ตามที่ตำนานกล่าวขานกันมา สุสานัก็คือหลุมศพของัที่ตายแล้ว เก็บงำร่างของาาัผู้ล่วงลับเอาไว้
ั้แ่โบราณกาลมา เผ่าัล้วนเป็ตัวแทนของความแกร่งกล้าและลึกลับอย่างสูงส่ง สมัยเทพมารเก่าก่อนนั้น เผ่าัเป็เผ่าเดียวที่ชี้ขาดการปะทะกันระหว่างสองเผ่าพันธุ์ ครองความได้เปรียบไว้อย่างเด็ดขาด จนแม้แต่เผ่าเทพหรือมารก็ไม่อาจจุดประกายากับเผ่าัได้ เผ่าักำเนิดจากโลหิตและชีพจรแห่งพิภพ เพียงลืมตาดูโลกก็มีสายใยอันศักดิ์สิทธิ์และพละกำลังอันแข็งกล้า ชีพจรเข้มข้น กำลังมหาศาล ภายหลังเมื่อสิ้นสุดยุคเทพมาร ความรุ่งโรจน์ของเผ่าัก็สลายหายไปกับลม...
่สุดท้ายของการปกครองของเทพและมารนั้น เผ่าแปลกหน้านับร้อยพันได้ผงาดกล้าขึ้นมา
เผ่ามนุษย์เป็หนึ่งในนั้น
สำหรับเผ่าพันธุ์ส่วนมาก ร่างกายของเผ่าัล้วนคือสมบัติล้ำค่าั้แ่หัวจรดเท้า แม้แต่เกล็ดัเพียงเกล็ดเดียวก็สามารถนำมาทำเป็อาวุธอันเฉียบคมได้
ัั์ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น เพราะแข็งแกร่งเกินไป จึงไม่อาจถูกไล่ล่า คนมากมายเคยพบเจอร่างัที่สิ้นใจแล้ว ทว่าัที่ตายแล้วนั้น โครงกระดูกกลับหาพบได้ยาก ด้วยเงื่อนไขนี้ จึงเกิดเื่เล่าขานว่ามีสุสานัที่เก็บงำร่างของันับพันนับหมื่นตนอยู่ ถูกมองเป็ยอดขุมทรัพย์สูงค่าที่ผู้แข็งแกร่งของแต่ละเผ่าหมายตา เป็สถานที่ในฝันของเหล่าชีวิตที่มีิญญาทุกดวงตลอดหลายสมัยที่ผ่านมา
และในห้วงนทีแห่งประวัติศาสตร์ ก็ได้เกิดกรณีศึกษาขึ้นมาจริงๆ
มีการบอกเล่ากันมาว่าในยุคโบราณหูไต้ มีเผ่ามนุษย์ส่วนหนึ่งที่ทรงอำนาจ ได้พ่ายแพ้ในาชิงดินแดน ถูกศัตรูตามฆ่า ระหว่างหลบหนีไปอย่างไร้ทิศทาง เพื่อมิให้ต้องตายในเงื้อมมือศัตรู จึงหลับหูหลับตาบุกเข้าไปในเขตต้องห้ามถึงชีวิตเพื่อไม่ให้ถูกฆ่าตาย ใครจะรู้ว่าไม่ได้มอดม้วยอย่างที่คิด กลับกลายเป็โอกาสที่ประสบโชคอย่างไม่คาดคิด พาพวกเขาเข้าไปยังสุสานัแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ ได้ทรัพย์สินที่ใครเห็นต่างก็ต้องอ้าปากค้าง ท้ายสุดจึงอาศัยพลังของสุสานัตะลุยออกมาจากเขตต้องห้าม ฆ่าล้างศัตรู จากนั้นจึงเริ่มขยายอาณาเขตเสียใหม่ ในที่สุดจึงสถาปนาเป็ราชวงศ์อันแข็งแกร่งนามว่า ราชวงศ์ทนต์ั
ราชวงศ์ทนต์ันี้มีอำนาจมากมาย ไม่เพียงปกครองภพที่อยู่เท่านั้น อำนาจยังก้าวข้ามไปยังขอบเขตจำกัดของภพด้วย เคยปกครองชีวิตในภพนับไม่ถ้วน ไม่มีศัตรูใดอาจหาญต่อกรด้วยได้ เป็อำนาจอันยิ่งใหญ่ระดับหนึ่งในห้าของประวัติศาสตร์มนุษย์
เพียงเท่านี้ก็พอมองออกแล้ว ถึงคุณค่าแห่งสุสานั
และก็สมเหตุสมผลแล้วที่เ่ิูจะยืนตะลึงพูดไม่ออกอยู่อย่างนั้น
เขาบังคับตัวเองให้สงบลง สงบลง สงบลง และสงบลง
หัวใจเต้นระรัวเหมือนกลองป่าบ้าคลั่ง ค่อยๆ กลับสู่สภาพเดิม
เ่ิูกระตุ้นปีกสีเงิน แนบมือกับอกข้างหนึ่ง มืออีกข้างอุ้มเ้าเสียวจิ่ว เขาบินผ่านสุสานัไป มองสำรวจอย่างถ้วนทั่ว
พักต่อมา เขาจึงร่วงลงตรงหน้าซากัั์ตัวหนึ่ง
“ที่แท้ที่แห่งนี้คือหลุมศพัหิมะ แต่ก็เป็แค่หลุมศพเท่านั้น เทียบกับสุสานัั์ที่หลับใหลในตำนานนั้นแล้ว ช่างห่างไกลกันเหลือเกิน ัหิมะเป็เพียงรุ่นหลังชั้นสองของเผ่าัเท่านั้น เผ่าัสูญเสียความรุ่งเรือง บัดนี้ัหิมะเป็ได้เพียงเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งนิดหน่อยเท่านั้น ดังนั้นในหลุมศพัหิมะแห่งนี้จึงไม่มีสมบัติล้ำค่ามหาศาลเช่นที่สุสานัในตำนานนั้นมี...”
