สือโถวน้อยเอ่ยด้วยสีหน้ารังเกียจ “พี่โม่โม่ ผู้หญิงคนนี้ต้องเพิ่งไปตกโถส้วมมาแน่ๆ ตัวเหม็นหึ่งเลย พวกเรารีบอยู่ให้ห่างจากผู้หญิงคนนี้เถอะ”
เซี่ยอวิ๋นมีสีหน้าไม่ดีนัก ถึงว่าทำไมเพื่อนร่วมชั้นถึงมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ ที่แท้เพราะตัวเธอมีกลิ่นเหม็นนั่นเอง
่ที่ผ่านมา พอเลิกเรียนกลับถึงบ้านก็ต้องคอยดูแลน้องชาย เธอรู้สึกเหนื่อยมากในแต่ละวัน
สำหรับเธอที่ไม่เคยทำงานบ้านมาก่อน ตอนนี้กลับต้องมีชีวิตอดมื้อกินมื้อ ตกกลางคืนก็นอนไม่หลับเพราะคอยแต่จะฝันร้าย ไหนเลยจะมีเวลาดูแลทำความสะอาดร่างกายตัวเอง
พอถูกเด็กๆ เหล่านี้ทำท่าทางรังเกียจ เธอที่ทั้งโกรธทั้งเจ็บใจก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่ร้องไห้ออกมา
เซี่ยโม่ไม่คิดจะเข้าไปปลอบอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายอายุมากกว่าเธอแท้ๆ กลับร้องไห้เพราะเื่แค่นี้ อีกอย่างใครใช้ให้คิดมาเล่นงานเธอก่อนล่ะ
“สือโถว เฉินเฟิง พวกเรากลับบ้านกันเถอะ!”
“ครับ”
เธออุ้มเด็กชายทั้งสองขึ้นไปนั่งบนรถจักรยานก่อนจะปั่นกลับบ้าน ส่วนเด็กคนอื่นต่างก็แยกย้ายกันกลับไป
เซี่ยอวิ๋นเดินกลับบ้านด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
น้องชายที่บ้านไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน ป่านนี้น่าจะหิวแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็คงไม่มีเรี่ยวแรงอาละวาดเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้อง
กลับไปเธอต้องไปจัดการเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้น้องชาย ไหนจะต้องเตรียมน้ำข้าวต้มและทำอาหารกินเองอีก
หากเธอไม่ป้อนข้าวให้ น้องชายก็จะร้องไห้โวยวาย จนไม่มีเสียงจะให้ร้องนั่นแหละถึงค่อยสงบได้
เธอไม่รู้เหมือนกันว่าต้องมีชีวิตแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน
เมื่อเซี่ยอวิ๋นกลับถึงบ้าน วันนี้ในบ้านเงียบสนิทผิดปกติ หรือน้องชายวัยสองเดือนของเธอเกิดรู้ความขึ้นมากะทันหัน?
คงจะคิดได้ว่าเธอที่ต้องเลี้ยงเด็กทารกนั้นลำบากมากแค่ไหนก็เลยนอนหลับไปแล้วกระมัง
พอเข้าไปในบ้านแล้วเธอก็วางกระเป๋านักเรียนลง จากนั้นเดินไปดูน้องชายที่นอนอยู่บนเตียงอุ่น
ร่างเล็กบนเตียงนั้นนอนแน่นิ่ง ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลง ตัวผอมเหลือแต่กระดูก ไม่ขยับเขยื้อนท่ามกลางกองปฏิกูล
เซี่ยอวิ๋นมีสีหน้าใ รีบเอามือไปอังที่ปลายจมูกน้องชาย พบว่าไร้ซึ่งลมหายใจ หรือเด็กคนนี้จะตายแล้ว?
