วันรุ่งขึ้น ลั่วเสี่ยวซีตื่นขึ้นมาแต่เช้า
เธอลืมตาพร้อมกับหัวใจที่หนักอึ้ง ูเี่อันบอกว่านอนหลับสักตื่นแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง แต่ในความจริงมันไม่ได้ช่วยอะไร แม้ในยามนี้เธอจะใจเย็นลงบ้างแล้วก็ตาม
ลั่วเสี่ยวซีลุกออกจาเตียงอย่างเงียบเชียบ โดยระวังไม่ให้รบกวนูเี่อัน หลังล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ เสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น
เธอเห็นลู่เป๋าเหยียนยืนอยู่หน้าห้องผ่านตาแมวที่ประตู
เขาคงมาหาูเี่อัน ตอนนี้เธอรู้สึกอิจฉาเพื่อนคนนี้นิดๆ ที่ได้แต่งงานกับคนที่รัก แถมคนคนนั้นยังเป็ห่วงเป็ใยกันขนาดนี้ ไม่เหมือนเธอที่ทำเื่ทุกอย่างพังไปหมด
ลั่วเสี่ยวซีจัดผมให้เข้าที่เล็กน้อยก่อนจะเปิดประตู
“เข้ามาสิ เจี่ยนอันยังไม่ตื่นเลย”
หลังเดินเข้าห้องมาลู่เป๋าเหยียนก็พูดขึ้นว่า “ถ้าอยากพัก ่นี้จะหยุดอยู่บ้านก็ได้นะ เดี๋ยวฉันให้เสิ่นเยว่ชวนบอกกับแคนดี้เอง”
ลั่วเสี่ยวซีก้มหน้าพลางคิด “ขอบคุณ แต่ไม่เป็ไร เดี๋ยวฉันจะออกไปเทรนที่บริษัทตามตารางเดิม”
เมื่อวานที่เธอถือมีดไปหาฉินเว่ย ตอนนั้นเธออยากจะฆ่าเขาจริงๆ ยังดีที่สติที่ยังพอหลงเหลืออยู่บ้างห้ามเธอเอาไว้
เธอไม่ชินกับตัวเองที่ทำอะไรหุนหันแบบนั้น วันนี้เธอทั้งไม่อยากและไม่ควรอยู่บ้านคนเดียว
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าฝืนมากไป” ลู่เป๋าเหยียนวางอาหารเช้าลงบนโต๊ะ “จะเป็ไรไหมถ้าจะขอเข้าไปปลุกเจี่ยนอันสักหน่อย”
“ไม่เป็ไร” ลั่วเสี่ยวซียิ้ม “เข้าไปเถอะ”
ลู่เป๋าเหยียนเดินเข้าไปในห้อง ูเี่อันยังคงนอนหลับปุ๋ย เขาเรียกอยู่หลายครั้งแต่เธอก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ปกติเธอมักอาศัยนาฬิกาปลุกในการตื่นทุกเช้า แต่เพราะเมื่อวานรีบร้อนไปที่สถานีตำรวจ จึงลืมพกมืถือติดตัวมา
ลู่เป๋าเหยียนดึงจมูกเธอเบาๆ “เจี่ยนอัน ถ้ายังไม่ตื่นจะสายแล้วนะ”
“อื้อ...” ูเี่อันพลิกตัวก่อนจะยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว “ขอฉันนอนอีกห้านาทีนะ ห้านาทีก็พอ...”
