วันต่อมา ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งหลังหิมะตก
แสงแดดอันอบอุ่นส่องแสงลงมายังพื้นกว้าง ครอบครัวหูเริ่มยุ่งอยู่กับงานั้แ่เช้าตรู่
ท้องฟ้าอากาศปลอดโปร่ง หลี่ซื่อจัดเก็บเครื่องใช้เสื้อผ้าปลอกหมอนและผ้านวมในบ้านที่ต้องซักทั้งหมดออกมา มองความสูงที่ซ้อนกันขึ้นคล้ายกับูเาขนาดย่อม ทำให้เจินจูอดขมวดคิ้วไม่ได้
เจินจูกับหลี่ซื่อพากันอุ้มเสื้อผ้าและเครื่องใช้ต่างๆ ที่จับม้วนเป็กองแล้วเดินไปริมลำธารมุมหนึ่งของูเา ที่นั่นมีคนซักล้างเสื้อผ้าและเครื่องใช้อยู่ก่อนแล้ว
“เจินจู มาซักเสื้อผ้ากับท่านแม่เ้าหรือ” จางซื่อมารดาของเจิ้งเอ้อร์หนิวเป็ผู้กล่าว นางอายุสามสิบห้าสามสิบหกโดยประมาณ รูปร่างซูบผอม สีหน้าแห้งเฉาและเหลือง ทำงานหนักมาตลอดทั้งปี ทำให้มีเส้นผมสีขาวแซมอยู่ประปรายบนศีรษะ
“อาสะใภ้เจิ้ง ท่านก็มาซักเสื้อผ้าด้วยหรือเ้าคะ วันนี้อากาศดี เสื้อผ้าสกปรกวางไว้หลายวัน จึงอดหยิบออกมาทำความสะอาดไม่ได้” เจินจูเคยเจอนางอยู่ไม่กี่ครั้ง จางซื่อเป็แบบอย่างของฟู่เหรินในครอบครัวชาวนาที่มานะบากบั่นและเรียบง่าย เวลาส่วนใหญ่ล้วนยุ่งอยู่กับงานบ้าน
หลี่ซื่อวางเสื้อผ้าในมือลง ยิ้มเขินอายด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย หันไปทักทายจางซื่อ “ท่านพี่สะใภ้เจิ้ง…”
“อื้ม น้องสะใภ้ เ้าซักเสื้อผ้าเถิด” จางซื่อยิ้มแล้วตอบกลับทันที ได้ยินมานานแล้วว่ากล่องเสียงของหลี่ซื่อหายดี สามารถพูดจาได้ และนี่ยังเป็ครั้งแรกที่ได้พูดคุยกับหลี่ซื่ออีกด้วย
บ้านของพวกนางอยู่ไม่ไกลจากบ้านของครอบครัวหู แต่นางไม่คุ้นเคยกับหลี่ซื่อเลย เนื่องจากหลี่ซื่ออาศัยอยู่ในลานบ้านของตนเองตลอดทั้งปี แล้วยังไม่สามารถพูดจาได้ บางครั้งออกมาซักเสื้อผ้าบริเวณลำธารทำให้ได้เจอกันบ้าง แต่เพียงยิ้มทักทายเท่านั้น เพราะสองคนไม่ได้สนิทกันมากนัก
แต่เจิ้งซวงหลินสามีของนางกับหูฉางกุ้ยบุตรคนรองสกุลหูถือได้ว่าเป็พี่เป็น้องกัน ช่วยเหลือกันและกันอยู่บ่อยๆ บางครั้งยังมาดื่มสุราด้วยกัน แล้วยังมีหูผิงอันเด็กชายบ้านพวกเขา ก็ยังมาบ้านสกุลเจิ้งเล่นกับเอ้อร์หนิวอยู่ตลอด
จางซื่อมองมายังหลี่ซื่อด้วยความอิจฉาเล็กน้อย เป็สตรีครอบครัวชาวนาที่เลี้ยงดูบุตรชายให้กำเนิดบุตรสาวเหมือนกัน แต่หลี่ซื่อกลับมีผิวพรรณขาวผ่อง ผมดกดำดั่งปุยเมฆ [1] อ่อนวัยและงดงามกว่าฟู่เหรินรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างมาก
“อา... ใช่แล้ว เจินจู ข้ายังไม่ได้ขอบใจเื่กระต่ายหนึ่งคอกที่เ้ามอบให้เอ้อร์หนิวเลย ่นี้ลูกกระต่ายตัวโตไม่น้อย ได้ยินผิงอันกล่าวว่า ผ่านไปพักหนึ่งก็จับไปขายได้แล้ว ขอบใจเ้ามากเลยนะ!” กระต่ายหนึ่งคอกที่เจินจูมอบให้ ตอนที่เอากลับมาบ้าน ลูกกระต่ายก็ตัวโตประมาณหนึ่งแล้ว นี่เลี้ยงมาได้หนึ่งเดือนกว่า โดยรวมลูกกระต่ายล้วนโตเต็มวัยขึ้นมาก
