มู่เยี่ยนมองพวกเย่เฟิงออกไปพลางเผยสีหน้าอึมครึมมืดมน
“ลูกพี่ไยต้องเศร้าด้วยเล่า? ไว้จัดการคนผู้นี้ในงานชุมนุมหวงปั่งก็ยังไม่สาย” เงาร่างหนึ่งมาปรากฏตัวที่ด้านหน้ามู่เยี่ยน คนผู้นี้เป็ชายหนุ่มอายุ 16-17 ปี สวมอาภรณ์สีขาว สีหน้าแลดูซีดเซียวป่วยไข้ เหมือนปล่อยตัวมากเกินไปและไม่ดูแลตัวเอง ชายผู้นี้มีนามว่าจ้าวเทียน เป็บุตรของมู่ไฉ่เจี๋ยกับจวิ้นอ๋อง เขาฝึกตนอยู่ที่สำนักศึกษาเสินเจียง มีนิสัยโหดร้ายและชอบทำร้ายผู้หญิง
“ในงานชุมนุมหวงปั่ง ข้าจะทำลายเ้าสวะนี่ด้วยมือของข้าเอง!” ดวงตาของมู่เยี่ยนเต็มไปด้วยจิตสังหาร ทั้งยังมีภาพฉากที่จ้าวซินอี๋อยู่กับเย่เฟิงฉายในหัวไม่หยุด ทำให้เขาเกลียดชังและอยากฆ่าเย่เฟิงมากกว่าเดิม
“งานวันเกิดข้าจบลงเพียงเท่านี้ ทุกท่านแยกย้ายกันไปเถิด!” ผู้เฒ่ามู่ลุกขึ้นกล่าวกับทุกคน จากนั้นทุกคนทยอยคำนับผู้เฒ่ามู่ก่อนจะแยกย้ายกันไป
สถานการณ์ในงานวันเกิดพลิกผันจนถึงตอนนี้ ซึ่งเป็สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิด และดูเหมือนจะเป็สัญญาณเริ่มต้นเกมของเมืองหลวง
มู่เทียนหลง มู่เทียนหู่ และมู่ไฉ่เจี๋ยต่างเผยสีหน้าไม่เต็มใจ พวกเขาดูแคลนเย่เฟิง เด็กคนนี้กล้ากำเริบเสิบสานในตระกูลมู่ แม้จะถูกสามกองกำลังฆ่าตายก็เป็เขาที่หาเื่เอง
ไม่นานนักมู่เทียนฉีออกจากจวนตระกูลมู่ ย้อนกลับไปทางค่ายทหาร เขารู้ว่าถ้าเป็เช่นนี้ต่อไป ความขัดแย้งระหว่างเย่เฟิงกับตระกูลมู่จะลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่มีทางแก้ไข แต่จากท่าทีของผู้เฒ่ามู่ นับจากวันนี้ไปตระกูลมู่เตรียมตีสนิทกับราชวงศ์ แต่จะใช่เื่จริงหรือไม่ ยังต้องรอดูกันต่อไป
เมื่อพวกเย่เฟิงและเหล่าผู้ฝึกยุทธ์วังเทพโอสถมาถึงสถานที่ปลอดภัยก็หยุดทันที
“ผู้แซ่เยว่ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยไว้!” เยว่กู่คำนับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์วังเทพโอสถ แต่สายตาที่เขามองเย่เฟิงก็ได้เปลี่ยนไป เขาไม่คิดว่าวังเทพโอสถจะปรากฏตัวฉับพลันแล้วอยู่ข้างพวกเขาเช่นนี้
“ผู้าุโเยว่ไม่ต้องเกรงใจ เื่ของน้องเย่ก็คือเื่ของวังเทพโอสถ” ผู้าุโวังเทพโอสถระบายยิ้ม จากนั้นโค้งตัวให้เย่เฟิงและคนอื่น “ข้าต้องกลับวังเทพโอสถแล้ว ข้าขอตัวลาทุกท่าน!”
