ต้นหญ้าสูงราวๆ ฝ่ามือ งอกเงยจนแน่นขนัด ยามนั่งลงไปแม้จะไม่ต้องกระแทกกับพื้นแข็งๆ แต่ก็ไม่สบายเท่าใดนัก ต้นหญ้านั้นแข็งแรงไม่เบา ยามนั่งลงไปจึงถูกยอดแหลมๆ ของมันทิ่มแทงก้นอยู่ตลอด
ราชครูพับชายชุดอยู่หลายทบก่อนจะนั่งลงบนพื้นหญ้า
ม้าสีนิลตัวโตยังคงยืนสะบัดหางไปมา เล็มหญ้าอยู่ด้านข้าง ด้านหลังของเขามีกระท่อมเก่าๆ ปลูกเรียงกันอยู่ ดูไปแล้วโดดเด่นนัก
ยอดหลังคาแหลมๆ ปูด้วยกระเบื้องเก่าๆ รอบผนังมีไม้เลื้อยสีเขียวเลื้อยเกาะจนเต็ม ดูแล้วราวกับเป็สวนลึกลับแห่งหนึ่ง
ข้างกระท่อมไม้มีแปลงผักเขียวขจี แปลงผักเล็กๆ เรียงต่อกันไปทั้งบริเวณ
ภาพตรงหน้าดูแล้วราวกับมีคนจรดพู่กันบรรจงวาดขึ้นมา
งดงามเหลือเกิน
ยามอยู่ที่นี่ กระทั่งสายลมก็ยังมีกลิ่นหอมหวาน
กลิ่นของวัชพืชป่าลอยมาตามลม
ราชครูนั่งลงบนพื้นหญ้า ให้สายลมอ่อนค่อยๆ พัดผ่านร่างตน แสงแดดรำไรอาบไล้ลงบนร่าง ชั่วขณะหนึ่งเขาก็พลันเคลิบเคลิ้มราวกับมึนเมา
เพียงได้นั่งเงียบๆ ปล่อยให้สายธารแห่งเวลาไหลไป มิต้องรับรู้สุขหรือทุกข์
เหล่ามดบนพื้นหญ้าจึงค่อยๆ พากันไต่ขึ้นไปบนร่างของชายชรา
แมลงตัวกระจ้อยร่อยที่บินว่อนจนอ่อนแรง ก็มาเกาะลงบนคิ้วของชายชรา
ใบหน้าของชายชราไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ กำลังเข้าสู่ห้วงสมาธิ ทันใดชายชราก็เกิดการตระหนักรู้
เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้งก็ค่อยๆ ปัดมดที่ไต่อยู่บนร่างออก แมลงที่เกาะอยู่บนหน้าก็พากันใจนแทบล้ม
การตระหนักรู้นั้นแม้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ แต่เขาราวกับได้ผ่านเข้าวัฏสงสารระลึกชาติก่อนๆ ของตนได้
เพียงพริบตาเดียวเขาก็ได้เห็นทุกภพทุกชาติของตน
บัดนี้เขาจึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงได้แตกต่างจากบรรพบุรุษของตนนัก
ที่กล่าวกันว่าต้องนั่งสมาธิบนเตียงหยกเพื่อจะได้รวมเป็หนึ่งกับฟ้าดินนั้น หากว่าอุปนิสัยไม่เหมาะสม ต่อให้นั่งไปทั้งชาติก็ไม่อาจเกิดการตระหนักรู้ได้
ทว่าหากอุปนิสัยเหมาะสม เตียงหยกก็ไม่จำเป็แต่อย่างใด เพียงแค่นั่งลงบนพื้นหญ้า การตระหนักรู้ก็ย่อมเกิดขึ้นได้เอง
ตำราที่เขาได้รับตกทอดมานั้นได้เขียนบรรยายถึงความสามารถต่างๆ ของบรรพบุรุษ เช่น การมีคุณธรรมดุจห้วงมหรรณพ การมองเห็นอดีตชาติหรือเพียงฝ่ามือเดียวก็สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตได้