“ท่านอาสะใภ้เจิ้ง ไม่ต้องขอบใจ ตอนจับกระต่าย เอ้อร์หนิวช่วยเหลือไม่น้อยเลย ข้าให้เป็การเหมาะสมแล้ว” เจินจูยิ้มแล้วกล่าวกับจางซื่อไปพลาง เริ่มทำความสะอาดเสื้อผ้าอย่างไม่ค่อยชำนาญไปพลาง “กระต่ายเ่าั้จับตัวผู้ไปขายทิ้งได้ ส่วนกระต่ายตัวเมียก็เก็บไว้เลี้ยงต่อ เมื่อผ่านไปพักหนึ่งพวกมันก็จะออกลูกมาได้อีกหลายคอกเลยเ้าค่ะ”
“อ่า... ผิงอันก็กล่าวเช่นนี้ เขายังช่วยเอ้อร์หนิวแยกกระต่ายตัวผู้และกระต่ายตัวเมียด้วย ลูกกระต่ายคอกนี้มีตัวผู้สามตัว ตัวเมียสองตัว รอผ่านไปสักสองสามวัน ก็จะเอากระต่ายตัวผู้ไปขายในเมือง ทำให้ครอบครัวสามารถสะสมเงินเพื่อฉลองปีใหม่ได้พอดี พวกเ้าสองพี่น้องล้วนเป็เด็กดีมีจิตใจที่ดี ขอบใจพวกเ้ามากนะ” จางซื่อขอบคุณด้วยความจริงใจ พี่สาวน้องชายของครอบครัวหูดูแลเอ้อร์หนิว และยังเอาหัวข้อต่างๆ ของการเพาะเลี้ยงกระต่ายบอกแก่เอ้อร์หนิวอย่างละเอียดถี่ถ้วน กระต่ายหนึ่งคอกของบ้านตน เลี้ยงมาแล้วเดือนกว่าๆ ล้วนเติบโตมาอย่างมีชีวิตชีวาและแข็งแรง พริบตาเดียวก็สามารถจับไปขายเพิ่มรายได้หนึ่งส่วนให้ในบ้านได้แล้ว
“ฮิๆ ท่านอาสะใภ้เกรงใจเกินไปแล้ว ในยามปกติบ้านท่านก็ช่วยเหลือบ้านข้าไม่น้อยเลย พวกเราเป็เพื่อนบ้านข้างเคียงช่วยเหลือกันและกันล้วนสมควรแล้ว ครั้งนี้เอากระต่ายตัวเมียทั้งหมดเก็บไว้ขยายพันธุ์ ปีหน้ากระต่ายของบ้านท่านก็จะมีมากขึ้น” เจินจูคว้าท่อนไม้ตีไปบนเสื้อผ้าที่สกปรกเ่าั้ “ผัวะๆ”
สองคนคุยกันเื่กระต่ายอยู่พักหนึ่ง คุยไปด้วยซักเสื้อผ้าไปด้วย ฝั่งหลี่ซื่อเองก็ก้มหน้าก้มตาซักผ้าปูที่นอน เป็บางครั้งคราวที่นางจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มไปทางพวกเขาสองคน
จางซื่อซักเสื้อผ้าเสร็จก็ล่วงหน้าจากไปก่อน เจินจูและหลี่ซื่อยังคงต่อสู้กับกองเสื้อผ้าตรงหน้าไปอีกครึ่งชั่วยาม จนกระทั่งซักเสื้อกันหนาวที่ทั้งหนาและหนักหนึ่งกะละมังใหญ่เต็มๆ ได้สะอาดจนเป็ที่พอใจ
ในลานบ้านเต็มไปด้วยราวไม้ไผ่ แถวหนึ่งแขวนเสื้อกันหนาวที่ซักสะอาดเต็มราว ถัดจากเสื้อกันหนาวคือพวงอาหารหมัก อากาศดีอย่างหาได้ยากเช่นนี้ เป็ธรรมดาที่จะเอาอาหารหมักออกมาตากแห้งให้ทั่ว
“เฮอ...” เจินจูถอนหายใจหนึ่งเฮือกยาวๆ ชูสองแขนขึ้นแล้วบิดเอวี้เี “ไอ๊หยา เสื้อผ้าที่ต้องซักมีมากเกินไปแล้ว เอาแต่กองไว้จนอากาศดีถึงได้ซัก ขยี้จนมือล้าไปหมดเลย”
กำลังบิดเอวยืดกล้ามเนื้อกับกระดูกอยู่ นอกลานบ้าน ได้ยินเสียงของผิงซุ่นดังขึ้น “พี่สาม...”
