ที่จริงแล้วฮองเฮาแทบรอไม่ไหวที่จะฉีกมู่จื่อหลิงที่กำลังยิ้มแย้มอยู่ต่อหน้านางออกเป็ชิ้นๆ
เห็นแต่ดวงตาที่เย็นเยียบของฮองเฮา ที่แหลมคมราวกับใบมีดน้ำแข็งกำลังจับจ้องตรงไปที่มู่จื่อหลิง
นางจะไม่ยอมให้ตนเองในวันข้างหน้าต้องถูกหลอกลวงอีก และนางจะไม่ยอมถูกควบคุมโดยยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้
ทางออกเดียวในยามนี้ คือหากไม่ใช่มู่จื่อหลิงที่ตายไป ก็เป็นางที่จะต้องถูกควบคุมจนต้องอยู่อย่างตายทั้งเป็
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็สามารถเห็นได้ชัดเจน นางไม่อาจถูกควบคุมโดยยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ได้
พระพักตร์ของฮองเฮาปกคลุมไปด้วยความเย็นจัด นางเปล่งน้ำเสียงเยือกเย็นพูดเน้นทีละคำว่า “มู่จื่อหลิง เ้าคิดว่าเมื่อเ้าทำเช่นนี้จะทำให้เปิ่นกงไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขได้หรือ?”
ทันทีที่สิ้นเสียง ฮองเฮาก็หยิบนกหวีดดำขึ้นมาเป่า จากนั้นองครักษ์เงาสวมหน้ากากสองคนก็โผล่ออกมาจากที่ใดก็ไม่อาจทราบได้
แม้ว่าทั้งสองคนนี้จะปกปิดใบหน้า แต่เมื่อมองดูส่วนสูง รูปร่าง ดวงตาที่เยือกเย็นและเฉียบคมเ่าั้ จะเห็นได้ว่าทั้งสองคนนี้เป็ผู้มากฝีมือ และได้รับการฝึกมาอย่างดี
เส้นทางด้านนอกถูกปิดกั้น ไม่มีผู้ใดเข้ามา แต่องครักษ์เงานั้นแตกต่างออกไป
ผู้ใดจะไปรู้ว่าที่ซ่อนขององครักษ์เงาอยู่ที่ใดได้เล่า?
อย่างไรก็ตาม มันไม่สำคัญว่าจะซ่อนตัวอยู่ที่ใด
มู่จื่อหลิงมองดูองครักษ์ทั้งสองที่อยู่ข้างหน้าตนอย่างตั้งใจ และมีการเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง
ฮองเฮาเปี่ยมเมตตาผู้นี้เชื่อมั่นในตนเองมากจริงๆ เร็วกว่านี้ไม่เรียก ช้ากว่านี้ก็ไม่เรียก กลับเรียกมาในยามนี้
น่าเสียดาย...มันสายไปแล้ว
ทั้งสองได้ยินการสนทนาของพวกนางหรือไม่ก็ไม่สำคัญ
ดังคำกล่าวที่ว่าสิ่งหนึ่งย่อมข่มอีกสิ่งหนึ่ง [1] และเหล่าองครักษ์เงานั้นล้วนสาบานตนว่าจะจงรักภักดีต่อผู้เป็นาย และเมื่อผู้เป็นายถูกนางควบคุมอยู่ เช่นนั้นนางจึงเทียบเท่ากับนายใหญ่ของพวกเขา
มู่จื่อหลิงไม่สนว่าองครักษ์เงาทั้งสองได้ยินการสนทนาของพวกนางหรือไม่ ด้วยพวกเขาไม่อาจอยู่ได้นาน
ก่อนที่ฮองเฮาจะเปล่งเสียงให้องครักษ์เงาจับมู่จื่อหลิงไว้ มู่จื่อหลิงก็เอนกายแนบหูของฮองเฮาแล้วใช้เสียงที่ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น
นางลดเสียงลงและพูดด้วยท่าทางที่ดูไร้เดียงสาว่า “แต่...ท่านไม่อาจจัดการข้าได้จริงๆ อย่าลืมว่าจิตใจของท่านถูกควบคุมโดยข้าแล้ว วิชาควบคุมจิตใจของข้าไม่ใช่สิ่งที่ไม่ครอบคลุม”