“เ้าไปรู้จักมักคุ้นกับวังเทพโอสถั้แ่เมื่อไรกัน?” หลังจากเหล่าผู้ฝึกยุทธ์วังเทพโอสถจากไป เยว่กู่ก็ซักถามเย่เฟิง
“ก็รู้จักกันนิดหน่อยขอรับ” เย่เฟิงตอบกลับ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวังเทพโอสถจะแพร่งพรายให้คนอื่นรู้ไม่ได้ในตอนนี้
เยว่กู่รู้ว่าเย่เฟิงมีเื่บางอย่างปิดบังเขา แต่ก็ไม่ได้ซักถามอย่างละเอียด ถึงอย่างไรคนเราต่างก็มีความลับของตัวเอง
จากนั้นพวกเย่เฟิงกลับถึงสำนักยุทธ์เทียนเสวียนโดยสวัสดิภาพ เห็นชัดว่าคำพูดขององค์หญิงจ้าวซินอี๋มีพลังสยบมากเพียงใด
สามวันต่อมา ณ หอวิชาชั้นที่ 4 ร่างกายของเย่เฟิงถูกพลังหุนหยวนห่อหุ้ม พร้อมเปล่งแสงจ้า ตอนนี้เขาเริ่มฝึกเก้าวัชรหุนหยวนขั้นที่สามแล้ว พลังหยวนภายในร่างก็ยังมีปริมาณที่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกันมิอาจเทียบได้ เพราะมีปริมาณมากกว่าถึงสามเท่า
ภายใต้การสนับสนุนจากพลังหยวนที่แข็งแกร่ง พลังต่อสู้ของเย่เฟิงจึงถูกยกระดับ ในขณะเดียวกันขั้นพลังของเขาก็เข้าใกล้ขั้นรวมชี่ที่ 6 ทีละนิด ๆ
พลันมีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวที่ด้านหน้าเย่เฟิง เงาร่างนั้นพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมเผยสีหน้าพึงพอใจขณะมองชายหนุ่มตรงหน้าที่ถูกโอบล้อมไปด้วยพลังหุนหยวน
ครู่ต่อมาเย่เฟิงก็ออกจากสภาวะฝึกตน
“ผู้าุโฉิน”
ฉินเจิ้นถิงมองเย่เฟิง แล้วกล่าวว่า “ไม่เลว พลังก้าวหน้าไปไม่น้อยเลย”
“ผู้าุโฉิน สามวันนี้ที่ข้าฝึกตน สามกองกำลังนั้นมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่?” เย่เฟิงเอ่ยถาม เขารู้ว่าการที่ตนฆ่าอี้ชิงจะทำให้สำนักศึกษาเสินเจียงโกรธเกลียดเขา แล้วยังมีมู่เทียนหลงและมู่เยี่ยนที่สร้างปัญหาด้วย สำนักศึกษาเสินเจียงไม่มีทางรามือง่าย ๆ แน่นอน
“ยังไม่มี เ้าฝึกไปเถิด ไม่ต้องเป็ห่วงเื่นี้” ฉินเจิ้นถิงกล่าวพลางส่ายหัว
“ข้ารบกวนสำนักยุทธ์แล้ว” เย่เฟิงคำนับให้ฉินเจิ้นถิง พร้อมเผยสีหน้าละอายใจ
