจแล้ววิ่งพุ่งเข้าไป
“ไอ๊หยา เสี่ยวหวง ช้าหน่อย” ผิงอันะโเรียกมัน เ้าตัวเล็กนี้ไร้สำนึกนัก ตนเองเป็ผู้ไปรับมัน มันยังไม่กระตือรือร้นเพียงนี้เลย พูดถึงสัตว์ในบ้านเหล่านี้ขึ้นมา ผู้ที่ใกล้ชิดที่สุดล้วนเป็เจินจู เฮ้อ ทำไมนางผู้เป็พี่สาวถึงได้ทำให้สัตว์ชอบนักนะ?
เจินจูไม่มีเวลาสนใจความคิดที่ไม่ได้กล่าวออกมาของน้องชาย ยิ้มแล้วทักทายหลัวจิ่งที่อยู่ด้านหลังของเขา ต้อนรับพวกเขาเข้าบ้านแล้วจึงปิดประตูลานให้แน่นสนิท
เกวียนล่อลากสิ่งของเต็มเกวียนไปทางเล้าไก่ด้านหลัง ทุกคนนำไก่ใส่เข้าไปในเล้าใหม่คนละไม้คนละมือ ของกระจุกกระจิกเล็กน้อยวางไว้ในห้องเก็บของทั่วไป หลังจากนั้นนำล่อเข้าเพิงแล้วปิดไว้ ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจึงล้างมือทำความสะอาด ในห้องโถงหลี่ซื่อได้เตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว
อาหารเย็นไม่กี่อย่างล้วนเป็การใช้วัตถุดิบที่เหลือจากงานเลี้ยง หลี่ซื่อแปรรูปเล็กน้อยก็จัดการจนเสร็จ หลังจากยุ่งมาทั้งวัน ทุกคนล้วนดีใจมาก
โดยเฉพาะผิงอันที่ได้มีห้องเป็ของตัวเองครั้งแรก นอนคนเดียวครั้งแรก เขาดีใจจนพูดคุยด้วยความตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา
“ท่านแม่ ข้าจะนอนบนเตียง ไม่นอนบนเตียงอิฐแล้วขอรับ”
“ท่านพ่อ เสี่ยวหวงนอนห้องเดียวกับข้าดีหรือไม่ขอรับ?”
“ท่านพี่ เมื่อครู่เสี่ยวเฮยก็ะโขึ้นเกวียนด้วย ข้าบอกมันว่าท่านให้มันเฝ้าบ้านเก่า มันคล้ายจะโกรธเลย”
“พี่ชายยู่เซิง ข้าอยู่ถัดจากห้องของท่าน ตอนกลางคืนข้าไปอ่านหนังสือเขียนตัวอักษรอยู่ในห้องท่านแล้วค่อยกลับไปนอนได้ด้วย”
“…”
ชั่วขณะนั้น ทั้งห้องมีเพียงเสียงอ่อนวัยของเด็กชายตัวน้อย
หลัวจิ่งรักษารอยยิ้มบางๆ ไว้อยู่ตลอด จนกระทั่งกลับเข้ามาถึงห้องใหม่ของเขา
รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหาย สายตาซ่อนลึกห่างเหินทอดมองออกไป
ปล่อยให้ตัวเองล้มตัวลงนอนอยู่บนเครื่องนอนนุ่มแล้วปิดตาลง คิดถึงตอนบ่ายขึ้นมา ตนเองอยู่บ้านเก่าคนเดียว หลัวอู่กับหลัวสือซานในชุดผ้าหยาบรัดรูปปรากฏออกมาในลานบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“คุณชายรอง ในที่สุดพวกข้าน้อยก็หาท่านพบแล้ว!” สองคนคุกเข่าลงไปเสียงดังปึก