“ผิงซุ่นมาแล้ว เหตุใดวันนี้เ้ามาคนเดียวเล่า? พี่รองล่ะ?” เจินจูเดินเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า
“พี่สาม พี่รองอยู่บ้านน่ะ พี่ใหญ่กลับมาแล้ว ท่านย่าให้ข้ามาเรียกท่านไปสักเดี๋ยวหนึ่ง” ผิงซุ่นทำหน้าที่กระบอกเสียงถ่ายทอดอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“พี่ใหญ่?” หูอู้จูหรือ? เจินจูค้นหาข้อมูลจากในความทรงจำของนาง
หูอู้จูเป็บุตรคนที่หนึ่งของเหลียงซื่อ ั้แ่เด็กเหลียงซื่อพกพาอยู่ข้างกาย ลักษณะนิสัยเลี้ยงดูจนกลายเป็คนค่อนข้างเ้าเล่ห์ขี้โกงและหยิ่งยโส นิสัยใจคอค่อนข้างฉุนเฉียวง่าย และดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยชอบสองพี่น้องหญิงชายเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว สองคนไม่สนิทกันเลยกับหูอู้จู
“อื้ม... ใช่ นางมาอีกแล้ว” ผิงซุ่นแบะปาก หูอู้จูฉุนเฉียวง่ายแล้วยังพูดมาก ตอนอยู่บ้านก็ชอบชี้นิ้ววาดเท้า [2] กับผิงซุ่นบ่อยๆ ผิงซุ่นเป็เพียงคนเดียวที่เหลียงซื่อเอ็นดูอย่างมาก คนนิสัยเสียสองคนมาเจอกัน หากผิงซุ่นสามารถชอบนางได้สิจึงจะแปลก
“เฮ้อ...” มองผิงซุ่นที่ใบหน้าไม่เบิกบาน เจินจูอดยิ้มแล้วกล่าวขึ้นไม่ได้ “ท่านย่าเรียกข้าไปทำอันใดหรือ?”
“ไม่ทราบ พวกนางกำลังคุยกันอยู่ในบ้าน ข้าไม่ได้ใส่ใจฟังเท่าใดนัก แต่... เหมือนว่าพี่ใหญ่จะบอกว่าอยากเลี้ยงกระต่ายเช่นกัน” ผิงซุ่นนิสัยปราดเปรียวร่าเริง นั่งไม่ติดอยู่กับที่ มักจะวิ่งซ้ายเล่นขวา [3] ไม่ได้ตั้งใจฟังการพูดคุยกันของผู้อื่นอย่างแน่นอน
“โอ้...” เจินจูเลิกคิ้ว เป็กระต่ายอีกแล้ว? เป็เช่นนี่หนึ่งคนสองคนแล้ว ข่าวคราวได้รับไวพอสมควรเลย
นางตบขี้เถ้าที่ลอยอยู่บนตัวเบาๆ แล้วหมุนกายไปทางหลังบ้านะโเรียก “ผิงอัน...เ้ามานี่”
“อื้อ...” ผิงอันที่สวมเสื้อหนาวมีซับในตัวใหม่สีน้ำเงินแดงวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ท่านพี่ เรียกข้าทำไมหรือ? ...พี่ชาย ท่านก็มาแล้ว!”
