แท่นจอมดาราก็ไม่ได้พิเศษตรงไหนอย่างน้อยซูฉางอันก็คิดเช่นนั้น
บนนั้นมีโต๊ะเตี้ยๆวางอยู่เหมือนกับที่นั่งด้านล่างทุกประการแม้แต่อาหารเครื่องดื่มบนโต๊ะก็ยังเหมือนกันไม่มีผิดหากจะบอกว่าส่วนไหนที่แตกต่างออกไปก็คงจะเป็ธงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังกระมัง ธงนั้นตั้งตระหง่านซึ่งอาจเป็เพราะมีเวทมนตร์ประคองอยู่ก็เป็ได้ และธงนั้นก็มีรายชื่อของคนนับร้อยเปล่งประกายอยู่เต็มไปหมด
ซูฉางอันสำรวจธงขนาดใหญ่อย่างละเอียดอันดับหนึ่งเป็ชื่อของเขาจริงๆ จากนั้นก็ตามด้วยชื่อของกู่เซี่ยนจวินต่อมาก็เป็ชื่อของผู้คนมากมายที่ซูฉางอันไม่รู้จัก ซึ่งเรียงยาวเหยียดออกไปซูฉางอันมองหาอย่างละเอียด ชื่อของเซี่ยโหวฟ่งอวี้ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ยี่สิบเจ็ดซึ่งนั่นทำให้ความสนใจที่เขามีต่อธงหายวับไปในพริบตาซูฉางอันจึงหันกลับไปมองผู้คนเบื้องล่างอีกครั้ง
เขากวาดตามองคนทั้งหลายจนครบจากนั้นก็ยื่นมือออกไปชักดาบที่แบกเอาไว้ทางด้านหลังออกมาดาบนั้นมีความยาวมากถึงสามฉื่อ ตัวดาบขาวประกายประดุจหิมะทั้งยังแฝงไปด้วยลำแสงที่เย็นะเืและน่าสยดสยอง
“ข้าชื่อซูฉางอัน ดาบข้า มั่วทิงอวี่” เสียงของซูฉางอันไม่ได้ดังอะไรมากมายทว่ามันกลับดังกึกก้องอยู่ในโถงที่เงียบสงัดจนได้ยินเสียงหายใจแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง
สุดท้ายสายตาของเขาก็ไปหยุดลงบนร่างของหนุ่มรูปงามคนนั้นอีกครั้ง ซูฉางอันกล่าวถามขึ้น “เ้าล่ะ เ้าชื่ออะไร?”
“ตู้หงฉาง” หนุ่มรูปงามยืดตัวตรงพลางกล่าว
ซูฉางอันเอียงคอพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จำได้ว่าเขาเคยเห็นชื่อนี้ที่อันดับสามของธงเมื่อครู่เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เรามาสู้กันเถอะ”
ตู้หงฉางชะงักอึ้งไปเขามีพลังอยู่ในระดับเก้าดาราขั้นสุดยอดแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เขาก็จะเลื่อนขึ้นไปเป็นักรบระดับอรุณรุ่งก่อนหน้านี้ เขาเคยคิดว่าจะอัดซูฉางอันในงานหลอมดาวให้น่วมไปเสียแต่คิดไม่ถึงว่าซูฉางอันจะเป็คนเสนอให้ประลองขึ้นด้วตัวเองเช่นนี้เขาไม่คิดว่าซูฉางอันที่เพิ่งหลอมจิตสำเร็จได้ไม่นานไม่มีทางเป็คู่ต่อสู้ของตนที่มีพลังอยู่ในระดับเก้าดาราขั้นสุดยอดเป็แน่