เ่ิูมองซากัั์ตรงหน้า
หลังัสิ้นใจ ร่างกายจะไม่เน่าเปื่อยไปหมื่นปี และจะค่อยๆ กลับกลายเป็น้ำแข็งปริศนา
ัที่หลับไปตลอดกาลในนี้น่าจะเป็ัที่ตายโดยธรรมดาชาติ ชีวิตพวกมันดำเนินมาจนสุดปลายทาง ร่างกายใหญ่โตหาใดเปรียบ และซากัตรงหน้าเขานี้ เกล็ดของมันได้กลายเป็น้ำแข็งไปหมดแล้ว โปร่งใสเป็ประกาย เห็นกระดูกภายในวับๆ แวมๆ ทว่าเพราะร่างกายกลายเป็น้ำแข็งไปแล้วนี่เอง จึงไม่มีคุณค่าหรือราคาให้ใช้ประโยชน์มากนัก ยังไม่นับที่ัหิมะหาใช่ัที่แท้จริงไม่ เกล็ดั กระดูก เอ็น หนวด รวมถึงฟันจึงราคาไม่ค่อยสูงนัก
ทั้งหลุมศพัหิมะนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นอายสงบเยือกเย็นและแสนสงัด
เ่ิูติดเชื้อกลิ่นอายนี้ไปด้วย เขาไม่มีแก่ใจจะตักตวงประโยชน์จากมันเลยสักนิด
ไม่รู้เพราะเหตุใด พออยู่ในที่แห่งนี้ ใจของเขาถึงบังเกิดความโศกเศร้าบางๆ ยามมองัหิมะที่หลับใหลไปชั่วนิรันดร์เหล่านี้แล้ว ความรู้สึกเ็ปอย่างน่าประหลาดที่ยากจะยับยั้งก่อตัวจากส่วนลึกของกระดูกมาทับถมจิตใจเ่ิู ราวกับมองเห็นคนเผ่าเดียวกัน ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือสหายรักตายจากไป
“สถานการณ์ของัหิมะ่หลังมานี้ไม่ดีนัก อีกทั้งยังมิใช่เผ่าพันธุ์ที่ชอบเก็บรวบรวมจำพวกสมบัติหรือแร่วิเศษทำเกราะศึก ดังนั้นในหลุมศพัหิมะแห่งนี้ นอกจากศพักับหิมะและน้ำแข็งแล้ว ก็ไม่มีของมีค่าอื่นเลย”
เ่ิูกวาดตามองรอบด้าน น่าจะได้ข้อสรุปประมาณนี้
หากเลือกเอาซากัหิมะที่ยังไม่เริ่มกลายเป็น้ำแข็ง เอามาเลาะเนื้อแล่เอ็น ถอนฟันหรือรีดเอาไขกระดูก บางทีอาจได้วัตถุดิบหายาก หากนำไปถึงโลกมนุษย์ต้องแลกเป็สินทรัพย์ได้พอหอมปากหอมคอแน่ ทว่า ภายในบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ของหลุมศพและความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ของเขา เ่ิูจึงตัดใจที่จะตักตวงผลประโยชน์จากที่แห่งนี้ไปเสีย
ให้เกียรติคนตาย
กระทั่งเสียวจิ่วจะกละยังไม่ทำกิริยาอยากกินเหมือนปกติ มันคว่ำหน้าอยู่บนไหล่เ่ิูเงียบๆ อารมณ์บางอย่างกำลังปลุกเร้าใจมันอยู่ ราวกับแม่นางตัวเล็กกำลังเป็ทุกข์และเห็นใจ น้ำตาร่วงเผาะๆ หยดลงมาเป็หยาดกลมวับวาว ยามที่ตกต้องใบหน้าก็กลับกลายเป็น้ำแข็ง