ในใจลึกๆ เขาไม่เคยนึกเชื่อเื่เหล่านี้ คิดอยู่เสมอว่าเื่อดีตเช่นนี้ คนรุ่นก่อนอาจจะกล่าวเกินจริงก็เป็ได้
บัดนี้จึงเพิ่งค้นพบว่า เขายังไม่อาจเทียบชั้นกับบรรพบุรุษได้เพียงสักกระผีกเดียว ดังนั้นจึงได้ไม่เข้าใจเื่เหล่านี้
ในวันนี้ที่เวลาล่วงเลยมากว่าสามสิบปี เขาเพิ่งจะเริ่มััมันได้เพียงรางๆ เท่านั้น
เื่ในอดีตที่เคยคิดเล็กคิดน้อย และเคยมีโทสะเ่าั้ ยามนี้คิดย้อนกลับไปแล้วก็รู้สึกว่าน่าขันเหลือเกิน
เขานั้นผ่านทั้งความรุ่งโรจน์ ทั้งเคยหนีตาย ทั้งผ่านความเป็ความตาย และความระทมทุกข์ บัดนี้เขาจึงเพิ่งจะเกิดการตระหนักรู้ และได้ััแก่นแท้ของเต๋าในท้ายที่สุดระหว่างที่เขายังมีชีวิตอยู่
“ท่านอาจารย์ ตอนบ่ายพวกเรากินเนื้อแพะกันดีหรือไม่”
ราชครูที่อยากระบายความรู้สึกที่ท่วมท้นอยู่เต็มอกตนนั้นเมื่อหันไปมองเด็กหญิงตัวอ้วนกลมข้างกาย ก็เห็นว่าแขนทั้งสองของนางกำลังออกแรงมัดร่างแพะตัวหนึ่งไว้ในอ้อมกอด จากนั้นจึงฉุดกระชากกันไปมากับแพะเพื่อเดินมาหาเขา
เมื่อนางเดินมาได้เพียงครึ่งทาง เ้าแพะก็พยายามดิ้นอย่างสุดแรงเกิดจนเด็กหญิงพลอยล้มลง ทว่านางก็ยังไม่ยอมแพ้ รีบลุกขึ้นมากดเ้าแพะไว้ใต้ร่างตน
ราชครูมองเ้าเด็กปีศาจตะลุมบอนอยู่กับแพะครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงเห็นว่าเมื่อนางจัดการเ้าแพะที่ตัวใหญ่พอกับตนแล้ว นางก็ค่อยๆ ลากมันมาทางที่เขายืนอยู่
เ้าเด็กน้อยใบหน้าแดงระเรื่อพลันหอบแฮก จุกผมบนศีรษะก็ยุ่งเหยิงไปหมด ทั้งยังมีเศษหญ้ามากมายติดอยู่ ผ้าแถบรัดเอวก็บิดเบี้ยวไปด้านข้าง
ลูกแพะที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ยังคงนอนอยู่บนพื้น ปากอ้ากว้างลิ้นห้อยหอบแฮกเสียจนน่าเวทนายิ่งกว่าเฉินโย่ว
“ตอนบ่ายอย่าเพิ่งกินเนื้อแพะเลย รอพี่ชายเ้ากลับมาแล้วค่อยกินดีกว่า”
เฉินโย่วเมื่อได้ยินว่าบ่ายนี้จะไม่กินเนื้อแพะ ทั้งที่นางอุตส่าห์ลงแรงไปลากเ้าแพะนี่มาจากฝูง ก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา
ทว่าเมื่อได้ยินว่ารอให้พี่ชายกลับมาก่อนแล้วจึงค่อยกิน ก็พลันลิงโลดขึ้นมาอีกครั้ง
จากนั้นจึงเดินไปหยุดลงตรงหน้าท่านอาจารย์ตนอย่างว่าง่าย
“ผมเ้ายุ่งไปหมดแล้ว อาจารย์ช่วยมัดให้เ้าใหม่ดีกว่า”
เขามองเด็กหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน ใบหน้าเล็กปรากฏรอยยิ้มสว่างไสวราวกับแสงตะวัน