เขาเตรียมจะตอบตกลง แต่จู่ๆเงาของใครบางคนก็แทรกออกมาจากฝูงคน แล้วมายืนอยู่ข้างๆ เขาเสียก่อนผู้มาใหม่เป็หนุ่มวัยรุ่นที่มีร่างกายกำยำแข็งแรง เขาถือดาบขนาดใหญ่เอาไว้ในมือใบหน้าดุดัน “เพียงเชือดไก่ ไยต้องใช้มีดเชือดวัวเล่ากะอีแค่จัดการกับเ้า จะรบกวนคุณชายตู้ให้เหนื่อยทำไม” เขาพูดเสียงดังอย่างทรงพลัง
ต่อให้จะไม่เอาไหนสักเพียงใดแต่อย่างน้อยซูฉางอันก็มีตำแหน่งอยู่ในอันดับหนึ่ง หากเขาเอาชนะซูฉางอันได้อย่างน้อยก็จะได้ชื่อว่าเอาชนะคนที่ถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่งได้ ซึ่งทุกคนที่มารวมกันในคืนนี้ต่างก็อยากจะได้ชื่อนี้ไปครองด้วยกันทั้งนั้น
“เ้าเป็ใครกัน?” ซูฉางอันขมวดคิ้วพลางกล่าวถาม
“หยวนต้งคุนจากเมืองหลายหยุนแห่งมณฑลเหลียงโจ” ชายร่างกำยำพูดด้วยน้ำเสียงผยองพลางเหวี่ยงดาบใหญ่ในมือ แสดงลีลาอย่างคล่องแคล่วขณะที่สายตาก็เอาแต่จ้องไปที่ซูฉางอันอย่างท้าทาย
หยวนต้งคุน? ซูฉางอันไม่คุ้นกับชื่อนี้เห็นทีเขาคงจะมีอันดับต่ำกว่าอันดับที่ยี่สิบเจ็ดสินะ เหตุนี้ซูฉางอันจึงส่ายหน้าพลางกล่าวขึ้น “เ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
เขาพูดด้วยท่าทางจริงจัง จริงจังจนทำให้ทุกคนเผลอคิดว่าสิ่งที่เขาพูดเป็ความจริงอย่างลืมตัว
หยวนต้งคุนมีสีหน้าบูดบึ้งลงทันตาเขามีพลังอยู่ในระดับเก้าดาราแล้ว ในคนรุ่นเดียวกัน เขานับเป็ยอดฝีมืออันดับต้นๆของมณฑลเหลียงโจเลยทีเดียว ทว่าซูฉางอันที่เป็เด็กบ้านนอกที่เพิ่งหลอมจิตสำเร็จได้เพียงไม่นานกลับบังอาจดูิ่เขาเช่นนี้โทสะอันแสนมหาศาลแล่นตรงขึ้นไปบนสมองอย่างฉับพลัน เขาคำรามเสียงดังลั่นพลันพลังิญญาระดับเก้าดาราก็ปะทุออกมาจากร่างกำยำอย่างรวดเร็วดาบใหญ่ถูกชี้ตรงไปที่ซูฉางอัน ขณะที่เ้าของก็ส่งเสียงตวาดขึ้นดังสนั่น “จะใช่คู่ต่อสู้หรือไม่ต้องสู้กันก่อนถึงจะรู้”
ซูฉางอันครุ่นคิดเขาคิดว่าที่หยวนต้งคุนพูดมาก็มีเหตุผลไม่น้อย จึงะโสูงลงมาจากแท่นจอมดาราแล้วร่วงลงบนพื้นที่โล่งกว้างกลางโถง ซูฉางอันเก็บดาบกลับเข้าไปในฝักแล้วหันไปพูดกับเซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน “ศิษย์พี่ ขอยืมกระบี่ที”
เซี่ยโหวฟ่งอวี้ยังดึงสติออกมาจากสิ่งที่ซูฉางอันเพิ่งกระทำเมื่อครู่ไม่ได้นางลอบตำหนิศิษย์น้องที่วู่วามจนเกินไปในใจ ทว่าเมื่อเื่ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ย่อมไม่มีเวลาให้คิดอีกแล้ว เซี่ยโหวฟ่งอวี้ไม่รอช้า โยนกระบี่ออกไปที่ช่องว่างกลางโถงเบาๆ
ซูฉางอันยกมือขึ้นไปรับกระบี่แล้วดึงมันออกมาจากฝัก กระบี่ของเซี่ยโหวฟ่งอวี้ย่อมไม่ใช่ของธรรมดาอยู่แล้วตัวกระบี่เรียบเนียน ขาวโปร่ง ปานทำขึ้นด้วยหยกเช่นนั้น
