ครึ่งเดือนผ่านไปอย่างเร่งรีบ มู่อวิ๋นจิ่นกำลังนั่งอยู่ในลานเล็ก ๆ พยายามนับนิ้วคำนวณเวลาไปมาด้วยความเบื่อหน่าย
เหลือเวลาอีกเพียงสิบวันก็จะถึงพิธีปักปิ่น และวันแต่งงานของนางกับฉู่ลี่
เมื่อนึกถึงฉู่ลี่ มู่อวิ๋นจิ่นยื่นมือขวาของนางออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะมองไปที่แส้หางหงส์ที่พันรอบมือขวาพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาของนางเผยความเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด
“จื่อเซียง” มู่อวิ๋นจิ่นะโ
จื่อเซียงที่กำลังรดน้ำดอกไม้อยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินดังนั้นก็วางถังในมือของนางทันที ก่อนจะเช็ดมือแล้วเดินไปหามู่อวิ๋นจิ่น “มีอะไรหรือเ้าคะ คุณหนู?”
“ข้าไม่ได้ออกไปไหนมากว่าครึ่งเดือนแล้วั้แ่ข้าอยู่ที่เรือนบุปผาภิรมย์ ข้าเบื่อออกไปเดินเล่นกันเถอะ” มู่อวิ๋นจิ่นดูสภาพอากาศหลังเที่ยง และพูดกับจื่อเซียง
เมื่อจื่อเซียงได้ยินนางก็พลันพยักหน้าอย่างมีความสุข
หลังจากที่นายและคนรับใช้จัดระเบียบร่างกายใน่เวลาสั้น ๆ ทั้งสองเดินออกจากประตูเรือนบุปผาภิรมย์ไปทีละคน และตรงไปยังประตูจวน
เมื่อเดินมาถึงด้านหน้าจวน มู่อวิ๋นจิ่นถึงกับละลานตาไปกับโคมไฟสีแดงสด และแผ่นอวยพรมงคลที่ติดประดับเต็มไปทั่วทุกที่
จื่อเซียงมองดูฉากนี้แล้วยิ้มมุมปาก “ดูเหมือนว่าองค์ชายหกจะมีของขวัญหมั้นหมายมากมายจนแม้แต่คุณหนูก็ยังประทับใจ ดูสิเ้าคะ ยังมีเวลาอีกสิบวันก่อนงานแต่งงานใหญ่ และทั้งหมดก็จัดอยู่ในจวนแห่งนี้ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงได้ว่าองค์ชายหกให้ความสำคัญกับเื่นี้มากจริงๆ เ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินออกจากจวนเสนาบดีมู่ โดยไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ
กลางฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว อากาศภายนอกวันนี้ค่อนข้างชื้นและร้อน หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้ออกไปซื้อของเป็เวลานานก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นหลายครั้งบนท้องฟ้า ตามมาด้วยฝนเม็ดใหญ่
มู่อวิ๋นจิ่นสาปแช่งความโชคร้ายนี้ จากนั้นก็วิ่งเหยาะ ๆ ไปข้างหน้าสองสามก้าว เมื่อผ่านประตูโรงน้ำชาิเซียง มู่อวิ๋นจิ่นก็หลบอยู่ในโรงน้ำชา หลังจากยืนนิ่งสักพัก นางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าที่เป็ผ้าไหมออกมาเช็ดน้ำฝนที่เปียกโชกตามตัว
“คุณหนู ฝนตกหนักมาก ข้าเดาว่าฝนจะไม่หยุดสักระยะ ทำไมคุณหนูไม่ไปซื้อร่มล่ะเ้าคะ” จื่อเซียงดูสายฝนที่โปรยปรายอยู่ข้างนอก และเบนสายตาของนางไปยังมู่อวิ๋นจิ่น
“ไม่จำเป็ นั่งที่นี่สักครู่เถอะ” หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นพูดจบ นางก็หันหลังเดินขึ้นไปห้องชั้นสองของโรงน้ำชา
ทันทีที่นางก้าวขึ้นบันไดบนชั้นสอง เสี่ยวเอ้อร์บนชั้นสองก็เข้ามาทักทายทันที และพูดด้วยความเคารพว่า “กระผมขอคารวะคุณหนูสามขอรับ”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้า และเปิดประตูเข้าไปในห้องที่ไม่มีใครอยู่
เสี่ยวเอ้อร์ตกตะลึง ยกมือเกาหัวด้วยความงงงวยก่อนผายมือไปทางห้องด้านขวา “คุณหนูสาม องค์ชายหกกำลังรออยู่ห้องที่หนึ่งทางโน้นขอรับ”
“เ้าหมายความว่าอย่างไร” มู่อวิ๋นจิ่นถึงกับปะติดปะต่อเื่ไม่ทัน
“หือ? วันนี้คุณหนูสามกับองค์ชายหกไม่ได้มาด้วยกันหรือ?” เสี่ยวเอ้อร์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก้มลงและยิ้ม “ขออภัยด้วยขอรับ ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจผิด วันนี้องค์ชายหกอยู่ที่โรงน้ำชาเกือบทั้งวันแล้ว จึงคิดว่าองค์ชายน่ามีนัดกับคุณหนูสาม แต่ดูเหมือนว่าจะเป็เื่บังเอิญเพียงเท่านั้น”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวเอ้อร์แล้ว มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปทางด้านขวาพลางคิดในใจว่าฉู่ลี่จะอยู่ที่นั่นหรือไม่?