“อื้ม ผิงอัน เลี้ยงกระต่ายเสร็จแล้วหรือ?” ผิงซุ่นอิจฉาผิงอันมากนัก ทุกวันล้วนสามารถให้อาหารกระต่ายได้ แล้วยังเล่นกับกระต่ายได้อีก
“พี่ใหญ่กลับมาแล้ว เ้าไปหาท่านย่าที่นั่นกับข้าสักรอบสิ” หญ้าเลี้ยงกระต่ายยังติดอยู่บนหัวผิงอัน เจินจูหัวเราะและช่วยเขาหยิบออก
“พี่ใหญ่?” ผิงอันงงงวยไปครู่หนึ่ง พี่ใหญ่ไม่ชอบและไม่สนใจพวกเขาสองพี่น้องหญิงชายมาตลอด ครั้งนี้จะมาหาพวกเขาทำอันใดกัน
“ใช่แล้ว ไปเถอะ พวกเราไปดูสักหน่อย” เจินจูถือโอกาสตบเสื้อผ้าของเขาเบาๆ ฉุดดึงจีบผ้าเล็กน้อย บอกกล่าวกับหลี่ซื่อหนึ่งเสียง แล้วจึงจูงเขาไป
เพิ่งจะเดินเข้าประตู ในบ้านก็มีเสียงแหลมเล็กดังสะท้อนออกมา “ท่านย่า ทำไมเอากระต่ายเลี้ยงไว้ที่บ้านท่านอารองทั้งหมดได้เล่า? อย่างน้อยบ้านเราต้องเลี้ยงสักครึ่งหนึ่งสิจึงจะถูกนะเ้าคะ”
เจินจูที่จูงมือผิงอันอยู่หยุดชะงักฝีเท้าลง
ผิงซุ่นที่อยู่เื้ัวิ่งพรวดเข้าไป “ท่านย่า พี่สามกับผิงอันมาแล้ว”
“อ้าว... พวกเ้ารีบเข้ามา” หวังซื่อรีบเดินไปที่หน้าประตูกวักมือไปทางพวกนาง
“ท่านย่า” เจินจูจูงผิงอันเข้าบ้าน
ภายในบ้าน ชายชราหู เหลียงซื่อ หูอู้จู ชุ่ยจูนั่งเรียงตามลำดับ เห็นว่าสองคนเดินเข้ามาก็ทยอยกันทักทาย
หูอู้จูสวมเสื้อกันหนาวลายดอกคำฝอยนั่งตัวตรงบนเก้าอี้ ผมสีดำทั้งศีรษะม้วนอยู่ด้านหลัง บนมวยผมติดปิ่นปักผมสีเงินหนึ่งข้าง คิ้วบาง ใบหน้ากลม ค่อนข้างคล้ายคลึงกับเหลียงซื่อ
ใบหน้าหูอู้จูเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อสังเกตสองพี่น้องที่เดินเข้าบ้านมาจากบนลงล่างอย่างละเอียด
คาดไม่ถึงเลยจริงๆ ไม่ได้เจอกันสั้นๆ ไม่กี่เดือน ความเปลี่ยนแปลงของทั้งคู่จะเปลี่ยนไปมากเช่นนี้ โดยเฉพาะเจินจู ยัยเด็กที่แห้งเหี่ยวและผอมลีบมาโดยตลอด ไม่คิดเลยว่าจะเปลี่ยนไปจนผิวขาวมีน้ำมีนวลขึ้นมาได้ เสื้อหนาวตัวใหม่สีแดงอ่อนลายดอกไม้เข้มที่อยู่บนตัวก็ไม่นึกเลยว่าจะขับให้ความน่ารักของนางโดดเด่นเช่นนี้ด้วย
ส่วนผิงอันลูกพี่ลูกน้องผู้ชายที่อ่อนแอขี้โรคั้แ่เด็กผู้นั้น เดิมทีใบหน้ายาวรูปไข่ผอมจนเห็นกระดูก เวลานี้มีเนื้อหนังขึ้นเล็กน้อย สีหน้ามีเืฝาด ั์ตาสองข้างมีชีวิตชีวา รู้สึกว่าแข็งแรงขึ้นมาก
“พี่ใหญ่” เจินจูและผิงอันทักทายขึ้นพร้อมกัน
“อือ... มา มานั่งคุยกัน นี่เป็น้ำตาลที่พี่ใหญ่ตั้งใจซื้อในเมืองมาฝากพวกเ้าเป็พิเศษ เอ้า” อู้จูถือน้ำตาลสองห่อบนโต๊ะขึ้นมาแบ่งให้พวกนาง