“นี่ไม่ใช่ความผิดของเ้า เป็ราชวงศ์ที่อยากจัดการสำนักยุทธ์เทียนเสวียนต่างหาก เ้าฆ่าอี้ชิง พวกเขาจึงได้ข้ออ้างในการลงมือ แม้เ้าไม่ฆ่าอี้ชิง พวกเขาก็จะหาวิธีอื่นมากำจัดสำนักยุทธ์เทียนเสวียนอยู่ดี เื่นี้ย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา” ฉินเจิ้นถิงกล่าวช้า ๆ พร้อมดวงตาเผยประกายคมกริบ งานชุมนุมหวงปั่งครั้งนี้คงไม่ราบรื่นแล้ว
“ผู้าุโฉิน ข้ามีเื่หนึ่งอยากขอคำชี้แนะ” เย่เฟิงฉุกคิดบางอย่างได้ จึงเอ่ยถามขึ้น
“เื่ใดหรือ?” ฉินเจิ้นถิงตอบกลับ
“ในสำนักยุทธ์มีคนที่ชื่อหลิวจงเหรินหรือไม่?” เย่เฟิงเอ่ยถาม ตอนที่เย่เฟิงออกจากตระกูลหนานกง เขาพบจดหมายฉบับหนึ่งเสียบคาอยู่ที่ปลายหอกัเงินประกาย เป็คนที่ชื่อว่าหลิวจงเหรินเขียนหาบิดาเขา มีเนื้อหาเขียนว่า ‘ในวังมีพยัคฆ์ร้ายที่เป็อันตรายต่อชีวิต’ แม้จะน้อยคำ แต่ก็แฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง เย่เฟิงรู้มาตลอดว่าเื้ัเื่นี้เป็อย่างไร เพราะเหตุนี้เขาจึงเข้าร่วมสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
“หลิวจงเหรินเป็อดีตผู้าุโในสำนักยุทธ์ แต่เขาเสียชีวิตไปเมื่อ 15 ปีก่อนด้วยโรคร้ายแรง เ้าถามหาเขาไปทำไมหรือ?” ฉินเจิ้นถิงประหลาดใจที่เย่เฟิงรู้จักหลิวจงเหริน
“เื่เป็แบบนี้ขอรับ” จากนั้นเย่เฟิงเล่ารายละเอียดที่เขาพบจดหมายฉบับนั้นให้ฉินเจิ้นถิงฟัง ฉินเจิ้นถิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาทราบเื่ที่ตระกูลเย่ล่มสลายในปีนั้นและรู้ว่าเซิ่งอ๋องเป็ตัวต้นเหตุ ก่อนที่หลิวจงเหรินจะเสียชีวิตก็สนิทสนมกับเย่เจินบิดาของเย่เฟิงพอควร บางทีหลิวจงเหรินอาจรู้เื่บางอย่าง เพื่อไม่ให้สหายถูกเซิ่งอ๋องฆ่า จึงใช้วิธีนี้แอบบอกบิดาเย่เฟิง แต่บัดนี้หลิวจงเหรินจากโลกไปหลายปีแล้ว ทำให้มีหลายเื่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ
ดวงตาของเย่เฟิงส่องประกายเย็นเยือก สักวันหนึ่งเขาจะกำจัดคนเ่าั้ที่ทำให้ตระกูลเย่ล่มสลายให้สิ้นซาก
หลายวันต่อมา เย่เฟิงปิดด่านฝึกเก้าวัชรหุนหยวนที่หอวิชาชั้นที่ 4 ตลอด จนกระทั่งฝึกเก้าวัชรหุนหยวนขั้นที่สามถึงระดับล่าง เย่เฟิงก็ออกจากหอวิชา
แต่ขณะนั้นไม่ไกลออกไปมีหญิงสาวคนหนึ่งเดินมาหาเย่เฟิง เย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ เขาไม่รู้จักหญิงผู้นี้ แต่จากนั้นเห็นนางยิ้มให้เย่เฟิงแล้วกล่าวถามว่า “ใช่คุณชายเย่เฟิงหรือไม่?”