“คุณหนู เราควรจะเข้าไปทักทายกันดีไหมเ้าคะ” จื่อเซียงถามจากด้านข้าง
มู่อวิ๋นจิ่นชำเลืองมองจื่อเซียง นางยกมุมปากขึ้นแล้วพูดกับเสี่ยวเอ้อร์ว่า “เอาน้ำชากับของว่างมาให้ข้าหน่อย”
“ขอรับคุณหนูสาม”
หลังจากที่เสี่ยวเอ้อร์เดินออกจากห้องไป จื่อเซียงก็มองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นอย่างสงสัย “เหตุใดคุณหนู ไม่ไปพบกับองค์ชายหกล่ะเ้าคะ”
“เ้าเป็บื้อใบ้ไปแล้วหรือ? เขาไม่ได้นัดพบข้าสักหน่อย แล้วข้าจะไปผสมโรงด้วยทำไม?” มู่อวิ๋นจิ่นมองเหตุการณ์ด้านหน้าด้วยสายตาที่ลุกวาวก่อนยิ้มมุมปากขึ้น “ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะกำลังโอบกอดสาวงามอยู่ในอ้อมแขน ข้าไม่อยากไปขัดจังหวะเขา”
“คุณหนูคิดอะไรลามกสัปดนขนาดนี้เล่าเ้าค่ะ” จื่อเซียงมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
มู่อวิ๋นจิ่นหัวเราะเสียงต่ำ “จื่อเซียงน้อย นี่เ้ากล้าต่อปากต่อคำกับข้า? ดูเหมือนว่าเ้าจะมีความกล้ามากขึ้นแล้วสินะ”
“คุณหนูเ้าคะ...”
หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวเอ้อร์ก็นำชาและของว่างเข้ามา
จื่อเซียงรีบหยิบกาขึ้นรินน้ำชาส่งให้มู่อวิ๋นจิ่น “คุณหนู ดื่มชาก่อนนะเ้าคะ!”
มู่อวิ๋นจิ่นหยิบถ้วยชาขึ้นพลางชำเลืองมองน้ำชาในถ้วย นางหยิบเข็มเงินออกมาจากถุงผ้าที่เอว แล้วหย่อนลงในน้ำชา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่มีอะไรผิดปกติ มู่อวิ๋นจิ่นก็รินชาอีกถ้วยให้ตัวเอง ก่อนเป่าเบา ๆ แล้วยกขึ้นจิบ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ จื่อเซียงก็เอามือกุมขมับ และมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นอย่างงงงวย “คุณหนูกังวลว่าชาถ้วยนี้จะมีพิษหรือเ้าคะ”
“การป้องกันเป็สิ่งที่ขาดไม่ได้ ยิ่งใกล้วันสำคัญเช่นนี้ความผิดพลาดก็มักจะเกิดขึ้นได้ง่าย” มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มด้วยั์ตาลึกซึ้ง นางไม่เชื่อว่ามู่หลิงจูและซูปี้ชิงจะยอมรับชะตากรรมเช่นนี้
ใน่สองสามวันนี้ นางต้องระมัดระวังให้ดี
หลังจากนั่งเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง ข้างนอกฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง ท้องฟ้าที่มืดครึ้มบางครั้งก็มีแสงกะพริบวาบก่อนจะมีเสียงฟ้าร้องตามมา
“ก๊อกๆ”
ประตูห้องถูกเคาะเบา ๆ
“ใคร?” มู่อวิ๋นจิ่นถามอย่างเ็า
“คุณหนูสามนี่ข้าเองขอรับ” เสียงของติงเสี่ยนดังขึ้นจากด้านนอก
เมื่อได้ยินเสียงของติงเสี่ยน มู่อวิ๋นจิ่นก็หรี่ตาลงก่อนจะเอ่ยปากถามติงเสี่ยนที่อยู่ด้านนอกว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“องค์ชายหกได้ยินว่าคุณหนูสามอยู่ในโรงน้ำชาด้วย จึงเชิญคุณหนูไปที่ห้องขอรับ” ติงเสี่ยนกล่าว