ลู่เป๋าเหยียนดูนาฬิกาข้อมือและเริ่มจับเวลา
แต่ยังไม่ถึงห้านาที ูเี่อันก็ลืมตาขึ้นมา
ภาพของเหตุการณ์เมื่อวานลอยเข้ามาในความทรงจำ เธอมองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงอย่างประหลาดใจ
“นายไม่ได้กลับไปแล้วเหรอ ทำไมมาที่นี่แต่เช้าได้ล่ะ”
ลู่เป๋าเหยียนหยิบถุงที่เขาพกมาด้วยวางลงบนข้างหมอน
“เมื่อคืนฉันกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ในตัวเมือง ฉันเอาเสื้อผ้ากับอาหารเช้ามาให้เธอ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน ตอนนี้เจ็ดโมงห้าสิบแล้วนะ”
ูเี่อันดึงมือของลู่เป๋าเหยียนมาดูนาฬิกา เธอรีบพลิกตัวลงจากเตียง ก่อนจะหยิบถุงที่ลู่เป๋าเหยียนเอามาให้เดินเข้าห้องน้ำไป
ขณะที่เธอกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังอาบน้ำเสร็จ ก็พบว่าลู่เป๋าเหยียนให้คนหยิบแม้กระทั่งชุดชั้นในของเธอมาด้วย พวงแก้มสองข้างแดงระเรื่อในทันที ตอนเดินออกไปูเี่อันจึงเดินก้มหน้างุดๆ ไปตลอดทาง
“มากินข้าวได้แล้ว” ลู่เป๋าเหยียนเรียกเธอ “กินเสร็จเดี๋ยวฉันไปส่ง”
“อ้อ” ูเี่อันตอบรับก่อนจะเดินไปลากลั่วเสี่ยวซีมานั่งกินข้าวด้วยกัน
อาหารเช้าที่เขาเอามาให้พวกเธอเป็โจ๊กเนื้อเนียนละเอียด แตงกวาผัดซอสและกับข้าวอื่นๆ หน้าตาดูน่าทาน แต่มองเธอก็เริ่มน้ำลายไหล ลั่วเสี่ยวซีเองเห็นแล้วก็อยากกิน แต่เมื่อตักเข้าปาก เธอกลับกลืนมันลงไปได้อย่างยากลำบาก
ูเี่อันคีบแตงกวาผัดซอสให้ลั่วเสี่ยวซีหนึ่งชิ้น
“เสี่ยวซี ข้าวเช้าสำคัญนะ กินเยอะๆ จะได้มีแรงไปทำอย่างอื่นต่อไง”
ลั่วเสี่ยวซีพยักหน้าราวกับหุ่นยนต์ และก้มหน้าก้มตากินโจ๊กเข้าไปทีละคำ
อาหารเบื่ออาหารมันเป็แบบนี้นี่เอง ไม่ใช่ว่ารู้สึกอิ่ม ทั้งๆ ที่หิวแต่กลับไม่อยากกลืนอะไรเข้าไปทั้งนั้น
กระเพาะที่ว่างเปล่า ความหิวที่ััได้ แต่กลับไม่อยากกินอะไร ูเี่อันพูดถูก เธอ้าพลังงานมาใช้ทำเื่อื่นอีก เพราะฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องกินข้าว
ถึงแม้จะไม่รับรู้รสชาติ แต่ลั่วเสี่ยวซีก็ฝืนกินโจ๊กไปสองชาม
“โอเค ฉันอิ่มแล้ว งั้นฉันไปบริษัทก่อนนะ พวกเธอเชิญตามสบาย”
“เสี่ยวซี เธอ...” ูเี่อันอยากให้ลั่วเสี่ยวซีพักอยู่ที่บ้านอีกสักสองวัน แต่เมื่อเห็นสายตาที่ลู่เป๋าเหยียนส่งมา เธอจึงต้องยอมให้ลั่วเสี่ยวซีหยิบกุญแจรถก่อนจะออกจากบ้านไป
เมื่อลั่วเสี่ยวซีลงลิฟต์ไปแล้ว ูเี่อันจึงพูดขึ้นมา
“ฉันเป็ห่วงว่าถ้าไปบริษัทตอนนี้เธอจะเกิดเื่อะไรหรือเปล่า”
“ไม่หรอก ตอนนี้เธอมีสติครบถ้วน” ลู่เป๋าเหยียนเอ่ย “เมื่อกี้ฉันก็บอกให้เธอพัก แต่เธอปฏิเสธ”
“เธอคงอยากหาอะไรทำ” ูเี่อันพูดพลางถอนหายใจ “ทำไมถึงเกิดเื่แบบนี้ขึ้นได้นะ”
วันก่อนลั่วเสี่ยวซียังดีใจที่ในที่สุดตัวเองกับพี่ขายเธอเริ่มมีความหวังกับเขาบ้างแล้ว ทำไมตอนนี้มันกลายเป็แบบนี้ไปได้...