ได้เห็นสองคนเข้า หลัวจิ่งทั้งดีใจทั้งตื่นใ หลัวอู่กับหลัวสือซานเป็คนคุ้มกันอยู่ข้างกายพี่ชายใหญ่หลัวรุ่ย ติดตามพี่ชายใหญ่ั้แ่เด็ก ยามนี้ได้เห็นพวกเขา เขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร
“รีบลุกขึ้น พวกเ้าหาข้าเจอได้อย่างไร? พี่ชายใหญ่ยังสบายดีหรือไม่? พวกเ้าออกมากันหมด แล้วพี่ชายใหญ่จะทำอย่างไร?” หลัวจิ่งเดินไปข้างหน้าประคองพวกเขาขึ้น สอบถามติดๆ กันด้วยความตื่นตัว
“คุณชายรอง คุณชายใหญ่สบายดีมาก แต่เป็ห่วงความปลอดภัยของคุณชายรองมาตลอด พอในจวนเกิดเื่ คุณชายใหญ่ก็ส่งพวกข้าน้อยออกมาค้นหาท่าน แต่รอจนพวกข้าเร่งไปถึงที่เกิดเหตุก็ผ่านไปครึ่งค่อนเดือนแล้ว ร่องรอยเกวียนและรอยเท้าที่ทิ้งไว้ต่างเลือนหายไปหมด กว่าจะตามหาเบาะแสได้ไม่ง่ายเลย หลังตรวจสอบจึงพบว่าเป็จูเต๋อเซิ่งหลานชายญาติห่างๆ ของพ่อบ้านจูพาท่านเช่ารถม้าลงใต้มาด้วยกันขอรับ” หลัวอู่สังเกตหลัวจิ่งอย่างละเอียด เห็นว่าเสื้อผ้าของเขาราบเรียบสีหน้าเปล่งปลั่ง รูปร่างยังสูงขึ้นเล็กน้อยอีกด้วย ดูแล้วสดใสมีชีวิตชีวาไม่เลวเลย
“ที่น่าเคียดแค้นที่สุดเป็เ้าจูเต๋อเซิ่งน่าตายผู้นั้น เปลี่ยนรถม้าอย่างเ้าเล่ห์ไปหลายหนตลอดเส้นทาง ทำให้พวกข้าตามหาได้ยากลำบากยิ่งนัก รอจนพวกข้าน้อยหาเขาจนพบ เขาถึงกล่าวอย่างตัวสั่นงันงกออกมาว่าท่านแยกทางกับเขาในอำเภอชิงเฉวียน บอกว่าเป็ความประสงค์ของท่าน หากเดินทางกันสองคนจะเป็เป้าหมายใหญ่เกินไป ท่านจะไปหาคุณชายใหญ่ด้วยตัวเอง ให้เขาวิ่งลงใต้หาที่หลบซ่อนตัว เชอะ! หลอกพวกข้าเหมือนเป็เด็กน้อยวัยสามปี ภายหลังเขารับการถูกทรมานไม่ไหว ถึงได้กล่าวสถานที่พักระหว่างเดินทางของท่านออกมาแต่โดยดี ขี้ข้าสุนัขผู้นี้ไม่ยึดมั่นคำสัญญาละทิ้งคุณธรรมนัก ตนเองเก็บทรัพย์สินเงินทองได้แล้วก็หนี หากไม่ใช่ไอ้เดรัจฉานนี่อ้อมการเดินทางไปไกลเพียงนี้ พวกข้าคงหาท่านเจอนานแล้ว คุณชายรอง พวกข้าใช้เชือกมัดขี้ข้าสุนัขผู้นั้นไปให้คุณชายใหญ่แล้ว ท่านวางใจ คุณชายใหญ่ไม่มีทางให้เขาใช้ชีวิตสุขสบายแน่นอนขอรับ” หลัวสือซานกล่าวด้วยความโกรธแค้น
หากไม่ใช่ถูกจูเต๋อเซิ่งทำให้เสียเวลา จะใช้เวลานานเพียงนี้แล้วเพิ่งพบคุณชายรองได้อย่างไร โชคดีที่คุณชายรองเป็คนดีได้รับการช่วยเหลือจาก์ ไม่เช่นนั้นแล้วคุณชายใหญ่คงต้องถลกหนังพวกเขาเป็แน่