“เ้าไม่ใช้ดาบรึ?” หยวนต้งคุนกล่าวถาม
“ไม่ใช้” ซูฉางอันส่ายหน้า เขาฝึกวิชาดาบกับฉู่ซีฟงมานานถึงสองเดือนแล้วแต่เพราะไม่มีพร์ในด้านนี้อีกทั้งกระบวนดาบของฉู่ซีฟงก็ลึกซึ้งเสียจนยากบรรลุได้ ดังนั้นกระทั่งตอนนี้กระบวนดาบที่เขาใช้เป็ก็ยังมีเพียงการฟันที่มั่วทิงอวี่สอนให้ก่อนตายเท่านั้น และเขาก็้าจะเก็บกระบวนดาบนั้นเอาไว้ใช้กับตู้หงฉาง
“ได้!” หยวนต้งคุนะเิความโกรธแค้นขึ้นในใจซูฉางอันเป็ศิษย์ของมั่วทิงอวี่ และมั่วทิงอวี่ขึ้นชื่อเื่การใช้ดาบ ดังนั้นสำหรับหยวนต้งคุนแล้ว การกระทำของซูฉางอันในตอนนี้เป็การบอกกับเขาว่าเขาไม่มีค่าพอให้ซูฉางอันใช้ดาบนั่นเอง
เมื่อคิดได้ดังนั้นเปลวเพลิงแห่งโทสะที่ลุกโชนอยู่ภายในจิตใจก็ปะทุรุนแรงจนไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไปเขาย่ำเท้าลงบนพื้นดิน แม้คนผู้นี้จะมีร่างกายสูงใหญ่แต่การเคลื่อนไหวกลับไม่แข็งกระด้างเลยแม้แต่น้อยคนทั้งหลายเห็นเพียงว่าร่างของใครบางคนไหววูบขึ้น เพียงเท่านั้นร่างใหญ่ก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าซูฉางอันเสียแล้ว เขาคำรามเสียงต่ำพลันดาบขนาดใหญ่ก็เหวี่ยงตรงไปที่กลางหัวของซูฉางอันด้วยความรวดเร็วประดุจสายอสนีบาต
นี่เป็ท่าพิฆาตศัตรู! ในการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือมีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะพุ่งการโจมตีไปที่จุดสังหารของอีกฝ่ายเช่นนี้
ทุกคนภายในห้องโถงสูดหายใจเข้าลึกอย่างพร้อมเพรียงใช่ว่าจะไม่เคยมีใครตายในการประลองภายในงานหลอมดาวมาก่อนหรอกนะ แต่อย่างไรเสียซูฉางอันก็เป็คนของสำนักเทียนหลาน เป็ศิษย์หลานของนักรบแห่งดาราจักรอวี้เหิงหากเกิดอะไรขึ้นกับเขาแล้วทำให้อวี้เหิงโกรธขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็เกรงว่าคงไม่มีใครในแผ่นดินต้าเว่ยสามารถต้านทานเอาไว้ได้แน่
ดังนั้นชายชราเ้าของจมูกอินทรีจึงลอบขับเคลื่อนพลังิญญาขึ้นเตรียมจะช่วยชีวิตซูฉางอัน... ศิษย์จากสำนักเทียนหลานพ่ายให้กับศิษย์ที่ถูกจัดอยู่นอกอันดับห้าสิบแค่นี้ก็เพียงพอสำหรับสำนักปาฮวงแล้ว
ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับดาบที่ฟันลงมาอย่างรุนแรงและรวดเร็วประดุจสายฟ้าซูฉางอันกลับมีท่าทีนิ่งเรียบเป็อย่างมากเขายกกระบี่ขึ้นมากันร่างเอาไว้ในแนวตะแคง เสียงกระแทกดังก้องขึ้น กระบี่ของเขากันดาบของหยวนต้งคุนได้อย่างพอดิบพอดี