ลู่เป๋าเหยียนลูบผมูเี่อันช้าๆ พลางเอ่ย “อย่าคิดอีกเลย คิดไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้น พี่ชายเธอคงจัดการเื่นี้เอง”
ูเี่อันคิดๆ ดูแล้วก็เห็นด้วย ถ้าพี่ชอบเสี่ยวซีจริงๆ เขาไม่มีทางปล่อยให้เธอซีเป็แบบนี้โดยไม่สนใจไยดี
ูเี่อันรู้สึกสบายใจขึ้นก่อนจะลงมือเก็บของทำความสะอาด และนำกับข้าวที่เหลือเก็บเอาไว้ในตู้เย็น จากนั้นจึงให้ลู่เป๋าเหยียนไปส่งที่สถานีตำรวจ
เครือเฉิงอัน
“อี้เฉิง” เสี่ยวเฉินมักจะเรียกซูอี้เฉิงแบบนี้หากไม่มีคนอื่นอยู่
“ตื่นเถอะ นี่ก็จะเก้าโมงแล้ว อีกสามสิบนาทีนายมีประชุมนะ”
เมื่อคืนซูอี้เฉิงทำงานอยู่ที่บริษัททั้งคืน เขาเพิ่งได้นอนพักก่อนฟ้าสว่างแค่สองสามชั่วโมง จนใต้ตาปรากฏรอยคล้ำจากความเหนื่อยล้า
“ฉันเตรียมมื้อเช้าไว้ให้นายแล้ว” เสี่ยวเฉินเอ่ย “ตื่นไปล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็ไปกินข้าวเช้าสักหน่อยก่อนจะเริ่มประชุมเถอะ”
ซูอี้เฉิงกุมมือสองข้าง ก่อนจะยกมันขึ้นมานวดขมับ
“เสี่ยวเฉิน ไปสืบอะไรให้ฉันหน่อย เื่นี้ต้องปิดเป็ความลับอย่าให้คนอื่นรู้แม้แต่คนเดียว”
“เื่อะไร?” เสี่ยวเฉินไม่ตื่นเต้นเท่าไร เพราะเขาสืบเื่แบบนี้แทนซูอี้เฉิงมานักต่อนักแล้ว
“ตรวจสอบภายในบริษัท ว่าคนที่มีส่วนร่วมในแผนงานครั้งนี้ มีใครแอบไปติดต่อกับทางเครือฉินบ้างหรือเปล่า”
เสี่ยวเฉินอดใไม่ได้
เื่แผนงานที่รั่วไหลออกไปคนทั้งบริษัทรู้กันหมดแล้ว ทุกคนต่างสงสัยว่าเป็ฝีมือของลั่วเสี่ยวซี เพราะคนในบริษัทไม่มีใครน่าสงสัย เื่แบบนี้ทุกคนรู้ดีว่าหากทำลงไปผลลัพธ์จะเป็อย่างไร แล้วจะมีใครโง่ทำลายอนาคตของตัวเองกัน?
แต่ถึงอย่างนั้นซูอี้เฉิงก็ยังให้เขาสืบหาความจริงเพิ่มเติม
เสี่ยวเฉินถามอย่างไม่แน่ใจ “อี้เฉิง นายสงสัยว่า...บริษัทเรามีหนอนบ่อนไส้งั้นเหรอ?”
“คืนนั้นลั่วเสี่ยวซีดื่มเหล้าเมาอาจหลุดปากบอกฉินเว่ยไปก็จริง แต่ก็อาจจะมีบางคนใช้ประโยชน์จากเื่นี้ก็ได้” ซูอี้เฉิงอธิบาย นายช่วยไปสืบมาให้ฉันที ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็อย่างไรก็ไม่ต้องทำเป็เื่ใหญ่“
“เข้าใจแล้ว” เสี่ยวเฉินพยักหน้าและเดินออกจากห้องพักผ่อนไป
ซูอี้เฉิงปวดหัวจนแทบะเิ เขานวดขมับพลางเดินเข้าห้องน้ำ ก่อนจะจัดการโกนหนวด เซตผม เปลี่ยนเสื้อผ้า ซูอี้เฉิงผู้สุขุมและสง่างามจึงกลับมาอีกครั้ง ไม่เหลือร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยไว้สักนิด