จับจูเต๋อเซิ่งไว้แล้ว? แววตาหลัวจิ่งเ็า เชอะ คนชั่วช้าตายไปก็ไม่น่าเสียดาย
“คุณชาย อาการาเ็ของท่าน… เป็อย่างไรบ้างขอรับ?” หลัวอู่มองขาของหลัวจิ่งด้วยความทุกข์ใจแวบหนึ่ง
ยืนอยู่ในลานบ้านเป็ที่น่าสนใจเกินไป หลัวจิ่งจึงให้สองคนเข้ามาคุยในบ้าน
“บ๊อกๆ” เสี่ยวหวงวิ่งออกมาจากเนินลาดหลังบ้านด้วยความรวดเร็วฉับไว พุ่งมาเห่าใส่หลัวอู่และหลัวสือซานอย่างรุนแรงพักหนึ่ง
“เสี่ยวหวง อย่าเห่า ผู้นี้เป็แขก” หลัวจิ่งยอบกายนั่งยองลง ลูบมันอย่างปลอบโยน
เสี่ยวหวงอยู่กับหลัวจิ่งจนคุ้นชินอย่างมาก เลียกลางฝ่ามือของหลัวจิ่งแล้วจึงส่ายหางไม่เห่าอีก
“ไปเล่นกับเสี่ยวเฮยเถอะ” หลัวจิ่งยิ้ม
เสี่ยวหวงวิ่งไปเนินลาดหลังบ้านด้วยความลิงโลด เพราะมันชอบอยู่กับเสี่ยวเฮยที่สุดแล้ว
“คุณชายรอง สุนัขนี่มีสติปัญญาจริงๆ เชื่อฟังดีมากเลยขอรับ” หลัวอู่มองด้วยความประหลาดใจ
“…”
แค่เสี่ยวหวงเรียกว่ามีสติปัญญาแล้ว? เช่นนั้นเสี่ยวเฮยจะไม่กลายเป็ปีศาจเลยหรือ
“ยังมีเสี่ยวเฮยอีกตัวหนึ่ง คนครอบครัวนี้เลี้ยงสุนัขสองตัวหรือขอรับ?” หลัวสือซานคาดไม่ถึงเลย เห็นครอบครัวเกษตรกรที่บ้านเก่าและทำขึ้นอย่างลวกๆ เช่นนี้ เหตุใดมีความสามารถเลี้ยงสุนัขสีเหลืองตัวใหญ่ร่างกายอ้วนท้วนแข็งแรงออกมาได้
“เสี่ยวเฮยเป็แมวตัวหนึ่ง” หลัวจิ่งให้สองคนนั่งพูดคุยอยู่ในห้องโถง
มีข้าวเหลือเลี้ยงแมวและสุนัขได้ ครอบครัวนี้คงไม่ได้ดูยากจนเพียงนั้น มิน่าเล่าถึงมีความสามารถช่วยรักษาคุณชายรองให้รอดพ้นจากอันตรายได้ ในระหว่างการเดินทางพวกเขาเพิ่งสอบถามที่อยู่ของคุณชายได้เมื่อวานนี้ เป็ข่าวที่สืบได้จากโรงหมอที่รักษารอยฟกช้ำและกระดูกหักโดยเฉพาะ พวกเขาได้ข่าวมาว่ามีเด็กชายอายุสิบสองถึงสิบสามปีรูปโฉมสง่างามร่อนเร่พเนจรอยู่ในเมืองไท่ผิงนานครึ่งค่อนเดือน ตอนที่โดนพวกอันธพาลบนถนนตีจนเกือบตาย ได้ถูกครอบครัวเกษตรกรครอบครัวหนึ่งของหมู่บ้านวั้งหลินช่วยชีวิตไว้ ขณะนี้น่าจะยังพักฟื้นฟูร่างกายอยู่กับครอบครัวนั้น
ร่อนเร่พเนจร ถูกตี กระดูกหัก ขาดสารอาหารอย่างรุนแรง… คุณชายรองประสบกับความยากลำบากอย่างมากเลย
เมื่อสักครู่ที่ได้เห็นคุณชายรองเดินได้คล่องแคล่ว น่าจะฟื้นฟูดีขึ้นได้ไม่เลว