นางลืมตาขึ้นแล้วพูดเื่เพ้อเจ้อครั้งใหญ่ แต่สิ่งที่พูดออกมานั้นเป็ความจริงเสียยิ่งกว่าความจริง
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายนิ้วไปมา แล้วพูดช้าๆ ว่า “ชีวิตของท่านอยู่ในกำมือข้าแล้ว ข้าอยากให้ท่านอยู่ก็ต้องอยู่ หรืออยากให้ท่านตายก็ต้องตาย”
“เ้า...” ฮองเฮาเบิกตากว้างในทันที โกรธจนโลกทั้งใบแทบแตกสลาย
ฮองเฮาโกรธจัด เห็นแค่ว่าดวงตาของนางตื่นตระหนกจนดูเหมือนกำลังจ้องมองอสูรร้าย
มู่จื่อหลิงทั้งร้ายกาจและเ้าเล่ห์ราวกับอสูรร้าย และวิชาควบคุมจิตใจก็เป็วิชาที่ทรงพลัง
มู่จื่อหลิงเม้มริมฝีปากราวกับจะเป็รอยยิ้มทั้งที่ไม่ใช่รอยยิ้ม แบมือออก แล้วลดเสียงลง “ข้าไม่รู้ว่าท่านเต็มใจที่จะเสียสละชีวิตของท่านหรือไม่ แต่ข้ารู้ว่าท่านหวงแหนชีวิตขององค์ชายใหญ่ ดังนั้นท่านว่า หากท่านต้องสังหารบุตรชายของตนด้วยมือตนเองมันจะเป็อย่างไร?”
อันที่จริง คนอย่างฮองเฮาต้องประสบกับความพ่ายแพ้มามากจึงจะปีนขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ได้ ดังนั้นจึงเป็ที่แน่ชัดว่าฮองเฮาจะทะนุถนอมชีวิตของนางเอง
แต่หากจำเป็ ก็ยัง้าที่จะเพิ่มการป้องกันเป็สองชั้น ท้ายที่สุดจึงมองหาผู้ที่ทรงพลังที่สุดมาพึ่งพิง แน่นอนว่ายิ่งเชื่อมั่นได้มากเพียงใดก็ยิ่งดีมากเท่านั้น
หลงเซี่ยวหลีเป็ที่พึ่งเดียวของฮองเฮา เป็หนทางเดียวเท่านั้นที่จะพึ่งพาได้!
ชั้นการป้องกันชั้นนี้เป็สิ่งที่ช่วยเพิ่มอำนาจ และนางไม่เชื่อว่าฮองเฮาจะยอมประนีประนอมให้อย่างง่ายดาย
ทันทีที่มีการกล่าวถึงหลงเซี่ยวหลี ฮองเฮาก็เริ่มกระสับกระส่าย เมื่อมองไปที่ดวงตาของมู่จื่อหลิงก็มีแสงเย็นเยียบแทรกเข้ามา “มู่จื่อหลิง เ้ากล้า”
ด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคืองของฮองเฮา กระบี่ขององครักษ์เงาทั้งสองจึงถูกดึงออกมาจากฝัก ชี้ตรงไปที่จุดสำคัญของมู่จื่อหลิง
กระบี่เรืองแสงราวกับมีชีวิต และมันกำลังดึงเืสีแดงสดใต้คอของมู่จื่อหลิงให้ไหลลงมาเล็กน้อย
แม้ว่าคอของนางจะมีเืออก แต่คิ้วของมู่จื่อหลิงก็ไม่แม้แต่จะขมวด
เพียงแค่รอให้ฮองเฮาพยักหน้า มู่จื่อหลิงก็จะตายในทันที
มู่จื่อหลิงในยามนี้ยังทำราวกับเขาไท่ซานทรุดลงต่อหน้า แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยน [2] รับมือได้อย่างมั่นคง ไม่คิดที่จะนำประกายกระบี่ที่ส่องแสงเย็นะเือยู่ตรงหน้าทั้งสองเล่มมาใส่ใจแม้แต่น้อย