เขาปรายตามองมือถือก่อนจะเข้าประชุม มีสายที่ไม่ได้รับจากูเี่อันสองสาย ระหว่างเดินไปยังห้องประชุมเขาจึงโทรกลับไป
“พี่” ูเี่อันรับสายอย่างรวดเร็ว “พี่เป็ยังไงบ้าง”
“ไม่เป็ไร” ซูอี้เฉิงพูดพลางหัวเราะอย่างสบายๆ “เื่แบบนี้เจอได้บ่อยๆ ในโลกธุรกิจ พี่ชายของน้องไม่พ่ายแพ้ให้กับเื่แค่นี้หรอก”
“แต่เสี่ยวซีเกิดเื่แล้วค่ะ” ูเี่อันถอนหายใจก่อนเอ่ย “เมื่อคืนเธอถือมีดไปหาฉินเว่ยจนโดนตำรวจจับ”
ฝีเท้าของซูอี้เฉิงหยุดชะงัก “ตอนนี้เป็ไงบ้าง”
“หนูกับลู่เป๋าเหยียนไปช่วยเธอออกมาจากที่สถานีตำรวจ ลู่เป๋าเหยียนให้เธอพักอยู่บ้านสองวัน แต่เธอก็ยังจะไปเทรนที่บริษัทอยู่ดี”
แสดงว่าลั่วเสี่ยวซีมีสติดีแล้ว ซูอี้เฉิงคิดอย่างโล่งใจ
“เดี๋ยวพี่จะโทรหาเธอ”
“ค่ะ” ูเี่อันรีบวางสายทันที
ซูอี้เฉิงบอกให้เสี่ยวเฉินเลื่อนเวลาการประชุมออกไปห้านาที ก่อนจะเดินเข้าไปในทางหนีไฟ เขากดโทรศัพท์หาลั่วเสี่ยวซี
ในตอนนั้น ลั่วเสี่ยวซีกำลังวิ่งอยู่บนเครื่องวิ่งไม่หยุดราวกับหุ่นยนต์ นานเข้าเธอก็เริ่มวิ่งตามความเร็วของเครื่องไม่ทัน แคนดี้กลัวเธอจะล้มลงมาจึงเอ่ยปากเรียก ทว่าเธอกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
จนกระทั่งเสียงมือถือของเธอดังขึ้น หน้าจอปรากฏชื่อของซูอี้เฉิง
ลั่วเสี่ยวซีแทบจะะโลงจากเครื่องวิ่ง ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปในห้องที่ไม่มีคนอยู่เพื่อรับโทรศัพท์ แต่หลังกดรับสายแล้วเธอก็เงียบอยู่นาน
ซูอี้เฉิงเองก็ไม่พูดไม่จา เกือบสิบวินาทีต่อมา เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า
“เสี่ยวซี อย่าทำเื่โง่ๆ”
น้ำตาที่ลั่วเสี่ยวซีอดกลั้นมาตลอดเช้าไหลลงเป็สาย เธอ “อืม” ตอบเขากลับไปพลางสะอื้น
“แล้วก็” ซูอี้เฉิงพูดเสริม “ดูแลตัวเองดีๆ”
ทำไมเขาพูดกำชับเหมือนจะบอกลา? เขาจะไม่สนใจเธอ จะไม่โทรมาเธออีกแล้วใช่ไหม?
จบคำ เสียงร้องไห้โฮของลั่วเสี่ยวซีก็ดังขึ้น เธออยากรั้งซูอี้เฉิงไว้ แต่เขากลับวางสายไปทั้งอย่างนั้น
ครั้งนี้เขาคงทิ้งเธอแล้วจริงๆ
ลั่วเสี่ยวซีทรุดลงไปนั่งกับพื้นก่อนจะร้องไห้โฮเสียงดัง น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลออกมาไม่หยุด
ด้านนอก พวกผู้หญิงที่กำลังออกกำลังอยู่พร้อมๆ กับลั่วเสี่ยวซีถึงกับใเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้น จึงถามแคนดี้ว่า
“เสี่ยวซีเป็อะไรไป?”