หยวนต้งคุนสะดุ้งใเขามั่นใจในความเร็วในการโจมตีของตนมากแม้แต่นักรบระดับเก้าดาราก็ยังมีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะรับการโจมตีด้วยความเร็วขนาดนี้ได้อย่างสมบูรณ์เฉกเช่นที่ซูฉางอันกำลังทำอยู่แม้เขาจะรู้สึกใ ทว่าระหว่างต่อสู้ จะเสียสมาธิไม่ได้โดยเด็ดขาด เขาทำใจให้สงบแล้วขับเคลื่อนพลังิญญาภายในร่างกายออกมาอย่างบ้าคลั่งในเมื่อเอาชนะด้วยความเร็วไม่ได้ เช่นนั้นก็มุ่งเอาชนะซูฉางอันเด็กบ้านนอกที่เพิ่งหลอมจิตได้ไม่นานด้วยพลังิญญาของนักรบระดับเก้าดาราแทนก็แล้วกัน
ในขณะเดียวกัน ซูฉางอันขมวดคิ้วมุ่นเมื่อััได้ถึงพลังอันแสนมหาศาลที่ถูกส่งมาจากคมดาบของอีกฝ่าย
นี่น่ะรึ พลังิญญาระดับเก้าดารา? ซูฉางอันคิดในใจ หลายวันมานี้เขามักจะประลองกับเซี่ยโหวฟ่งอวี้อยู่บ่อยครั้งซึ่งแม้พวกเขาจะใช้พลังิญญาในการต่อสู้อยู่บ้าง ทว่าส่วนมากแล้ว พวกเขาจะเน้นไปที่กระบวนท่าและไหวพริบขณะต่อสู้เสียมากกว่ามีเพียงน้อยครั้งเท่านั้นที่จะต่อสู้กันด้วยพลังิญญาโดยตรงเช่นนี้ดังนั้นนี่จึงเป็ครั้งแรกที่เขาััได้อย่างแท้จริงว่าพลังิญญาระดับเก้าดาราแข็งแกร่งและทรงพลังมากขนาดไหน
เช่นนั้นก็มาดูกัน ว่าปราณดาราของนักรบแห่งดาราจักรทรงพลังมากขนาดไหน...ซูฉางอันคิดขึ้นในใจ พลันปราณดาราแห่งคมดาบก็เริ่มขับเคลื่อนขึ้นพลังิญญาที่แสนมหาศาลปะทุออกมาจากหน้าท้องจากนั้นก็พุ่งพล่านไปทั่วทุกอณูภายในร่างกาย พุ่งออกมาจากร่างกายแล้วพุ่งตรงเข้าปะทะกับพลังิญญาของหยวนต้งคุนทันที
เสียงทุ้มะเิขึ้นกลางโถงใหญ่
ท่ามกลางเสียงอุทานและความตกตะลึงของหยวนต้งคุน
ดาบใหญ่ในมือหยวนต้งคุนลอยกระเด็นขึ้นไปเบื้องบนหลังหมุนอยู่กลางอากาศหลายตลบ จึงกระแทกลงบนพื้นดินพร้อมกับเสียงโครมสนั่นในที่สุด
แขนที่เคยจับดาบถูกทิ้งลงข้างลำตัวอย่างไร้เรี่ยวแรงเืสดไหลออกมาจากซอกนิ้วมือความแข็งแกร่งของพลังิญญาที่พุ่งออกมาจากร่างของซูฉางอันทำให้เขารู้สึกสะพรึงกลัวหยวนต้งคุนมองซูฉางอันด้วยความซาบซึ้งอยู่แวบหนึ่งเขารู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะซูฉางอันเก็บพลังกลับเข้าไปในวินาทีสุดท้ายล่ะก็มือของเขาต้องพิการไปตลอดกาลอย่างแน่นอน
สำหรับนักดาบคนหนึ่งเมื่อไม่มีมือก็ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว
เขาทนกับความเ็ปที่ส่งมาจากฝ่ามือแล้วยกมือขึ้นเพื่อทำความเคารพต่อซูฉางอัน “คุณชายซูมีพลังที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆข้าไม่เจียมตัวเอง ขายหน้าแล้ว” หลังพูดจบเขาก็หันไปหยิบดาบขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วเดินแทรกเข้าไปในกลุ่มคนอีกครั้งจากนั้นหนุ่มวัยรุ่นที่เป็เพื่อนร่วมสำนักหลายคนก็วิ่งเข้ามาหาแล้วประคองเขาจากไปในที่สุด
โถงขนาดใหญ่เงียบสงัดลงอย่างพิลึกอีกครั้งคนวัยรุ่นที่อยู่ในที่แห่งนี้ ล้วนมีความรู้ความสามารถมีสายตากว้างไกลด้วยกันทั้งสิ้นย่อมดูออกว่าหยวนต้งคุนพ่ายแพ้เพราะพลังิญญาของเขาต้านพลังของซูฉางอันเอาไว้ไม่ได้แต่พวกเขาไม่อาจทำความเข้าใจได้เลยว่าซูฉางอันที่เพิ่งหลอมจิตได้เพียงไม่นานเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยพลังิญญาได้อย่างไรกัน
“ปราณดาราของเขาไม่ใช่ปราณดาราธรรมดาแต่เป็ปราณดาราแห่งคมดาบที่มั่วทิงอวี่ทิ้งเอาไว้ให้นักรบระดับเก้าดาราย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้มีปราณดาราของนักรบแห่งดาราจักรอยู่แล้ว” ชายจมูกอินทรีกล่าวด้วยท่าทางราบเรียบเขาปรายตามองไปที่ตู้หงฉางซึ่งบัดนี้มีสีหน้าขมขื่นข้างกายเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง “พลังิญญาของคนที่ชื่อหยวนต้งคุนนั่นอยู่ในขั้นที่ยี่สิบกว่าๆเขาเป็นักรบระดับเก้าดาราขั้นเริ่มต้นเท่านั้นทว่าตอนนี้พลังิญญาของเ้าอยู่ในขั้นที่เจ็ดสิบแปดแล้วต่อให้ปราณดาราของมั่วทิงอวี่จะแข็งแกร่งมากแค่ไหน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเ้าอยู่ดี”
ในการฝึกพลังนั้นหากปราณดารามีพลังิญญาอยู่ในขั้นที่เก้า ผู้ฝึกจะมีพลังอยู่ในระดับเก้าดาราแต่พลังิญญาขั้นที่เก้า กลับไม่ใช่จุดสิ้นสุดของพลังิญญาเพราะหากยังฝึกพลังต่อไปเรื่อยๆ จนมีพลังิญญาอยู่ในขั้นที่แปดสิบเอ็ดเช่นนั้นผู้ฝึกก็จะก้าวเข้าสู่ระดับอรุณรุ่งได้สำเร็จนั่นเอง พลังทั้งสองระดับมีพลังิญญาที่แตกต่างกันถึงเจ็ดสิบแปดขั้นเลยทีเดียว ดังนั้นต่อให้จะเป็นักรบระดับเก้าดาราเหมือนกันแต่หยวนต้งคุนกับตู้หงฉางกลับมีพลังที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว และในตอนนี้ตู้หงฉางก็มีพลังิญญาอยู่ในขั้นที่เจ็ดสิบแปดแล้วอีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะก้าวข้ามระดับเก้าดารา ไปเป็นักรบระดับอรุณรุ่งได้แล้วเรียกได้ว่าเขาแข็งแกร่งมากกว่าหยวนต้งคุนหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