เห็นเพียงนางเลิกคิ้วขึ้นด้วยใบหน้ากึ่งยิ้ม ทั้งยังมีท่าทางที่สงบและผ่อนคลาย พูดอย่างใจเย็นว่า “หากนั่นเป็เหตุผลที่ฮองเฮา้าสังหารข้าอีก ท่านก็ต้องอดทน และแม้ว่าจะอยากกระชากผมของข้าก็ต้องอดทนไว้ หากไม่เชื่อ ก็สามารถลองดูได้ว่าข้าจะกล้าไหม การดึงอีกฝ่ายให้พินาศไปพร้อมกันก่อนตาย หรือจะทำให้อีกฝ่ายอยู่อย่างตายทั้งเป็ก็ถือว่าไม่เลวนัก”
มู่จื่อหลิงรู้ว่านางน่าจะเป็คนที่ฮองเฮาเกลียดที่สุดในชีวิต
หากสั่งให้ฮองเฮาละทิ้งจิตใจที่อยากจะสังหารนางออกไป สิ่งนั้นคงเป็ไปไม่ได้เลย และมันก็ค่อนข้าง ‘โหดร้าย’ อยู่บ้าง!
ยามนี้ทำได้แค่ให้ฮองเฮาอดทน หากทนไม่ไหวก็ต้องทน!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ิญญาของฮองเฮาก็แทบจะหวาดผวา
ถ้านางฆ่ามู่จื่อหลิง มู่จื่อหลิงจะควบคุมนางและให้นางสังหารบุตรชายของนางด้วยมือของนางเอง?
ไม่ ไม่ได้ เช่นนั้นมันเ็ปกว่าการฆ่าตัวตายเสียอีก
ไม่ว่ามู่จื่อหลิงจะกล้าหรือไม่ก็ตาม ฮองเฮาก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่คนกำลังจะตายยังมีสิ่งใดให้ไม่กล้าทำได้อีกเล่า และนางไม่เคยเสี่ยงที่จะต้องเดิมพันสิ่งใดด้วยชีวิตหลงเซี่ยวหลี
ส่วนจะเชื่อหรือไม่นั้น เนื่องจากความรู้สึกสูญเสียจากครั้งก่อนๆ จึงเป็ไปไม่ได้ที่ฮองเฮาจะไม่เชื่อ
นางได้เห็นความร้ายกาจและความฉลาดแกมโกงของมู่จื่อหลิง ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้มีพลังและน่าสะพรึงกลัวมากกว่าที่นางคิด
และนางไม่รู้ว่าวิชาควบคุมจิตใจนั้นทรงพลังเพียงใด ในวันหน้ามู่จื่อหลิงจะสามารถควบคุมนางได้จริงหรือ?
แต่ถ้านางไม่ถูกควบคุมเล่า มันจะเป็อย่างไร?
นางมีทางเลือกอื่นหรือไม่? ข้อเท็จจริงอยู่ตรงหน้า พิสูจน์ได้ว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
เมื่อคิดถึงเื่นี้ ฮองเฮาก็รู้สึกร้อนจนแทบจะอาเจียนเป็เื!
สภาพจิตใจของมู่จื่อหลิงทั้งผ่อนคลายและสงบ คิ้วและดวงตาโค้งมนราวกับกำลังแย้มยิ้ม แล้วมุ่ยริมฝีปากเป็สัญญาณให้คน [3]
ในท้ายที่สุดฮองเฮาผู้เต็มไปด้วยความโกรธเคืองและเศร้าใจก็ยังคงโบกมือให้คนถอยออกมา
“ฮองเฮา้าที่จะต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์กับผู้ใดก็สู้ต่อไปได้ นั่นไม่ใช่เื่ของข้า ตราบใดที่ท่านไม่มายุ่งกับข้า และช่วยข้าเมื่อข้ามีปัญหา ข้าก็จะไม่ทำให้ท่านลำบากใจเช่นกัน” มู่จื่อหลิงมองไปที่ฮองเฮาด้วยรอยยิ้ม และยังคงโจมตีความมั่นใจในตนเองของฮองเฮาที่ถูกนางโค่นล้มลงไปนานแล้ว
เหตุผลที่ฮองเฮา้าควบคุมนาง และลอบสังหารนางครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ใช่เพราะหลงเซี่ยวอวี่ที่จะดึงความเกลียดชังเข้ามาจากทุกที่ที่ย่างเท้าเข้าไปหรอกหรือ?