เธอเครียดจนสมองแทบจะะเิ หากน้องชายเสียชีวิตจริง แม่กลับมาเจอต้องกล่าวโทษเธอแน่
ไม่เชื่อหรอกว่าน้องชายจะตายแล้วจริงๆ เมื่อเช้าก่อนไปเรียน น้องชายยังดิ้นไปดิ้นมาพร้อมกับจ้องหน้าเธออยู่เลย
เซี่ยอวิ๋นรีบวิ่งออกไปนอกบ้าน ะโเรียกเพื่อนบ้านด้วยน้ำเสียงร้อนรนกระวนกระวาย “ป้าคะ ช่วยมาดูน้องชายหนูหน่อยค่ะ เขาไม่ขยับตัวเลย ไม่รู้ว่าเป็อะไร”
ป้าข้างบ้านถอนหายใจ เด็กคนนี้ไม่รู้เื่อะไรเลยสักอย่าง ปล่อยให้เด็กทารกอายุสองเดือนอยู่บ้านคนเดียวใช้ได้ที่ไหน
เธอปัดเศษสกปรกตามตัวก่อนจะะโตอบกลับไป “จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
พอคุณป้าข้างบ้านเดินเข้าไปในบ้านเซี่ย ได้เห็นเด็กทารกวัยสองเดือนที่นอนอยู่บนเตียงอุ่นก็ต้องลอบถอนหายใจ เด็กน้อยผู้น่าสงสารตัวผอมจนเหลือแต่กระดูก
เธอยื่นมือไปอังที่จมูก ลองจับแขนขาเล็กๆ ขยับดู ทว่าเด็กไร้ลมหายใจแล้ว แขนขาและเนื้อตัวนั้นแข็งทื่อ
“เซี่ยอวิ๋น น้องชายเธอตายแล้ว” ป้าข้างบ้านเอ่ยอย่างเสียดาย อุตส่าห์มีชีวิตรอดมาได้เป็เดือน สุดท้ายกลับต้องลงเอยเช่นนี้ก่อนจะต่อว่าอย่างไม่พอใจ
“ฉันเคยบอกเธอแล้วว่า เด็กเล็กๆ แบบนี้ไม่ควรทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียวเพราะไม่มีใครดูแล แล้วตอนเช้ากับตอนเย็นจะให้กินแต่น้ำข้าวต้มไม่ได้ กินแค่นั้นเด็กไม่อิ่มหรอก”
พอรู้ว่าน้องชายตายจากไปแล้ว เซี่ยอวิ๋นนึกถึงพ่อกับแม่ขึ้นมาในทันที ถ้าพวกเขารู้เข้าเธอจะทำอย่างไร
ทั้งสองคนจะต้องตีเธอเป็แน่ สองตาของเซี่ยอวิ๋นแดงก่ำ คล้ายคนร้อนรนทำอะไรไม่ถูก “ป้าคะ หนูจะทำยังไงดี ตอนแรกหนูจะเอาน้องไปให้น้ารองช่วยเลี้ยง แต่น้ารองถูกบ้านสามีส่งกลับไปแล้ว ทั้งยังบอกอีกว่าจะไม่ช่วยหนูเลี้ยงน้องด้วย แถมป้าก็ไม่ยอมช่วยหนูเลี้ยงอีก ฮือ…”
คุณป้าข้างบ้านมีสีหน้าไม่พอใจ
“เซี่ยอวิ๋น เธอพูดแบบนี้ได้ไง ทำไมฉันต้องช่วยเธอเลี้ยงน้องด้วย ฉันยังต้องไปทำงาน ถ้าฉันไม่ทำงานแล้วใครจะมาคอยหาข้าวคอยเลี้ยงดูฉัน ฉันว่าเฉินซีตายไปน่ะดีแล้ว อยู่ไปก็มีแต่จะลำบาก” คุณป้าข้างบ้านพูดจบก็สะบัดแขนเดินจากไปทันที
ขณะเดินกลับบ้านคุณป้าอดบ่นในใจไม่ได้ว่า เด็กคนนี้ไม่รู้ความเอาเสียเลย
การไปโรงเรียนสำคัญกว่าน้องชายอย่างนั้นหรือ เป็พี่สาวแบบไหนกัน?