มู่อวิ๋นจิ่นพิงเก้าอี้และเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ข้าเหนื่อยและไม่อยากขยับตัว ถ้าองค์ชาย้าอะไร ก็ให้เขามาหาข้า"
“คุณหนู...” เมื่อได้ยินคำพูดของมู่อวิ๋นจิ่น จื่อเซียงก็ดึงแขนเสื้อของมู่อวิ๋นจิ่นในทันทีเพื่อบอกให้นางระวัง
ด้านนอก ติงเสี่ยนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ ว่า องค์ชายสาม องค์ชายแปด และคนอื่น ๆ กำลังรออยู่ห้องด้านข้าง พร้อมกับองค์หญิงห้าและองค์หญิงเก้าขอรับ”
มู่อวิ๋นจิ่นยิ่งลังเลที่จะไปเมื่อได้ยินว่ามีคนสำคัญอยู่ที่นั่นมากมาย จื่อเซียงสังเกตเห็นท่าทีของมู่อวิ๋นจิ่นและพูดอย่างกังวลว่า “คุณหนู ในวันนี้จะหักหน้าองค์ชายหกต่อหน้าองค์ชายและองค์หญิงมิได้นะเ้าคะ อย่าลืมว่าพวกท่านกำลังจะแต่งงานกันในเร็ววันนี้แล้วนะเ้าคะ”
“ข้าไม่เคยชนะเ้าได้เลยจริงๆ” มู่อวิ๋นจิ่นถอนหายใจเล็กน้อย และจิบชาก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตู
เมื่อประตูเปิดออกแล้ว ติงเสี่ยนอมยิ้มให้มู่อวิ๋นจิ่นและผายมือทำท่าเชื้อเชิญ “คุณหนูสาม เชิญด้านในขอรับ”
...
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นก้าวเข้าไปในห้องหมายเลขหนึ่ง บรรยากาศที่มีชีวิตชีวาภายในก็กลายเป็อึมครึม ทุกสายตาพลันจับจ้องไปทางมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นฉู่ลี่นั่งอยู่กลางห้อง ทั้งสองไม่ได้พบกันมานานกว่าครึ่งเดือน วันนี้ฉู่ลี่ยังคงมองมาที่นางด้วยใบหน้าปกติที่แสนจะเ็า และไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ เช่นเคย
ฉู่ลี่ส่งสายตามีเลศนัยมองมายังมู่อวิ๋นจิ่น ทำให้นางย้อนนึกถึงครั้งแรกที่ได้พานพบกับฉู่ลี่ที่วัดสุ่ยอวิ๋น ก็ถูกเขายิ้มเยาะอย่างดูแคลน
“พี่สะใภ้หก มานั่งตรงนี้” เมื่อฉู่ชิงหยวนเห็นมู่อวิ๋นจิ่น นางก็ยิ้มและโบกมือเรียกมู่อวิ๋นจิ่นให้นั่งตรงที่ว่างข้างๆ นาง
มู่อวิ๋นจิ่นกล่าวขอบคุณนางและเมื่อกำลังจะเดินไปหาฉูชิงหยวน ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างชัดเจน
“มู่อวิ๋นจิ่น มานี่สิ”
น้ำเสียงของฉู่ลี่ที่ฟังดูเ็าทุ้มลึก ทำให้มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกขนลุกเล็กน้อย ก่อนที่นางจะหันหน้ามองไปทางฉู่ลี่
หลังจากหยุดชั่วครู่ มู่อวิ๋นจิ่นเดินก็เดินไปหาฉูลี่ นั่งลงบนที่นั่งว่างข้าง ๆ เขา ก่อนจะคิดทบทวนอะไรบางอย่าง แล้วมองไปด้านข้างที่ฉู่ลี่ก่อนเอ่ยปากถาม “องค์ชายรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”
“ข้าได้ยินเสียงเ้าและเสี่ยวเอ้อร์” ฉู่ลี่พูดเรียบ ๆ โดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ
มู่อวิ๋นจิ่นใและหรี่ตาเล็กน้อย นางคุยกับเสี่ยวเอ้อร์เมื่อครู่ก็จริง ทว่าพวกนางนับว่าอยู่ใกล้จากห้องหมายเลขหนึ่งพอสมควรเชียว
เขาได้ยินเสียงงั้นหรือ?
มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกราวกับถูกผีเข้าอีกครั้ง นางยกมือขึ้นลูบขมับตัวเองและรู้สึกปวดตรงขมับเล็กน้อย
“พี่สาวห้า นี่เป็ครั้งแรกที่ท่านพบหน้าพี่สะใภ้หกใช่หรือไม่ เป็อย่างไรบ้าง นางงดงามจนน่าตกตะลึงสมคำร่ำลือหรือไม่?เป็เหมือนกับข่าวลือหรือเปล่า?” หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นนั่งลงแล้ว ฉู่ชิงหยวนก็หันหลังให้นางและมองไปที่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้ม
มู่อวิ๋นจิ่นสังเกตเห็นผู้หญิงนางหนึ่งมีบุคลิกที่งามสง่านั่งอยู่ข้างๆ ฉู่ชิงหยวน มู่อวิ๋นจิ่นจึงคิดกับตัวเองว่านี่คือองค์หญิงห้าเป็แน่
“งดงามอย่างมาก เพียงแต่ชิงหยวนเรียกว่าพี่สะใภ้หกคงเร็วเกินไปเสียหน่อย หากคนอื่นได้ยินเข้าจะหัวเราะเยาะเอาได้” องค์หญิงห้ายกน้ำชาขึ้นจิบพลางปรายตามองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นแวบเดียว ก่อนจะเสมองไปทางอื่น
มู่อวิ๋นจิ่นบังเอิญสบตาคู่งามนั้น เห็นเค้ารอยของความเป็ปรปักษ์ในดวงตาขององค์หญิงห้า
“พี่สาวห้า อีกไม่ถึงสิบวันก็จะถึงวันอภิเษกสมรสแล้ว ชิงหยวนเรียกพี่สะใภ้หกก็คงไม่ผิดอะไรกระมัง” ฉู่ชิงหยวนอมยิ้ม
เมื่อองค์หญิงห้าได้ยินคำพูดของฉู่ชิงหยวน นางก็หลุบตาลงก่อนจะมุ่นคิ้วด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย
“ฉู่ชิงเฉียง ในบรรดาพี่น้อง เ้าเป็คนที่ทำอะไรตามกฎตามระเบียบมากที่สุด” ฉู่ชิงยิ้มจางๆ ก่อนเหลือบมองฉู่ชิงเฉียงที่อยู่ตรงข้าม
ฉู่ชิงเฉียงหัวเราะเบา ๆ และมองไปที่ฉู่ชิง “พี่สาม ข้าย่อมทำตามกฎ ดังนั้นมันมีเหตุผลในตัวของมันเอง ”
“ครั้งนี้น้องหกแต่งงาน แต่มีใครบางคนฉวยโอกาสคนอื่นสวมรอย ข้าแค่รู้สึกไม่เป็ธรรมกับฉินมู่เยว่ก็เท่านั้น...”
ฉู่ชิงเฉียงพูดยังไม่ทันจบประโยค บรรยากาศพลันกลายเป็เงียบสงัดดูอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก นางจึงหยุดพูดไปโดยปริยายก่อนจะยกพัดในมือขึ้นโบกไปมาแทน
แต่มู่อวิ๋นจิ่นเข้าใจว่าดีฉู่ชิงเฉียงหมายถึงอะไร หมายความว่านางขโมยคนของฉินมู่เยว่แล้วไม่ใช่หรือ
“องค์หญิงห้ากำลังว่าหม่อมฉันเอาเปรียบผู้อื่นหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นพูดเบา ๆ สายตาของนางจับจ้องไปที่ฉู่ชิงเฉียง
ฉู่ชิงเฉียงยิ้มเย้ยหยันและตะคอกเบาๆ “เปิ่นกงจู่มิได้หมายความเจาะจงถึงใครเป็พิเศษ คุณหนูสามสกุลมู่อย่าได้ร้อนตัวไปสิ”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ร้อนตัว แต่อยากขอแก้ไขสิ่งที่องค์หญิงห้าพูดไว้เมื่อครู่เสียหน่อย”
มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ฉู่ลี่ข้างๆ ที่บัดนี้กำลังเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ ขมวดคิ้วอย่างเกียจคร้าน แต่แววตาของเขาดูลุกโชน เห็นได้ชัดว่าองค์ชายหกกำลังสนใจเื่ราวที่กำลังถูกพูดถึงอยู่ในขณะนี้ ราวกับว่า้าดูละครงิ้วโรงใหญ่เช่นนั้น
“เ้า้าแก้ไขคำพูดข้าตรงไหนกัน?” ฉู่ชิงเฉียงเค้นเสียงกล่าว
“ หากบอกว่าฉวยโอกาสคนอื่นละก็ องค์ชายหกต้องเห็นด้วยว่าตกลงหมั้นหมายกับคุณหนูฉินก่อนแล้ว นั่นถึงเรียกว่าฉวยโอกาส มิฉะนั้นก็เป็เพียงการรักเขาข้างเดียวกระมัง”
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นพูดจบลงก็ส่งสายตาโยนประเด็นนี้ให้ฉู่ลี่ “องค์ชายเห็นว่าอวิ๋นจิ่นฉวยโอกาสคนอื่น หรือว่าคุณหนูฉินแอบรักองค์ชายข้างเดียวกันแน่เพคะ?”