การต่อสู้เพื่ออำนาจและผลประโยชน์ สังหารนางที่เป็เพียงหญิงที่ไร้อำนาจนั้นจะมีความหมายอะไร แต่นั่นก็เพราะฮองเฮาไม่มีความสามารถในการต่อกรกับหลงเซี่ยวอวี่ได้ด้วยตนเอง
ต่อกรกับฉีอ๋องหรือ? หากฮองเฮามีความสามารถนั้นจริง
สิ่งใดกันที่เรียกว่าได้หนึ่งยังจะเอาสอง [4] ?
บรรดาผู้เกลียดชังถึงแก่นไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เมื่อััไม่ได้ เพียงแค่นั้นก็จบแล้ว ยัง้าช่วยนาง? ปกป้องนาง?
ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ไร้สาระไปกว่านี้แล้ว และไม่มีอะไรน่าหงุดหงิดไปกว่านี้อีก
หัวใจของฮองเฮาสับสนไปหมด นางกัดฟันแน่น อกของนางสั่นไหวอย่างรุนแรง มองดูดวงตาของมู่จื่อหลิง ความโกรธและเกลียดชังของนางยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุด
ภายใต้การจ้องมองอันเยือกเย็นของฮองเฮา มู่จื่อหลิงยังคงไม่หวาดกลัว นางยังยิ้มอย่างไร้เดียงสาและสงบ
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง
ยังคงยืนกรานที่จะก่อาผ่านทางสายตา
ฝ่ายหนึ่งยิ่งดูยิ่งโมโห อีกฝ่ายหนึ่งยิ่งดูยิ่งภาคภูมิใจ
มู่จื่อหลิงยกแขนโอบรอบหน้าอกของนาง และมองดูฮองเฮาอย่างมีชัย ไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกสบายอารมณ์
นางโบกมืออย่างภาคภูมิใจและพูดอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่ท่านปกป้องข้า ข้าจะให้ท่านได้มีชีวิตที่ดีเช่นกัน และมันจะไม่ทุกข์เลยแม้แต่น้อย และหากท่านเจ็บป่วยข้าจะมาหาท่านอย่างคิดเงิน ท้ายที่สุดแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่จะหาผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งเช่นท่านได้”
มีผู้ใดใช้คนเช่นนี้ได้บ้าง?
ทันใดนั้น ฮองเฮาก็หลั่งเืออกมาจากคอของนางภายในลมหายใจเดียว และนางก็กลืนมันกลับเข้าไปอีกครั้ง
การไม่ทุกข์เลยหมายความว่าอย่างไร? ยามนี้นางเ็ปแทบตายแล้ว
ฮองเฮาไม่ได้พูดอะไรสักคำเป็เวลานาน มีเพียงใบหน้าที่เ็าเท่านั้น
ในตอนท้าย นางพ่นลมอย่างเ็า ราวกับแสดงว่านางยอมอ่อนข้อให้แล้ว
เมื่อเห็นว่าฮองเฮายอมประนีประนอมอย่างที่ควรทำแล้ว ด้วยการโบกมือของนางเพียงครั้งเดียว มู่จื่อหลิงจึงถอนพิษที่ทำให้จิตใจสับสนในร่างฮองเฮาออกมา
“เอาล่ะ หลังจากตอบแทนบุญคุณครั้งใหญ่แล้ว ก็ถึงเวลาที่ข้าจะต้องกลับแล้ว” มู่จื่อหลิงโบกมืออย่างพอใจ ลุกขึ้นอย่างเกียจคร้านและเหยียดยืดตัว
ก่อนที่ฮองเฮาจะพูดอะไร มู่จื่อหลิงก็เตะเก้าอี้ออก พึมพำเบาๆ แล้วเดินไปที่ประตูด้วยย่างก้าวที่ดูร่าเริง
ในที่สุด...ฮองเฮาผู้นั่งทุกข์ทรมานมานานก็ลุกขึ้นยืน คว่ำโต๊ะลงทันที และระบายความโกรธที่นางระงับไว้นานออกมา
ก่อนจะกรีดร้องดังลั่นไปทั้งห้องอาหาร!