เ่ิูหยิบไข่ัฟองเดิมออกมา
“เสียวจิ่ว เ้าเจอมันจากตรงไหน?” เ่ิูถาม
เสียวจิ่วเห่าสองทีจึงพรวดพราดลงจากไหล่เ่ิู
มันเร็วมาก ร่างกายเล็กจ้อยผ่านอากาศไปเหมือนเป็ภาพหลอนสีเงิน มันะโโลดเต้นไม่หยุดราวกับดาวตก ะโโหยงเหยงไปยังเบื้องหน้า
เ่ิูตามไป
ความใหญ่โตของหลุมศพัหิมะแห่งนี้ มากกว่าที่เ่ิูคาดไว้โข
มุ่งไปข้างหน้าอีกประมาณเกือบหมื่นเมตร พื้นก็เริ่มต่ำลงๆ เรื่อยๆ
ซากัที่กำลังกลายเป็น้ำแข็งเพิ่มจำนวนขึ้นตลอดทาง
สภาพพื้นราวกับกรวยขนาดใหญ่ เนินน้ำแข็งรอบด้าน มีร่างัหิมะขดตัวกลายเป็น้ำแข็งตัวแล้วตัวเล่า
ดูจากกระบวนการกลายเป็น้ำแข็งเช่นนี้แล้ว ัหิมะที่สิ้นใจเหล่านี้ต้องมีอายุอย่างน้อยหลายหมื่นปีแน่
“ยุคยาวนานเหลือเกิน ที่แห่งนี้ลึกลับจริงนะ เผ่าปีศาจแดนเหนือทุ่งน้ำแข็งทลายหิมะมาชั่วนาตาปี กลับไม่พบเจอหลุมัหิมะแห่งนี้เสียอย่างนั้น จากสภาพแวดล้อมรอบๆ แล้วที่นี่น่าจะยังไม่เคยมีคนนอกเข้ามาเลย...”
เ่ิูใจนพูดไม่ออก
“โฮ่ง โฮ่งๆ!” ตัวอ้วนๆ ของเสียวจิ่วหยุดลง มันหันกลับมามองเ่ิู “เ้านาย ที่นี่แหละ ใกล้ถึงแล้ว!”
ตรงหน้านี้คือที่ราบน้ำแข็งเรียบๆ แห่งหนึ่ง
สุดปลายทางของเนินลาดน้ำแข็ง
ร่างัั์ใหญ่กว่าหมื่นเมตรสองตนซึ่งแปรสภาพหมดจดปรากฏแก่สายตา
ซากัสองตนนี้อยู่ทางซ้ายตนหนึ่งทางขวาตนหนึ่ง ขดเป็แนวขวางอยู่บนที่ราบน้ำแข็งแห่งนี้ ราวกับผู้พิทักษ์เทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ปาน ร่างกายสูงหลายร้อยเมตรของพวกมันมีทางสายอัศจรรย์ตรงดิ่งไปแยกไว้จากกัน กายเนื้อราวหยกหิมะแทบจะเรียกได้ว่าโปร่งใส สะท้อนเป็แสงแพรวพราว ชวนให้ที่ราบน้ำแข็งแห่งนี้ราวกับแดนแห่งเทพยามทิวา และเส้นทางสายนั้นก็ราวกับหนทางไปสู่แสงสว่างอันเป็นิรันดร์
ัหิมะสองตนที่ตายมาแล้วอย่างน้อยแสนปี
เทียบกับัหิมะทั่วไปแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกของมันเหมือนกับัตัวจริงยิ่งขึ้นไปอีก
เ่ิูยังรู้สึกได้ถึงความกดดันของัแท้แผ่ออกมาจางๆ จากร่างของพวกมัน
“ไม่น่า นี่มิใช่ัหิมะธรรมดาแน่แล้ว...หรือว่าข้างหน้านี่จะมีัแท้ให้ข้าได้เห็น?”