เพราะได้รับคำแนะนำจากชายจมูกอินทรีตู้หงฉางจึงรู้สึกเบาใจลงมาก สีหน้าของเขากลับมาผ่อนคลายอีกครั้งต่อให้ซูฉางอันจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนอย่างไรในร่างของเขาก็มีปราณดาราเพียงดวงเดียวเท่านั้นหากจะว่ากันด้วยเื่ของพลังและระยะเวลาในการฝึกฝนแล้วไม่มีเหตุผลที่ตู้หงฉางจะแพ้ให้กับซูฉางอันเลยสักนิด
ทว่าชายชรากลับมีสีหน้าหมองหม่นเขาพบว่าหลังเอาชนะหยวนต้งคุนที่มีพลังอยู่ในระดับเก้าดาราได้ด้วยพลังระดับหลอมจิตซูฉางอันกลับไม่มีท่าทีผยองอวดดีเลยแม้แต่น้อย เขามีท่าทางนิ่งเรียบแสดงท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนั้แ่ต้นจนจบทว่าตู้หงฉางที่มีพลังมากกว่าอีกฝ่ายเป็ร้อยๆ เท่ากลับรู้สึกหวาดกลัวเพราะรังสีแห่งอำนาจที่ซูฉางอันปลดปล่อยออกมาเสียได้เมื่อนำมาเทียบกันแล้ว ก็เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าใครเป็ฝ่ายอยู่เหนือกว่ากัน
เขาลอบนึกยกย่องศิษย์จากสำนักเทียนหลานในใจแต่ละคนล้วนมีความโดดเด่นและเอกลักษณ์เป็ของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น
ซูฉางอันมองตามร่างของหยวนต้งคุนจนเมื่อร่างนั้นหายไปลับตา เขาจึงหมุนตัวกลับมาอีกครั้งเตรียมจะท้าประลองกับตู้หงฉางต่อ ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆร่างของคนสองคนก็พุ่งออกมาจากกลุ่มคน แล้วมาหยุดอยู่เบื้องหน้าซูฉางอัน
“พวกเ้าก็อยากจะสู้กับข้าเหมือนกันรึ?” ซูฉางอันกล่าวถามเขารู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่ ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงอยากจะสู้กับตน
ร่างทั้งสองตรงหน้าเป็ชายหนึ่งคนและหญิงอีกหนึ่งคนฝ่ายชายถือกระบี่เอาไว้ในมือ ขณะที่อาวุธของหญิงอีกคนเป็แส้ยาว
“สหายซูมีฝีมือเหนือใคร เห็นแล้วทำให้รู้สึกคันไม้คันมือยิ่งนักไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องขึ้นมาขอคำชี้แนะเสียหน่อย” ชายผู้ถือกระบี่พูดยิ้มแย้ม
“แต่ข้าไม่อยากสู้กับพวกเ้า” ซูฉางอันกล่าวขึ้น
“คุณชายซูพูดเป็เล่นไปเมื่อก้าวขึ้นไปบนแท่นจอมดารา ย่อมต้องประลองให้ครบเก้ายกก่อน ไม่เช่นนั้นแท่นจอมดาราไม่กลายเป็ที่ที่แม้แต่หมูหมากาไก่ก็ขึ้นไปนั่งได้เลยหรือ?” หญิงผู้ถือแส้พูดแดกดัน
ซูฉางอันไม่อาจรับรู้ถึงความหมายอีกอย่างที่แฝงมากับประโยคของหญิงสาวคนนั้นได้เขาคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวถามขึ้น “เช่นนั้นก็แสดงว่าข้าต้องสู้กับคนอีกเจ็ดคน ถึงจะสามารถสู้กับเขาได้ใช่ไหม?”