หลัวจิ่งถามสถานการณ์ปัจจุบันของพี่ชายใหญ่
ขณะนี้หลัวรุ่ยเป็เสี้ยวเว่ย [3] ลำดับขั้นที่หกภายใต้กองกำลังขององค์ชายสี่ ค่อนข้างได้รับคำชื่นชมจากองค์ชายสี่พอสมควร ตอนนั้นองค์ชายสี่ใมาก คิดไม่ถึงว่าองค์ไท่จื่อจะฉวยโอกาสที่ฮ่องเต้ประชวรหนักให้ร้ายขุนนางเช่นนี้ องค์ชายสี่ไม่ได้ห่างเหินหรือตีตัวออกห่างกับหลัวรุ่ยเพราะเหตุการณ์เช่นนี้แน่ แต่กลับเรียกญาติพี่น้องของครอบครัวที่ถูกยึดทรัพย์และถูกปะามารวมตัวกันแล้วปลอบขวัญอยู่หนึ่งรอบ
องค์ชายสี่ไม่ได้ลงโทษพี่ชายใหญ่เพราะแผนการใส่ร้ายขององค์ไท่จื่อ ได้ฟังถึงตรงนี้หลัวจิ่งจึงผ่อนลมหายใจออกหนึ่งเฮือก
ฮ่องเต้มีพระราชบุตรอยู่ห้าพระองค์มีพระราชธิดาเจ็ดพระองค์ องค์ชายใหญ่สิ้นพระชนม์ไปั้แ่พระชนมายุไม่ครบสิบพรรษา ผู้ที่สามารถใช้อำนาจข่มขู่องค์ไท่จื่อได้มีเพียงองค์ชายสามจากเต๋อเฟย [4] สกุลซุน และองค์ชายสี่ของฉีกุ้ยเฟย[5] องค์ไท่จือฉวยโอกาสขณะที่ฮ่องเต้ประชวรหนักไม่สนใจพระราชกิจของราชสำนัก ทำการใส่ร้ายป้ายสีองค์ชายสามว่าตั้งตัวก่อฏและกักบริเวณองค์ชายสาม ปัจจุบันนี้องค์ชายสี่เป็ภัยคุกคามใหญ่ที่สุดที่หลงเหลืออยู่
องค์ชายสี่ตั้งมั่นรักษาอยู่ชายแดนทิศตะวันตกเฉียงเหนือมาตลอด ขอแค่หลัวรุ่ยไม่ตามกลับเมืองหลวงไป ยังสามารถปลอดภัยได้ชั่วคราว
ข่าวคราวที่หลัวอู่กับหลัวสือซานนำมาด้วย คือในเมืองหลวงขณะนี้ การกระทำขององค์ไท่จื่อโจ่งแจ้งมาก ข้าราชบริพารที่ไม่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับองค์ไท่จื่อจะถูกปราบปรามและกดข่มไว้อย่างมากมาย เดือนก่อนฉีกุ้ยเฟยได้ตามจางเชียนหย่วนท่านหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากหมู่ราษฎรทั่วไป เข้ามาตรวจและรักษาฮ่องเต้ อาการป่วยของฮ่องเต้จึงสามารถคลี่คลายลงได้เล็กน้อย
หลังจากฮ่องเต้ทรงทราบว่าองค์ไท่จื่อสั่งจำคุกองค์ชายสามจึงทรงกริ้วหนักมาก ลากพระวรกายอ่อนแอตัดสินสั่งลงโทษกลุ่มองค์ไท่จื่อที่กำเริบเสิบสานหนึ่งรอบ แล้วสั่งให้กรมบังคับคดีตรวจสอบคดีขององค์ชายสามใหม่อย่างละเอียด แต่พระวรกายของฮ่องเต้ผ่านการเจ็บป่วยทรมานมาพักหนึ่ง จึงล้มประชวรหนักอีกครั้ง ทุกวันดื่มสมุนไพรต้มไม่ขาด่ จางเชียนหย่วนกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าสถานการณ์ของฮ่องเต้ในตอนนี้ไม่เหมาะให้ทรงงานหนักจริงๆ มิฉะนั้นต่อให้เป็ต้าหลัวจินเซียน[6] ก็ไม่อาจรักษาชีวิตของฮ่องเต้ไว้ได้ ฮ่องเต้หมดหนทางเลือกจึงเริ่มพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายอีกครั้ง หากไม่ใช่พระราชกิจใหญ่โตร้ายแรงก็ไม่อาจเข้ารบกวนฮ่องเต้ได้ ด้วยเหตุนี้คดีขององค์ไท่จื่อใส่ร้ายองค์ชายสามจึงค่อยๆ ล่าช้าออกไป กิจธุระน้อยใหญ่ต่างๆ ได้รับการปรึกษาหารือและตัดสินใจกันโดยขุนนางชั้นผู้ใหญ่สามท่านที่แต่งตั้งโดยฮ่องเต้ ให้ดำรงตำแหน่งเป็การชั่วคราว
องค์ไท่จื่อถูกลงโทษกักบริเวณให้สำนึกความผิดของตัวเอง ห้ามเข้าร่วมกิจธุระต่างๆ จึงนับว่าเป็เื่ไม่ง่ายเลยกว่าที่เมืองหลวงจะมีร่องรอยของความสงบในขณะนี้ แต่คลื่นใต้น้ำที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสงบอาจปะทุขึ้นได้ทุกเวลา
หลัวจิ่งรับฟังเื่ราวข่าวสารที่พวกเขานำมาอย่างไม่พูดไม่จา หากองค์ชายสามพลิกคดีได้ เช่นนั้นความไม่เป็ธรรมที่สกุลหลัวได้รับก็สามารถชี้แจงเหตุผลได้? หากแม้ว่าสามารถกอบกู้ชื่อเสียงการถูกใส่ร้ายของสกุลหลัวได้แล้วจะอย่างไรล่ะ? สกุลหลัวหลายสิบชีวิตที่ยอมรับชะตากรรมสามารถฟื้นกลับคืนมาได้หรือไม่? มือของเขากำหมัดแน่นสั่นเทาเล็กน้อย
ผ่านไปพักหนึ่งเขาสูดลมหายใจลึกๆ สองสามที ผ่อนคลายสภาพจิตใจลง แล้วถึงได้กล่าวสถานการณ์ของตนเองอย่างง่ายๆ
“คุณชายรอง ขาของท่านดีขึ้นทั้งหมดแล้วหรือขอรับ? ต้องเชิญท่านหมอมาดูอีกทีดีหรือไม่ขอรับ?” หลัวอู่ถาม
“ไม่ต้องแล้ว ท่านหมอหลินในหมู่บ้านเคยตรวจแล้ว บอกว่าดีขึ้นพอสมควรเลย เดินได้ไม่ติดขัด แค่ไม่เหมาะให้เคลื่อนไหวรุนแรงชั่วคราว” ่นี้ไม่รู้สึกถึงความเ็ปแล้ว ท่านหมอหลินกล่าวว่าฟื้นฟูขึ้นได้ดีมาก รักษาไปอีกระยะหนึ่งก็เหมือนดั่งคนปกติได้
ท่านหมอของหมู่บ้าน? นี่… ไว้ใจได้หรือ?
หลัวอู่กับหลัวสือซานสองคนมองดูกันไปมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“รอให้ข้าเรียบเรียงจดหมายหนึ่งฉบับ พวกเ้าเอากลับไปให้พี่ชายใหญ่” หลัวจิ่งกล่าวแล้วหยัดกายยืนขึ้น
หลัวสือซานชะงักงันทันที รีบกล่าวตอบ “คุณชายรอง ท่านไม่กลับไปหาคุณชายใหญ่พร้อมพวกข้าหรือขอรับ?”