เมื่อก่อนเขาคิดว่าชีวิตนี้อยู่เพียงแต่ในวังนั้นก็ดีอยู่แล้ว ทว่ายามออกจากวังมาจึงได้รู้ว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่นัก ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนแต่ไม่ใช่บ้านของเขา ที่ใดก็ล้วนแต่ไม่ใช่ที่ของเขา ในใจมีแต่ความหวาดหวั่นราวกับสุนัขที่นายทอดทิ้ง
บัดนี้ในใจเขากลับรู้สึกสงบกว่าครั้งใด
ไม่มีวังหลวง ไม่มีองค์หญิง ไม่มีชะตาของแคว้น ไม่มีตระกูลจ้ง มีเพียงแค่เขาผู้เป็อาจารย์คนหนึ่ง
องค์หญิงอีกองค์ที่ถือกำเนิดในวันเดียวกันกลับมีเส้นผมยาวจรดบั้นเอวของพระองค์ ทั้งยังดูเรียบร้อยนัก และยังมีเครื่องประดับงามฝังอัญมณีล้ำค่าประดับอยู่
ทว่าเด็กหญิงตรงหน้าเขานี้กลับมีผมยาวเพียงแค่ติ่งหู ทั้งยังชี้ไปคนละทิศละทาง เพียงแต่อ่อนนุ่มนัก ยิ่งกว่านั้นก็ยังไม่มีเครื่องประดับใด มีเพียงเส้นเอ็นวัวสีแดงที่แสนเรียบง่ายเสียยิ่งกว่าเรียบง่ายมัดไว้เท่านั้น
ราชครูหยิบเชือกเส้นเล็กของตนออกมา มันเป็เชือกสีฟ้าอ่อนๆ
เฉินโย่วน้อยนั่งลงอย่างว่าง่าย จากนั้นราชครูก็ลงมือรวบผมให้นางอย่างเบามือ
ชายชราและเด็กหญิงยามอยู่ใต้แสงตะวัน ทำให้ภาพตรงหน้าดูงดงามราวกับภาพวาด
ยามที่ราชครูนำเชือกเส้นสีฟ้าอ่อนนั้นออกมา ใต้สระกระดูกที่อยู่ไกลไปนับลี้ก็พลันปั่นป่วนมีหมอกดำลอยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ จางหายไป
ชายชราหยิบเชือกเส้นบางขึ้นมามัดปมไว้ทั้งสองด้าน
จากนั้นก็รวบผมของเด็กหญิงขึ้นมาจุกหนึ่ง แล้วจึงใช้เชือกสีฟ้าพันไว้แล้วมัดให้เรียบร้อย
“สิ่งนี้อาจารย์มอบให้เ้าเป็ของขวัญพบหน้า ก่อนหน้านี้อาจารย์ยังไม่ได้มอบให้เ้า วันนี้ก็ถือว่าชดเชยให้เ้าก็แล้วกัน” ชายชราเอ่ยปากขึ้น
“ขอบคุณท่านอาจารย์เ้าค่ะ” เฉินโย่วตอบไป ในใจก็คิดว่าท่านอาจารย์ของตนช่างตระหนี่เสียจริง เพียงแค่เชือกเส้นหนึ่งยังกล้ากล่าวว่าเป็ของขวัญพบหน้า
ขนาดนางนั้นยังซื้อหนังสือน่าอ่านให้เขาตั้งเล่มหนึ่ง
ราชครูมองตาเด็กหญิงก็รู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ ทว่าก็ไม่ได้นึกโกรธเคือง ทั้งไม่ได้บอกให้นางรักษามันไว้ให้ดี ห้ามทำหายเด็ดขาด
เ้าเด็กปีศาจคือองค์หญิงใหญ่ ไม่ว่ามอบสิ่งใดให้นาง นางก็ล้วนคู่ควร
เชือกเส้นนี้คือสิ่งที่บรรพบุรุษตระกูลจ้งส่งต่อให้ลูกหลาน นับว่าล้ำค่านัก