“ข้าเอง” เย่เฟิงตอบกลับ
“มีคนไหว้วานข้าให้มาส่งเทียบเชิญให้คุณชาย” หญิงสาวกล่าว จากนั้นยื่นเทียบเชิญไปด้านหน้าเย่เฟิง
“เทียบเชิญอีกแล้ว” เย่เฟิงรับเทียบเชิญมา จากนั้นอ่านเนื้อหาเพียงไม่กี่บรรทัดที่อยู่ในนั้น เขามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็ลายมือของผู้หญิง แล้วกระดาษยังส่งกลิ่นหอมออกมาอีกด้วย
ในเทียบเชิญมีเนื้อหาบอกว่าวันนี้เจอกันที่ภัตตาคารเฟิ่งไหลในเมืองหลวง ลงนามจ้าวซินอี๋
เมื่อเห็นชื่อนี้แววตาของเย่เฟิงก็ทอประกาย ก่อนจะมีใบหน้างดงามของหญิงผู้นั้นปรากฏในหัว จึงอดระบายยิ้มไม่ได้
“หญิงผู้นี้เรียกหาข้ามีเื่อะไรกันนะ?” เย่เฟิงพึมพำกับตัวเอง จากนั้นเขาสวมงอบแล้วออกจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
ภัตตาคารเฟิ่งไหลตั้งอยู่ที่เขตใจกลางเมืองหลวง อยู่ใกล้วังหลวง ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่เดินทางมามักจะเป็บุคคลสำคัญและมีฐานะสูงส่ง จึงหลีกเลี่ยงการพบปะสังสรรค์ไม่ได้ ทำให้บริเวณที่ตั้งภัตตาคารเฟิ่งไหลมีความเจริญรุ่งเรืองสุดขีด
ตามถนนและตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย บรรยากาศก็ครึกครื้นเป็อย่างมาก
ณ ภัตตาคารเฟิ่งไหลชั้นที่สอง ที่นี่มีคนมารับประทานอาหารจำนวนมาก ทั้งยังมีคนรุ่นเยาว์มากพร์หลายคน
เย่เฟิงมาถึงที่นี่ก่อนเที่ยง จากนั้นเขาหาที่นั่งติดหน้าต่างแล้วนั่งคนเดียว เขาเพลิดเพลินไปกับอาหารบนโต๊ะและฟังผู้อื่นพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง่นี้
“พวกเ้าได้ยินกันหรือยัง งานวันเกิดผู้เฒ่ามู่เมื่อหลายวัน มีการขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างสำนักยุทธ์เทียนเสวียนกับสามกองกำลังอย่างสำนักศึกษาเสินเจียงหอชิงหลงสำนักอี่เทียน ถ้าข้าจำไม่ผิด ถึงสี่สำนักยุทธ์ศึกษานี้จะไม่ลงรอยกัน แต่ก็ยังไม่เคยเกิดการปะทะที่รุนแรงมาก่อน หรือนี่หมายความว่าราชวงศ์จะกำจัดสำนักยุทธ์เทียนเสวียน?” คนผู้หนึ่งที่อยู่โต๊ะใกล้ ๆ กล่าว
“ราชวงศ์คงมีความคิดที่จะเขมือบสำนักยุทธ์เทียนเสวียนนานแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาส แต่ครั้งนี้เกรงว่าจะเริ่มจริง ๆ แล้ว!”
“ข้ายังได้ยินมาว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลมู่ครั้งนั้นเป็เพราะเย่เฟิงสังหารอี้ชิง”
“ข้าได้ยินมาเหมือนกัน บอกตามตรงเย่เฟิงคนนั้นร้ายกาจมาก ลือกันว่าเขาเพิ่งบรรลุขั้นรวมชี่ที่ 5 ก็สังหารอี้ชิงที่อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 8 ได้แล้ว อีกอย่างเย่เฟิงคนนี้ก็ดูเหมือนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับองค์หญิงจ้าวซินอี๋ ช่างเป็วีรบุรุษผู้เยาว์วัยจริง ๆ!”