หลัวจิงเงียบไปครู่หนึ่งจึงส่ายหน้า “ตอนนี้ข้าไปอยู่กับพี่ชายใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งช่วยอะไรพี่ชายใหญ่ไม่ได้ แล้วยังทำให้เขาต้องแบ่งความสนใจมาดูแลข้าอีก รอให้ขาของข้าหายเป็ปกติแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
ฐานะของเขาในตอนนี้ยังเป็นักโทษที่ต้องตามจับของราชสำนักอยู่ พรรคขององค์ไท่จื่อ้าถอนรากถอนโคนให้แน่นอน พี่ชายใหญ่รับใช้อยู่ภายใต้กองกำลังขององค์ชายสี่ ถนนมุ่งไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือคงจะวางจุดตรวจหลายจุดเป็แน่ เส้นทางอันตรายรวมกับอาการาเ็ที่ขาของเขายังไม่หายดี ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะไปหาพี่ชายใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้นการที่เขาอยู่ในหมู่บ้านเขตูเาห่างไกลความเจริญเช่นนี้ปลอดภัยกว่าอยู่ภายนอกมากนัก เขานำความกังวลและความคิดเห็นเขียนไว้ในจดหมายแล้ว เชื่อว่าพี่ชายใหญ่จะต้องเห็นด้วยกับความคิดของเขา
ในค่ำคืนเงียบสงัด เสียงน้ำมันในตะเกียงดังออกมาเป็ระยะๆ หลัวจิ่งตกอยู่ในโลกความคิดของตนเอง จนกระทั่งในห้องข้างๆ มีเสียงพูดคุยเบาๆ แว่วออกมา
“ท่านพี่ ท่านเอากระจกทองแดงมาวางไว้ห้องข้าทำไม? ข้าไม่ใช่เด็กสาวเสียหน่อย ไม่ได้้าสิ่งของเช่นนี้” ผิงอันพึมพำ
“เ้าของร้านหลิวไม่ใช่มอบกระจกทองแดงให้สองชิ้นใหญ่หรือ ข้ากับท่านแม่คนละอัน ส่วนอันเล็กนี่เอาให้เ้าใช้ อย่ากล่าวว่าเด็กผู้ชายไม่้าของเช่นนี้ ให้เ้าไว้ใช้จัดระเบียบรูปลักษณ์ก่อนออกจากบ้าน ไม่ใช่ให้เ้าส่องกระจกติดเครื่องประดับ” เจินจูกล่าวหยอกล้อ
“ท่านพี่” ผิงอันลากเสียงยาวอย่างไม่คล้อยตาม
“ฮ่าๆ เอาล่ะ ล้อเ้าเล่น รีบไปล้างหน้าแปรงฟัน พรุ่งนี้ยังต้องไปโรงเรียนส่วนตัวอีก” เจินจูหัวเราะแล้วปลอบโยนเขา
“อื้ม อีกเดี๋ยวข้าจะไป” ผิงอันตอบรับ แต่ราวกับคิดอะไรขึ้นได้ “ท่านพี่ วันนี้อาสะใภ้หลิวเอ้อร์ที่มาทานเลี้ยงกล่าวว่า อาสะใภ้เถียนกุ้ยจือโดนทุบตี”
เชิงอรรถ
[1] คำนวณลูกคิดจนเสียงดังป๊อกแป๊ก ในส่วนนี้หมายถึง การคิดเพื่อผลประโยชน์ของตนเองหรือครอบครัวให้คุ้มค่าที่สุด
[2] เตียง ในที่นี้คือ เตียงไม้ธรรมดา ไม่ใช่เตียงที่ก่อด้วยอิฐแบบสามารถก่อไฟได้แบบทางภาคเหนือสมัยก่อน
[3] เสี้ยวเว่ย หรือ 校尉 คือ ตำแหน่งขุนนางนายทหารฝ่ายการรบของยุคโบราณ เป็ตำแหน่งที่มีอิทธิพลสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์
[4] เต๋อเฟย คือ ตำแหน่งพระชายา หรือพระราชเทวีลำดับที่สองของฮ่องเต้
[5] กุ้ยเฟย คือ ตำแหน่งพระชายา หรือพระอัครเทวีในลำดับเอกของฮ่องเต้ รองจากฮองเฮา
[6] ต้าหลัวจินเซียน หรือ 大罗金仙 คือ หนึ่งในห้าเทพเ้าของลัทธิเต๋า เป็เทพเ้าไม่แก่ไม่ตายมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ไม่ดับมอดไป