แคนดี้ส่ายหัว “ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดเื่อะไรขึ้น แต่การที่คนร่าเริงแจ่มใสอยู่ตลอดแบบลั่วเสี่ยวซีร้องไห้ขนาดนี้ คงไม่ใช่เื่เล็กๆ แน่”
“พวกเราเข้าไปดูเธอหน่อยไหม” ลั่วเสี่ยวซีเป็คนอัธยาศัยดีมีเพื่อนเยอะ ทุกคนจึงเป็ห่วงเธอ
“เดี๋ยวก่อน” แคนดี้รั้งไว้ “ฉันไปเอง พวกเธอฝึกกันต่อเถอะ”
ขณะที่แคนดี้กำลังจะผลักประตูห้องซ้อมเต้น เสิ่นเยว่ชวนก็เข้ามาพอดี
ทั้งเครือลู่ รูปร่างหน้าตาของเสิ่นเยว่ชวนถือว่าเป็รองแค่ลู่เป๋าเหยียนเพียงคนเดียว หลังลู่เป๋าเหยียนแต่งงานไป เขาก็กลายเป็ผู้ชายอันดับหนึ่งในใจของผู้หญิงทั้งบริษัทไปโดยปริยาย เขาเป็ถึงไดเรคเตอร์ของ Lu Media อัธยาศัยก็ดี ชอบทักทายคนไปทั่ว แถมคารมคมคายยังไม่เป็สองรองใคร ทำให้สาวๆ พากันตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เจอหน้าเขา แต่ละคนพากันทักทายเขาเสียงหวานจนมดแทบขึ้น
หลังทักทายทุกคนเสร็จเรียบร้อยเขาก็ถามว่า
“ลั่วเสี่ยวซีล่ะ?”
หลังได้ยินคำถามของเขาทุกคนก็เงียบกริบ ก่อนจะชี้ไปยังห้องซ้อมเต้นที่ยังคงมีเสียงสะอื้นดังออกมา
แคนดี้จึงพูดว่า “เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่?”
“เฮ้อ” เสิ่นเยว่ชวนส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “เื่มันยาว”
“คงไม่ได้เกิดเื่ที่บ้านใช่ไหม?” นอกจากเื่คนในครอบครัวแล้ว แคนดี้นึกไม่ออกว่าจะมีเื่ไหนอีกที่ทำให้ลั่วเสี่ยวซีเป็แบบนี้
“ถ้าที่บ้านเธอเกิดเื่อะไรเธอคงไม่ร้องไห้แบบนี้หรอก ป่านนี้กลายร่างเป็สิงโตสาวไปจัดการเื่ทั้งหมดด้วยตัวเองแล้ว” เสิ่นเยว่ชวนอธิบาย “เธอมีปัญหาส่วนตัวนิดหน่อย ่นี้ก็อย่าไปกดดันเธอมาก อย่าไปถามซักไซ้ เดี๋ยวเธอก็คงดีขึ้นเอง”
เขาเชื่อว่าซูอี้เฉิงคงไม่มีทางปล่อยให้ลั่วเสี่ยวซีเป็แบบนี้แน่
“เดี๋ยวฉันเข้าไปดูเธอหน่อย” เสิ่นเยว่ชวนพูดเสริม
เมื่อเขาผลักประตูเข้าไปในห้องซ้อมเต้นก็เห็นลั่วเสี่ยวซีกำลังนั่งกอดเข่าตัวเอง ที่พื้นมีรอยเปียกชื้นจากคราบหยดน้ำตา เขาจึงยื่นกระดาษทิชชู่ไปให้
“พอแล้ว อย่าร้องอีกเลย เธออุตส่าห์ดีขึ้นจนมาฝึกซ้อมที่บริษัทได้ ก็ควรดูแลตัวเองให้ดีๆ”
ลั่วเสี่ยวซีเงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าเสิ่นเยว่ชวน
ดูแลตัวเองให้ดี ซูอี้เฉิงก็พูดกับเธอแบบนี้
นั่นสินะ เธอต้องดูแลตัวเองไม่ให้ทำเื่โง่ๆ ซูอี้เฉิงอยากให้เธอทำอะไร เธอก็จะทำตาม
เห็นแววตาของลั่วเสี่ยวซีเริ่มสดใสขึ้น เสิ่นเยว่ชวนจึงยิ้มบาง
“เอาล่ะเด็กดี ลุกขึ้นได้แล้ว”
ลั่วเสี่ยวซีส่งมือให้เสิ่นเยว่ชวนช่วยพยุงเธอลุกขึ้นยืนพลางยกมือเช็ดคราบน้ำตา
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็ไร”
เสิ่นเยว่ชวนเอ่ยพลางคิดไปถึงสาเหตุที่เขามาที่นี่ เมื่อกี้ซูอี้เฉิงโทรหาเขา ขอให้เขาช่วยมาดูลั่วเสี่ยวซีทีว่าเป็อย่างไรบ้าง
เขาตบไหล่ลั่วเสี่ยวซีเบาๆ “เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้น ไม่ต้องร้องแล้วนะ”
ลั่วเสี่ยวซีพยายามฝืนยิ้ม เธอพยักหน้า และเดินออกไปฝึกซ้อมต่อ