หลังจากคนนั้นพูดถึงหัวข้อนี้ หลาย ๆ คนก็เริ่มเข้าประเด็นนี้ และสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนแรก ส่วนนามว่าเย่เฟิงก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงจากเหตุการณ์ครั้งนั้นจนเป็ที่รู้จักของใครหลาย ๆ คน
“เลิกพูดเถอะ เื่ขององค์หญิงกับสำนักศึกษาเสินเจียงไม่ใช่เื่ที่คนอย่างพวกเราจะวิพากษ์วิจารณ์ได้ ถ้าขุนพลรู้เข้าคงถูกบั่นหัวแน่!” ขณะที่ผู้คนพูดคุยกัน จู่ ๆ มีคนหนึ่งเดินมาตักเตือน เมื่อคนเ่าั้ได้ยินคำตักเตือนก็หน้าเปลี่ยนสีและหุบปากเงียบ
เย่เฟิงที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ ก็ไม่คิดว่าภายในเวลาสั้น ๆ ตัวเองจะมีชื่อเสียงมากเพียงนี้
ขณะนั้นมีสามเงาร่างเดินขึ้นบันไดมา เป็ชายสองหญิงหนึ่ง
“คุณหนูเว่ย ท่านเสวียนอู่เว่ยรออยู่ด้านใน ที่นี่เป็ภัตตาคารที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงของเมืองหลวงอาณาจักรจ้าว ทั้งอาหารและเครื่องดื่มล้วนเป็ของชั้นดี” ชายหนึ่งในนั้นเดินมาข้างหน้า จากนั้นแนะนำชายหญิงคู่นั้นด้วยท่าทีถ่อมตน
เย่เฟิงหันไปมองทางด้านนั้น เขาพบว่าชายที่แนะนำเป็ชาวท้องถิ่น ส่วนชายหญิงที่อยู่ด้านหลังแตกต่างจากชาวท้องถิ่น โดยเฉพาะการแต่งกายก็ดูแล้วว่าไม่ใช่ชาวอาณาจักรจ้าว แต่หญิงผู้นั้นกลับสวยงดงาม อายุประมาณ 16-17 ปี นางมีรูปร่างดี ผิวพรรณขาวนวลราวกับหิมะ แฝงด้วยความสูงศักดิ์ แม้จะไม่ยอดเยี่ยมเท่าจ้าวซินอี๋ แต่ก็ถือเป็สาวงามหนึ่งในล้าน
ส่วนชายหนุ่มที่อยู่กับหญิงสาว คนผู้นี้มีสีหน้าเ็า สายตาไม่มองไปที่ใด มีเพียงความเกรงขาม มิหนำซ้ำยังให้ความรู้สึกอันตราย
อย่างไรก็ตามเย่เฟิงดูออกว่าชายผู้นี้เป็องครักษ์ของหญิงสาวผู้นั้น เมื่อออกนอกถิ่นย่อมมีองครักษ์ ทั้งยังมีชาวอาณาจักรจ้าวคอยชี้ทาง มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าหญิงผู้นี้ต้องมีภูมิหลังไม่ธรรมดา
“ข้าชอบสถานที่ที่สงบเงียบ ไป เหมาภัตตาคารแล้วก็ไล่คนพวกนี้ออกไปให้หมด!” หญิงผู้นั้นมองไปรอบ ๆ ภัตตาคารด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง ก่อนจะกล่าวกับชายชาวอาณาจักรจ้าวคนนั้น
“ขอรับ คุณหนูเว่ยโปรดรอสักครู่” ชายชาวอาณาจักรจ้าวคนนั้นกล่าวพลางยิ้ม จากนั้นเห็นเขาเรียกผู้ดูแลภัตตาคารมา ก่อนจะโยนเงินให้อีกฝ่ายพร้อมบอกเื่ที่จะเหมาภัตตาคาร ซึ่งผู้ดูแลภัตตาคารไม่ปฏิเสธ ทั้งยังมองชายหนุ่มผู้นั้นด้วยแววตาเคารพนับถือโดยไม่กล้าขัดคำสั่งแม้แต่น้อย