เ่ิูใจเต้นไม่เป็ส่ำ
หากพบซากัแท้ปรากฏขึ้นมาล่ะก็ นั่นต้องเป็ชะตาลิขิตบันลือภพอย่างแน่นอน
เขามุ่งสู่เบื้องหน้าต่อไป
เจอซากัหิมะซึ่งกลายเป็น้ำแข็งอีกสองตนที่มหึมายิ่งกว่าอีกครั้ง
ท่าทีของพวกมันสงบเยือกเย็น หลับใหลไปตลอดกาล แสงศักดิ์สิทธิ์พราวโรจน์กระจายออกมา ความกดดันของเผ่าพันธุ์ัทวีคูณขึ้น
แม้ว่าจะสิ้นชีวิตไปแล้วนับแสนปี ทว่าความรู้สึกที่มันมอบให้คนนั้นราวกับมันยังมีชีวิตอยู่ สามารถอ้าปากกลืนกินคนเข้าไปทั้งตัวเมื่อใดก็ได้ สามารถขู่คำรามแล้วกางปีกฉวัดเฉวียนสู่ท้องนภาไปเก้าราตรี ยามทอดตามองทุกชีวิตเบื้องล่าง
เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกมัน เ่ิูก็เหมือนถูกภูผาหนักหลายร้อยจินถล่มทับ จะก้าวแต่ละก้าวช่างแสนลำบาก
หากเปลี่ยนเป็เขาตอนยังอยู่อาณาน้ำพุิญญาตาที่สิบห้า เกรงว่าคงเดินไปจากที่นี่ไม่ได้แน่
หากเป็ยอดฝีมือน้ำพุิญญาสิบตาลงไป ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ย่อมถูกความกดดันของซากับีบจนตัวะเิ
“ัหิมะเหล่านี้เป็สิ่งมีชีวิตเมื่อกว่าแสนปีก่อน ตอนที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ ชีพจรัที่ไหลเวียนอยู่ในร่างย่อมต้องเข้มข้นกว่าัหิมะรุ่นปัจจุบัน ใกล้เคียงกับัแท้ยิ่งกว่าด้วย...เห็นทีหนังสือของสำนักกวางขาวพวกนั้นตัดสินไม่ผิด ตามกาลเวลาเปลี่ยนผ่าน ัแท้ไม่ปรากฏกายอีกแล้ว เป็เพราะชีพจรแห่งัได้ถูกแบ่งแยกจนอ่อนแอลง...นี่แหละความอาดูรของสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมที่แข็งแกร่ง แม้แต่เผ่าเทพกับเผ่ามารในยุคนั้น ยังไม่อาจหลีกหนีความเสื่อมนี้พ้น!”
เ่ิูปลงตก
ไม่รู้เพราะอะไร เขาถึงค่อยๆ รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างดึงดูดเขา ร้องเรียกหาเขาอยู่เบื้องหน้า
ประมาณสิบห้านาทีต่อมา
ในที่สุดก็เข้ามาถึงศูนย์กลางของที่ราบน้ำแข็งซากั
ยอดเขาน้ำแข็งเดียวดายได้ตระหง่านอย่างคงกระพันแก่สายตา
เ่ิูเงยหน้ามอง
ยอดเขาเดียวดายสูงหมื่นเมตร ราวกับกระบี่คมปลาบทิ่มแทงอากาศธาตุ จิตสังหารอ่อนๆ คล้ายดาบคมพร้อมบดขยี้โลกหล้าแผ่ออกมาจากบนยอดเขา เ่ิูเดินเข้าไปใกล้อีกหลายก้าว ฉับพลันผิวเนื้อก็เ็ป ราวกับถูกอาวุธเทพทิ่มแทง...
“ยอดเขาเดียวดาย มีความดุร้ายและชั่วช้าสถิตอยู่!”
เ่ิูเคยอ่านหนังสือจากสำนักกวางขาว เขารู้ดีว่าจิตสังหารเหี้ยมเกรียมเช่นนี้หมายความว่าอะไร
“โฮ่งๆ ที่นี่แหละ” เสียวจิ่วกระเด้งนำไป ยืนอยู่ใต้โขดน้ำแข็งสูงหลายสิบเมตรที่เป็ส่วนหนึ่งของยอดเขาเดียวดาย มันหันหน้ามามองเ่ิู แล้วพูดพลางเห่าพลาง “ที่นี่แหละที่ข้าเจอไข่นกฟองใหญ่ ที่นี่แหละท่าน...”
เ่ิูชำเลืองมอง
ใต้โขดน้ำแข็งขนาดเล็กนั้นไม่มีของอะไรสักอย่าง ดูไม่เหมือนของจำพวกรังเก็บไข่ัเลยสักนิด
เสียวจิ่วเจอไข่ัที่นี่หรือ?
เ่ิูลังเลอยู่คนเดียว เด็กหนุ่มเดินเข้าไปสำรวจใกล้ๆ กระนั้นก็ไม่พบเจออะไรสักอย่าง ยามเงยหัวขึ้นมาก็เผอิญกวาดตาไปพบ เหมือนมีอะไรติดอยู่บนโขดน้ำแข็งด้านข้าง ครั้นมองอย่างถี่ถ้วน ดวงใจก็พลันเต้นระรัว สายตาเพ่งมองโขดน้ำแข็งนั้นนิ่ง ไม่อาจมองไปทางไหนได้อีกเลย