อีกอย่างก็เห็นอยู่ว่าที่บ้านมีวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเยอะแยะมากมาย แต่กลับงกไม่ยอมเอามาทำให้น้องชาย
ก่อนนี้เธอเคยบอกไว้ชัดเจนแล้วว่า เด็กทารกวัยนี้ต้องให้กินข้าวเดือนละประมาณเจ็ดกิโลกรัม
แต่เด็กนั่นกลับขี้เหนียว ไม่ยอมแบ่งข้าวให้น้องชายกิน ถ้าอย่างนั้นก็ตัวใครตัวมัน ดูแลกันเองก็แล้วกัน
คุณป้าเพื่อนบ้านเดินกลับบ้านไปด้วยสีหน้ากรุ่นโกรธ
ส่วนเซี่ยอวิ๋นก็ได้แต่ร้องไห้อย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
ไม่รู้ว่าเธอร้องไห้มานานเท่าไรแล้ว ทันใดนั้นเองสมองก็คิดแผนหนึ่งออก พอถึงตอนนั้นเธอค่อยผลักความผิดให้เซี่ยโม่ บอกว่าอีกฝ่ายเป็คนทำให้น้องชายของเธอตาย
ไว้ค่อยอ้างว่าน้องชายของเธอป่วย พอเธออุ้มน้องชายพาไปหาเซี่ยโม่เพื่อขอให้ช่วยออกเงินค่ารักษา ช่วยเห็นแก่ที่มีบิดาคนเดียวกับเด็กคนนี้ แต่อีกฝ่ายไม่ยอม เซี่ยเฉินซีก็เลยตาย
พอคิดแผนออก เธอรู้สึกโล่งอกขึ้นมาก
ต่อมาเธอหากล่องเก่าๆ มาใบหนึ่ง นำร่างไร้ิญญาของน้องชายใส่ลงไปในนั้น ก่อนจะนำไปฝังที่สวนหลังบ้าน รวมถึงพวกเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างของน้องชายด้วย
เสร็จเรียบร้อยเซี่ยอวิ๋นก็กลับเข้ามาในบ้าน จัดการอาบน้ำชำระร่างกายจนสะอาด ความจริงแล้วน้องชายตายไปเสียได้ก็ดี จะได้ไม่มีเสียงร้องไห้โวยวายให้ต้องหนวกหู เธอจะได้ไม่ต้องมาคอยเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวและดูแลอีกฝ่ายอีกต่อไป
เวลานี้เองท้องของเซี่ยอวิ๋นส่งเสียงร้องออกมา เธอเข้าครัวทำอาหารกิน หลังจากกินอิ่มก็เข้าไปนอน
ฝั่งเพื่อนบ้านที่ในใจยังคงโมโหไม่หาย จึงเอาเื่นี้ไประบายให้เพื่อนๆ ที่สนิทสนมกันฟัง
“เซี่ยอวิ๋นเด็กนั่นไม่ได้เื่เลย ทิ้งน้องไว้ที่บ้านทุกวัน เด็กคนนั้นน่าสงสารเหลือเกิน อุตส่าห์ทนอยู่มาได้ตั้งหนึ่งเดือน ตอนฉันไปเห็นนะ ตัวเหลือแต่กระดูก แต่เด็กนั่นไม่เพียงไม่ยอมรับผิด ยังมาโทษว่าฉันไม่ช่วยเลี้ยงอีก”
“เซี่ยอวิ๋นอายุสิบห้าสิบหกปีแล้วไม่ใช่เหรอ เื่อะไรก็ไม่รู้สักอย่าง ทั้งยังไม่รู้ความ ยังจะมีหน้ามาให้เธอช่วยเลี้ยงน้องอีกเหรอ”
“ใช่ไหม เด็กนั่นไม่รู้เื่อะไรเลยสักอย่าง พอมีเื่อะไรก็เอาแต่ะโเรียกฉัน ฉันเห็นแก่ที่เราเป็เพื่อนบ้านกันเลยไปช่วยดูให้ แม้แต่คำขอบคุณสักคำก็ไม่มี”
“เด็กคนนี้ไม่รู้ความเอาซะเลย” คนในกลุ่มสนทนาส่ายศีรษะด้วยความระอา
“ไม่รู้ความอะไรกัน ฉันว่าเธอเห็นแก่ตัวมากกว่า คิดแต่จะหาความสุขใส่ตัว ทำไมไม่รู้จักขอคุณครูลาหยุดมาดูแลน้องชายที่บ้าน อีกแค่สองเดือนหวางลี่ลี่ก็จะกลับมาแล้ว น้องชายมาตายไปแบบนี้เธอจะบอกพ่อกับแม่ว่ายังไง”
“ตาเซี่ยกับหวางลี่ลี่รักลูกชายคนเล็กอย่างกับอะไรดี ถ้าไม่ใช่เพราะหาเื่ใส่ตัว ลูกชายหรือจะตกไปอยู่ในมือเซี่ยอวิ๋น”