“ก็ประมาณนั้น” หญิงสาวสะบัดแส้ในมือจนเกิดเสียงฟาดดังขึ้นกลางอากาศ
“เช่นนั้น ออกมาเพิ่มอีกห้าคนเถอะมาพร้อมกันเลย ข้าไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว” ซูฉางอันพูดเช่นนั้น
เมื่อสิ้นเสียงกล่าว ผู้คนภายในโถงก็ะเิความโกรธขึ้นมาทันทีต่างก็ส่งเสียงก่นด่ากันระนาวพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงคำพูดที่ผยองจองหองของซูฉางอันอย่างไม่หยุดปากทว่าคำพูดที่ใช้กลับหยาบคายจนไม่อาจทนฟังได้เลย
คนห้าคนะโออกมาจากฝูงคนพวกเขาต่างก็มีอาวุธติดมือมาด้วย บ้างก็ใช้หอก บ้างก็เป็กระบี่ ดาบ และแส้
ผู้นำกลุ่มเป็ชายคนหนึ่งเขาก้าวเข้าไปข้างหน้า แล้วประสานมือในท่าทำความเคารพ พลางพูดกับซูฉางอันไปด้วย “คุณชายซูมีฝีมือล้ำเลิศช่างน่ายกย่องยิ่งนัก เพียงแต่ แม้การต่อสู้แบบหนึ่งต่อเจ็ดจะเป็เื่กล้าหาญแต่หากทำเช่นนั้นจริงๆพวกเราทั้งเจ็ดสามารถเอาชนะท่านได้โดยไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเลย ดังนั้น คุณชายซูหากท่านยอมถอนคำพูด แล้วขอโทษต่อพวกพ้องนับร้อยในที่แห่งนี้ล่ะก็พวกเราจะยอมถอยกลับไปให้”
ชายคนนั้นพูดอย่างใจเย็น พูดจารอบคอบถ้อยคำสุภาพ ทั้งยังมีเหตุผล และไม่แสดงท่าทีบีบคั้นอีกทำให้ผู้คนรอบด้านพยักหน้าเห็นด้วยไปตามๆ กัน
“ทำไมข้าต้องขอโทษด้วย?” ซูฉางอันส่ายหน้าจากนั้นก็เก็บกระบี่กลับเข้าไปในฝัก แล้วโยนมันคืนให้เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงคนก่อนจะชักดาบที่แบกเอาไว้ทางด้านหลังออกมาอีกครั้ง เขาเพ่งสายตาไปที่คนทั้งเจ็ดขณะที่ปราณดาราแห่งคมดาบและเพลิงศักดิ์สิทธิ์ภายในร่างกายก็เริ่มขับเคลื่อนขึ้นอย่างต่อเนื่องพลังอำนาจที่แข็งแกร่งเกินกว่าที่นักรบระดับหลอมจิตจะมี ปะทุออกมาจากร่างของเขาอย่างรวดเร็ว
ซูฉางอันบอกกับทุกคนในที่แห่งนี้ด้วยการกระทำว่าศึกในครั้งนี้ ต้องเกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง!
เพราะรับรู้ได้ถึงระลอกแห่งพลังิญญาที่กระจายออกมาจากร่างของซูฉางอันในที่สุด ผู้คนทั้งหลายก็ะเิความระแวดระวังขึ้นมาจนได้ พวกเขาเป็ศิษย์ที่ถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆซึ่งล้วนมีพลังแข็งแกร่งกว่าหยวนต้งคุนด้วยกันทั้งสิ้นเดิมยังคิดว่าในการต่อสู้ครั้งนี้ ต่อให้ซูฉางอันจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนก็ไม่มีทางเอาชนะทั้งเจ็ดไปได้อยู่ดี แต่มาตอนนี้พวกเขาต่างก็เปลี่ยนความคิดกันไปจนหมดแล้ว
พลังิญญาที่ซูฉางอันกระจายออกมาไม่ได้มากมายมหาศาลอะไรเพียงแต่ มันเป็พลังที่เข้มข้น ทั้งยังมีอำนาจที่ดุดัน แข็งแกร่งและร้อนแรงแฝงอยู่ด้วย พลังิญญาในลักษณะนี้ ไม่ใช่พลังที่นักรบระดับหลอมจิตเก้าดารา หรือแม้แต่นักรบระดับอรุณรุ่งจะสามารถมีเอาไว้ในได้
ปราณดาราที่ได้รับถ่ายทอดมาจากนักรบแห่งดาราจักรหาใช่ของธรรมดาที่จะสามารถประเมินได้ไม่ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ซูฉางอันก็มีปราณดาราของนักรบแห่งดาราจักรอยู่ภายในร่างถึงสองดวง