ด้วยเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง มู่จื่อหลิงหยุดเดินครู่หนึ่งในยามที่กำลังก้าวข้ามธรณีประตู หันหลังกลับด้วยรอยยิ้ม ยิ้มและเตือนอย่างใจดี “ฮองเฮาโปรดระงับความโกรธด้วย พระวรกายของท่านมีความสำคัญ!”
หลังจากที่มู่จื่อหลิงจากไป ฮองเฮาไม่เพียงไม่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกหรือรู้สึกสบายใจเท่านั้น แต่กลับรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว นี่เป็ชีวิตที่ปราศจากความรัก [5]
ฮองเฮาทรุดตัวลงบนเก้าอี้ สายตาที่เพ่งมองออกไปของนางก็พบเข้ากับแผ่นหลังที่จากไปอย่างร่าเริงซึ่งกำลังค่อยๆ เลือนหายไป
สิ่งที่เรียกว่า ‘การตอบแทนความเมตตา’ ของมู่จื่อหลิงเป็เช่นนี้ มันช่างไร้ยางอาย โหดร้ายและน่าสะพรึงกลัว
เห็นได้ชัดว่ามู่จื่อหลิงสามารถบอกนางเกี่ยวกับเื่นี้ในการต่อกรกับนางอย่างตรงไปตรงมาได้ั้แ่ต้น แต่มู่จื่อหลิงกลับไม่ทำ
มู่จื่อหลิงยืนกรานที่จะคำนวณอย่างเป็ขั้นเป็ตอน ค่อยๆ เดินแผนการไปจนสุดทาง และทวงถามความรับผิดชอบจนถึงที่สุด
ในตอนแรก นางมีความมั่นใจในตนเองสูง จากนั้นก็ค่อยๆ ถูกกระทบกระเทียบอย่างช้าๆ และหัวใจที่เย่อหยิ่งของนางก็ถูกทำลายลงได้ในที่สุด
เพราะความมั่นใจของนางยังคงมีอยู่ ไม่ว่ามู่จื่อหลิงและหลงเซี่ยวเจ๋อจะไม่เชื่อฟังนางอย่างไร นางก็ไม่หวั่นไหว
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มู่จื่อหลิงจัดการทุกอย่างจนเสร็จสิ้นแล้ว กลับยังไม่เพียงพอ ยังปาะเิครั้งใหญ่ลงมาอีกครั้ง
การดีมาดีกลับ และการปฏิบัติต่อผู้อื่นในแบบที่ตนได้รับ [6] ย่อมเป็หนทางของมนุษย์ เพราะเหตุนี้มันก็ทำให้นางตกลงไปในเหวแห่งการเผชิญหน้ากับขุมนรกที่ไม่มีที่สิ้นสุด
นางถูกหยอกล้ออยู่กลางฝ่ามือของมู่จื่อหลิงมาโดยตลอด
มู่จื่อหลิงยั่วยุนางหรือ? หรือเป็นางที่ไปยั่วยุมู่จื่อหลิง? เื่ในวันนี้ มันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว
นางไม่ควรกระตือรือร้นต่อความสำเร็จอย่างรวดเร็วเช่นนั้นใช่หรือไม่?