“ฉันจะบอกอะไรพวกเธอให้ เด็กเซี่ยอวิ๋นนั่นไม่รู้จักเรียนรู้อะไรเลย ่แรกฉันได้ยินเสียงร้องของเด็กดังสนั่น วันต่อๆ มาเสียงก็ค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ จนพักหลังมานี้เสียงร้องของเด็กดังอย่างกับเสียงแมวร้อง น่าสงสารจริงๆ” น้ำเสียงของคุณป้าข้างบ้านยามเล่าฟังดูเวทนาเด็กน้อย
“น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละ ขนาดผู้ใหญ่อย่างเราไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันยังไม่มีแรงเลย” ใครคนหนึ่งออกความเห็นอย่างทอดถอนใจ
“เด็กคนนั้นช่างน่าสงสาร ตายไปแล้วก็ถือว่าไปสบายแล้ว เซี่ยอวิ๋นนี่ไม่ได้เื่เลย ไม่เหมือนเซี่ยโม่ รายนั้นทั้งขยันทั้งทำอะไรเป็ตั้งหลายอย่าง ทำงานหนักโดยไม่บ่นอะไรสักคำ ทั้งยังนิสัยซื่อๆ จริงใจอีกต่างหาก”
หลังจากนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนจากการแสดงความเห็นอกเห็นใจเด็กน้อยผู้เคราะห์ร้ายเป็ค่อนขอดคนบ้านเซี่ยแทน
“เซี่ยฟู่กุ้ยตาบอดไปแล้วแน่ๆ ถึงได้หาเมียใหม่แบบหวางลี่ลี่ ช่างพูดช่างเจรจาเหลือเกิน”
“คนเป็แม่พูดประจบเอาใจเก่ง คนเป็ลูกก็เห็นแก่ตัว นิสัยไม่ดีทั้งคู่”
“แน่นอนอยู่แล้ว คนดีที่ไหนจะใจร้ายใจดำอำมหิตแบบนั้น แล้วคนดีที่ไหนจะถูกจะส่งไปทำงานในค่ายแรงงาน”
“ใช่ๆ”
โบราณกล่าวไว้ว่า เื่ดีไม่มีลือออกไป แต่เื่ไม่ดีกับถูกลือออกไปเป็พันลี้[1] ไม่นานเื่นี้ก็ถูกลือไปถึงหมู่บ้านข้างเคียง
ชื่อเสียงของเซี่ยอวิ๋นย่อยยับป่นปี้
เซี่ยอวิ๋นไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็คนทำลายชื่อเสียงของตน เธอนึกว่าเป็ผลพวงจากการที่พ่อกับแม่ถูกส่งไปทำงานในค่ายแรงงาน
ในที่สุดเื่นี้ก็รู้ไปถึงหูคุณปู่จ้าว
ครั้นตอนเย็นกลับมากินข้าวที่บ้านอู๋ คุณปู่จ้าวเล่าเื่ที่ได้ยินมาให้ทุกคนฟัง “เซี่ยเฉินซีเสียแล้วนะ ได้ยินว่าเป็เพราะเซี่ยอวิ๋นไปโรงเรียนแล้วทิ้งเด็กนั่นไว้ที่บ้านคนเดียว ไม่เคยใส่ใจเลี้ยงดู น่าเสียดาย ตำรวจอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยมาจากหมาป่าแท้ๆ…”
เซี่ยโม่นิ่งงัน ชาติที่แล้วเซี่ยเฉินซีมีชีวิตที่ดีและสุขสบายอย่างมาก นึกไม่ถึงเลยว่าชาตินี้จะจากไปเร็วแบบนี้
เห็นได้ชัดว่าเป็เพราะเธอกลับชาติมาเกิดใหม่จึงส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ผีเสื้อขยับปีก[2] ทำให้เื่ราวบางอย่างเปลี่ยนไปจากเดิม
ในชาติที่แล้วเธอจำได้ชัดเจนว่า เธอกับพี่ซ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ชาตินี้ หลังจากได้กลับมาเกิดใหม่ เพื่อตามหาน้องชายทำให้เธอบังเอิญได้รู้จักกับพี่ซ่ง มันคงจะเป็ประสงค์ของคนบนฟ้ากระมัง
--------------------------------------
[1] ลี้ หน่วยวัดของจีน หนึ่งลี้เท่ากับห้าร้อยเมตร
[2] ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (Butterfly Effect) หมายถึง เหตุการณ์เพียงเล็กน้อยเหตุการณ์หนึ่ง สามารถส่งผลกระทบอันซับซ้อนหรือสร้างปรากฏการณ์ใหญ่อีกอย่างขึ้นมาได้