“อย่าประมาทคู่ต่อสู้และไม่ต้องออมมือด้วย” ชายผู้นำคำรามเสียงต่ำ
กลุ่มคนขานรับอย่างพร้อมเพรียง
จากนั้นทั้งเจ็ดก็พุ่งตรงเข้าไปหาซูฉางอันอย่างรู้งานราวเตรียมการกันมาเรียบร้อยแล้วเช่นนั้นอาวุธทั้งหลายเริงระบำอยู่ภายในมือผู้เป็เ้าของ ทันใดนั้นลำแสงจากอาวุธก็พากันส่องประกายไปทั่ว ดาบ กระบี่ แส้ และหอกพุ่งฝ่าห้วงอากาศเข้ามาอย่างรวดเร็วพวกเขาปิดล้อมซูฉางอันเอาไว้จากทุกทางแล้ว
อาจเป็เพราะผลจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับหยวนต้งคุนเมื่อครู่หรืออาจเป็เพราะคำเตือนจากชายผู้เป็ผู้นำ คนทั้งเจ็ดจึงลงมืออย่างเต็มกำลังพวกเขาแสดงท่าไม้ตายของตัวเองออกมาทันที ผู้คนนับร้อยภายในโถงแห่งนี้ดูจะมีเพียงกู่เซี่ยนจวินที่มีพลังอยู่ในระดับอรุณรุ่งคนเดียวเท่านั้นที่สามารถหลบการโจมตีในครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัยแต่สำหรับซูฉางอันที่มีพลังเพียงระดับหลอมจิตแล้ว คิดไม่ออกเลยจริงๆว่าเขาจะหลบจากการโจมตีในครั้งนี้ไปได้อย่างไร
เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่อยู่ข้างกันร้อนรนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้นางย่อมรู้ถึงฝีมือของซูฉางอันเป็อย่างดีสามารถเอาชนะนางได้หลังฝึกวิชาเพียงเดือนกว่าเท่านั้นแน่นอนว่าเขามีพรสรรค์ที่ยอดเยี่ยมมากอยู่แล้ว แต่อย่างไรเสียซูฉางอันในตอนนี้ก็เพิ่งฝึกวิชาการต่อสู้ได้เพียงไม่นานเท่านั้น อีกทั้งคนที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ก็เป็กลุ่มศิษย์ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในบรรดาศิษย์ใหม่แม้แต่เซี่ยโหวฟ่งอวี้เอง ก็ยังไม่คิดว่าซูฉางอันจะเอาชนะคนเหล่านี้ไปได้เลยดังนั้น นางจึงจับกระบี่คู่ใจแน่น กำลังจะออกไปให้ความช่วยเหลือกับซูฉางอันแต่แขนเรียวก็ถูกมือขาวของใครบางคนรั้งเอาไว้เสียก่อน
“กู่เซี่ยนจวิน ทำอะไรของเ้า!” เซี่ยโหวฟ่งอวี้หันกลับไปมองตามแรงดึงที่แขนเมื่อเห็นว่าเ้าของมือเป็กู่เซี่ยนจวินเซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็ตวาดเสียงขึ้นอย่างอดไม่ได้ทันที
“เป็ห่วงศิษย์น้องขนาดนั้นเลย?” กู่เซี่ยนจวินทำราวกับมองไม่เห็นความโกรธเกรี้ยวที่ประดับอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายนางเม้มปาก แล้วกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะศิษย์น้องของเ้าคนนี้ เก่งกาจกว่าที่เ้าคิดเอาไว้มาก”
เซี่ยโหวฟ่งอวี้ะเิความสงสัยขึ้นนางคิดขึ้นในใจว่าเหตุใดหญิงคนนี้ถึงทำราวกับรู้จักศิษย์น้องของคนเป็อย่างดีแต่เมื่อลองคิดดูอีกที แม้พวกนางจะแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมานาน แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครใช้กลอุบายต่อกันเลยสักครั้ง นางคงไม่ได้พูดโกหกดังนั้นเซี่ยโหวฟ่งอวี้จึงเลือกที่จะเก็บกลั้นความสงสัยที่มีเอาไว้เป็การชั่วคราวแล้วมองดูการต่อสู้ที่กลางห้องโถงอีกครั้ง