นางเสียใจ เพราะนางไม่ควรทำเช่นนี้โดยที่ยังไม่รู้แน่ชัด อย่างการพยายามจับมู่จื่อหลิงเอาไว้ให้แน่น นางไม่ควรละเลยข้อควรระวังครั้งแล้วครั้งเล่า และนางไม่ควรใช้หนอนกู่ควบคุมจิตใจ
นางเ็ปเพราะนางจะใช้เวลาทั้งวันภายใต้การควบคุมของผู้อื่น ทั้งยังใช้ไปด้วยใจที่สงบสุขอย่างเต็มใจอีกด้วย
ความรู้สึกของการถูกศัตรูควบคุมนี้ เป็สิ่งที่แย่มากเมื่อคิดถึงมัน!
เมื่อลองหยั่งเชิงนางหนูเ้าเล่ห์นั้นในการใช้กลอุบาย แต่ั้แ่แรกเริ่มก็ไม่มีการหย่อนคล้อยเลยแม้แต่น้อย แล้วตัวนางจะยังสามารถต่อสู้ได้อีกหรือ? คำตอบคือนางไม่รู้!
จนกระทั่งร่างเรียวที่อยู่นอกประตูหายไปต่อหน้าต่อตานาง ฮองเฮาก็หลับตาลงอย่างเฉยเมยและเศร้าสร้อย
มันเป็การต่อสู้ที่อยู่ภายใต้ความขัดแย้ง!
บัดนี้นางพ่ายแพ้ต่อหน้าแม่หนูนั้นอย่างสมบูรณ์แล้ว จะบอกให้นางสู้ต่อหรือ? จะสู้ได้อย่างไร?
หากไม่สู้ไม่ตอบโต้ แล้วจะอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างไร?
-
หลงเซี่ยวเจ๋อออกไปเดินเล่นและยังไม่กลับมา
เขาโรยผงยาหลอนประสาทเป็ครั้งสุดท้าย และกำลังกระตือรือร้นที่จะรีบเข้าไป แต่...
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] สิ่งหนึ่งย่อมข่มอีกสิ่งหนึ่ง (一物降一物) เป็วลี มีความหมายว่า ทุกสิ่งในจักรวาล ล้วนมีการเติบโตและยับยั้งซึ่งกันและกัน หรือทุกสิ่งมีสิ่งที่แพ้ทางกันตามธรรมชาติ
[2] เขาไท่ซานทรุดลงต่อหน้า แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยน (泰山崩于前依旧面不改色) เป็วลี มีความหมายว่า สงบและไม่ได้รับผลกระทบจากโลกภายนอก หรือสงบนิ่ง เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ไม่มีความตื่นตระหนก
[3] มุ่ยริมฝีปากเป็สัญญาณให้คน (继续努嘴) เป็กริยา มีความหมายว่าส่งสัญญาณบางอย่างด้วยริมฝีปาก อาจเป็การทำหน้าบึ้งบอกความไม่พอใจ หรือส่งสัญญาณเป็คำสั่งบางอย่างก็ได้เช่นกัน
[4] ได้หนึ่งยังจะเอาสอง (得寸进尺) เป็สำนวน มีความหมายว่า โลภมาก ไม่รู้จักพอ เทียบกับสำนวนไทยจะใกล้เคียงกับคำว่าได้คืบจะเอาศอก
[5] ชีวิตที่ปราศจากความรัก (生无可恋) เป็คำที่นิยมในอินเทอร์เน็ต มีความหมายว่า ชีวิตที่ไม่มีสิ่งใดให้นึกถึงอีกแล้ว เป็ชีวิตที่ไม่มีความหมาย มาจากคำว่า生亦何欢,死亦何苦 แปลว่าชีวิตไม่มีความสุขและความตายไม่เ็ป
[6] การปฏิบัติต่อผู้อื่นในแบบที่ตนได้รับ (还治其人之身) เป็วลี มีความหมายว่า ใช้หลักการและวิธีการของผู้อื่นในการรับมือกับคนผู้นั้น เทียบกับคำไทยจะใกล้เคียงกับคำว่า หนามยอกเอาหนามบ่ง หรือตาต่อตา ฟันต่อฟัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้