“ขอบคุณพี่ใหญ่” หลังจากเจินจูรับมา ก็เปลี่ยนไปวางไว้ด้านข้าง ไม่ได้เปิดออกทันที
“ขอบคุณพี่ใหญ่” ผิงอันชำเลืองมองเจินจูแวบหนึ่ง แล้วก็ทำเลียนแบบนาง เอาห่อน้ำตาลวางไว้ด้านข้าง ครั้งที่แล้วในขนมผลไม้เชื่อมที่เ้าของร้านหลิวมอบให้มีเหอเถาซู [4] น้ำตาลเมล็ดงา น้ำตาลเมล็ดสนและอื่นๆ อยู่สองสามห่อ ล้วนเป็ขนมน้ำตาลชั้นดีทั้งนั้น ผิงอันทานจนเบื่อแล้ว เลยไม่ได้รู้สึกอยากทานน้ำตาลเช่นนั้นอีก
“เปิดออกทานสิ ผิงอัน ข้าจำได้ว่าเ้าชอบทานน้ำตาลที่สุดมิใช่หรือ” หูอู้จูเห็นว่าทั้งสองต่างก็เมินเฉยและไม่สนใจอยากจะทาน จึงอดคิดขุ่นเคืองในใจไม่ได้ ขนมน้ำตาลเหล่านี้นางจ่ายเงินซื้อไปสิบกว่าเหวินเลยนะ ยามปกตินางล้วนตัดใจทานไม่ลง
“ท่านพี่ น้ำตาลนี่ไม่อร่อย น้ำตาลเมล็ดสนที่ผู้อื่นมอบให้ครั้งก่อนถึงจะอร่อย” ผิงซุ่นหยิบมาเปิดหนึ่งห่อด้วยความไม่ยี่หระ ทานไปหนึ่งเม็ดแล้วก็แหวะออกมาตรงๆ
“…” สีหน้าอู้จูครึ้มลงทันที มองหน้าผิงซุ่น กล่าวเสียงสูง “ทำไมน้ำตาลนี้จะไม่อร่อย? เสียทีที่เ้าเป็น้องชายข้า ที่ผู้อื่นมอบให้อร่อย ที่พี่สาวเ้ามอบให้ไม่อร่อย เ้าจะกล่าวเช่นนี้หรือ?”
“พอแล้ว เ้ากล่าวเสียงดังใส่ผิงซุ่นเช่นนั้นทำไม เขายังเด็กไม่รู้เื่ เ้าก็เป็สาวแต่งงานแล้ว เหตุใดยังตวาดเสียงดังเช่นนี้อยู่อีก” เหลียงซื่อปกป้องผิงซุ่น อู้จูมองบนหนึ่งที
“ท่านแม่ ทำไมท่านว่าแต่ข้า เขาผ่านปีไปก็เก้าขวบแล้ว จะเด็กได้อย่างไร ซื้อน้ำตาลให้เขา เขายังรังเกียจ ทำไมข้าจะโกรธไม่ได้เ้าคะ” อู้จูถลึงตาใส่ผิงซุ่นกล่าวด้วยความโมโหหายใจแทบไม่ทัน
“ผิงซุ่น เป็เ้าที่ไม่ถูก พี่ใหญ่เ้าซื้อน้ำตาลให้เ้าทาน ไม่ว่าจะอร่อยหรือไม่ล้วนแล้วแต่เป็น้ำใจของนาง ขอโทษพี่สาวเ้าเสีย” หวังซื่อกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
ผิงซุ่นเบ้ปาก กล่าวอย่างไม่เต็มใจ “ข้าผิดไปแล้ว”
กล่าวจบ ก็ะโลงจากเก้าอี้ ดึงผิงอันไปทันที “ไปเถิด พวกเราไปเล่นกับตงเซิ่งกัน”
ผิงอันหันมามองเจินจูแวบหนึ่ง นางยิ้มแล้วพยักหน้า เขาจึงจากไปกับผิงซุ่นอย่างหมดห่วง
“ท่านย่า ท่านน่าจะจัดการผิงซุ่นให้ดีนะเ้าคะ โตเช่นนี้แล้ว เอาแต่เล่นอยู่ทุกวี่ทุกวัน” จิตใจอู้จูยังยากที่จะสงบลงได้
“อืม... ต่อไปเขาจะไม่มีเวลาเล่นมากเช่นนั้นแล้ว เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิจะส่งเขากับผิงอันไปโรงเรียนส่วนตัว” หวังซื่อกล่าว
“โรงเรียนส่วนตัว?” อู้จูใสุดขีด “นั่นต้องใช้จ่ายเงินไม่น้อยกระมัง?”
อู้จูคำนวณด้วยนิ้วมือที่แข็งทื่ออย่างละเอียดต่อเนื่อง “ค่าตอบแทนอาจารย์ที่สอนของโรงเรียนส่วนตัวในหมู่บ้าน เพียงหนึ่งปีก็ต้องจ่ายเงินเจ็ดแปดเหลียงแล้ว รวมกับค่าเครื่องเขียนหนึ่งปี ต้องจ่ายเงินน้อยที่สุดสองเหลียง นั่นมิใช่จำนวนน้อยเลย ผิงซุ่นเก้าขวบแล้ว อายุนี้ค่อนข้างมาก ไปแล้วจะไม่เปลืองเงินหรือเ้าคะ”
หวังซื่อมองอู้จูแวบหนึ่งอย่างอดทนสุดความสามารถ แล้วมองเจินจูที่นั่งตัวตรงเงียบสงบแวบหนึ่งอีกครั้ง “สิ่งเหล่านี้ในใจข้ารู้ดี ส่งผิงซุ่นไปโรงเรียนส่วนตัว ไม่ได้หวังให้เขาโดดเด่นเป็เลิศถึงขนาดสอบเข้าซิ่วฉ่าย [5] ได้ ขอแค่รู้ตัวอักษรเล็กน้อยและเข้าใจหลักการมากหน่อย ต่อไปเสาหลักของสกุลหูต้องพึ่งเขาแล้ว”
“ไม่เลว... เมื่อก่อนในบ้านสภาพการเงินไม่ดี ไม่สามารถส่งพวกเขาไปเล่าเรียนโรงเรียนส่วนตัวได้ ขณะนี้เมื่อมีความสามารถนี้แล้ว แน่นอนว่าต้องส่งไปเรียนจึงจะดี” ชายชราหูยิ้มแล้วพยักหน้าคล้อยตาม
“ขณะนี้มีความสามารถนี้แล้วเช่นนั้นหรือเ้าคะ? ท่านปู่ ่นี้ที่บ้านหาเงินได้เยอะจริงๆ หรือเ้าคะ” สองตาอู้จูเปล่งประกาย หรือว่าข่าวลือภายนอกล้วนเป็ความจริง?
เชิงอรรถ
[1] ผมดกดำดั่งปุยเมฆ หมายถึง ผมมีสีดำและฟูเหมือนก้อนเมฆ และมักใช้เพื่ออธิบายความงามของมวยผม
[2] ชี้นิ้ววาดเท้า เป็การบรรยายว่า จ้องจับผิดอยู่ห่างๆ วิจารณ์หรือออกคำสั่งตามอำเภอใจ
[3] วิ่งซ้ายเล่นขวา เป็การบรรยายว่า เอาแต่วิ่งไปวิ่งมา ครู่หนึ่งวิ่งไปที่หนึ่ง อีกสักพักวิ่งไปอีกที่หนึ่ง
[4] เหอเถาซู คือ คุกกี้วอลนัท
[5] ซิ่วฉ่าน คือหนึ่งในตำแหน่งการสอบ ในราชวงศ์ิและชิง