แรกเริ่มเล่ากันว่าตระกูลจ้งสามารถทำนายโชคดีและโชคร้ายได้จากการผูกเชือก เมื่อมาถึงในรุ่นเขา ความสามารถเช่นนั้นก็ไม่เหลือแล้ว ทว่าเชือกเส้นนี้ก็คือเชือกเส้นที่เล่ากันว่าบรรพบุรุษตระกูลจ้งใช้ในการทำนาย ไม่รู้ว่ามันทำจากวัสดุอะไร เหตุใดจึงไม่เคยเปื่อยขาดไป ทั้งยังมีสีฟ้าอ่อนๆ
เฉินโย่วยกมือน้อยๆ ขึ้นมาลูบศีรษะตนเอง ท่านอาจารย์มัดผมให้นางแน่นไปสักหน่อย นางจึงดึงผม ให้เชือกนั้นคลายออกนิดหน่อย
ทันใดนางก็พลันรู้สึกสว่างวาบ
เพียงชั่วพริบตาต่อมาก็รู้สึกว่าความแสบร้อนที่ทรมานร่างกายอยู่เสมอนั้นพลันเบาบางลง
ดวงตาของนางพลันเป็ประกายขึ้นทันใด
ปกติแม้นางจะกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ แต่นางก็ต้องดื่มน้ำแทบจะตลอดเวลา นั่นก็เป็เพราะสาเหตุนี้เช่นกัน
หากนางหยุดนิ่ง ความรู้สึกหนาวเย็นก็จะเข้าจู่โจมทั้งสรรพางค์กาย ทั้งมันยังติดตามนางไปในทุกๆ ที่และทุกขณะจนทำให้นางทุกข์ทรมานเกินจะทน
ทว่านางก็ไม่เคยกล่าวเื่นี้ให้ใครฟัง ยังดีที่ตอนนี้มีเณรน้อยสือชีที่รู้ความลับนี้อีกคน
ตอนนี้นางจึงรู้สึกสบายขึ้นมาก
“ที่แท้ท่านอาจารย์ก็อยู่ที่นี่เอง” น้ำเสียงนุ่มนวลของสตรีดังขึ้น
แม่นางหลัวในชุดสบายสำหรับขี่ม้า เดินมาหยุดลงตรงหน้าชายชราพร้อมรอยยิ้ม
ใต้แสงตะวันเจิดจ้า สตรีในชุดผูกเอวสวมรองเท้าหุ้มข้อสูง ทำให้ร่างอรชรของนางทะมัดทะแมงขึ้นไม่เบา ทว่าก็ยังดูงดงามอยู่เช่นเดิม
“น้าหลัว ท่านดูสิ ท่านอาจารย์มอบของขวัญให้ข้าด้วย” เฉินโย่วเมื่อเห็นว่าน้าหลัวของตนมาก็รีบวิ่งไปอวดเชือกบนศีรษะของนาง
แม่นางหลัวมองเชือกบนศีรษะของเด็กหญิง สีฟ้าอ่อนๆ ดูแล้วงดงามนัก ทว่านางก็ดูไม่ออกว่ามันมีอันใดพิเศษ ทว่าสิ่งของจากราชครูย่อมไม่ใช่ของสามัญอย่างแน่นอน
นางลอบมองราชครูก็พบว่าวันนี้ชายชราดูแปลกไป วันนี้กลับดูจริงจังขึ้นไม่น้อย ถึงกับยอมมอบของให้เด็กหญิง
“ท่านอาจารย์มอบของให้เ้าแล้ว เ้าจะต้องรักษาให้ดี ห้ามทำหายเด็ดขาด” แม่นางหลัวกำชับเด็กหญิงประโยคหนึ่ง
เฉินโย่วเมื่อได้ยินก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย
เ้าแพะที่แสนจะน่าเวทนาตัวเมื่อครู่ที่เพิ่งจะโดนจับมาหมาดๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจตนก็ค่อยๆ ย่องหนี เมื่อสลัดคนทั้งหมดหลุดแล้วก็วิ่งหนีไปทันที
เฉินโย่วเมื่อหันกลับมาแล้วเห็นว่าแพะของตนหายไปก็รีบบึ่งไปทางฝูงแพะ เตรียมจับแพะอ้วนๆ กลับมารอพี่ชายให้มากินพร้อมกันในตอนเย็น
แม่นางหลัวที่ยืนอยู่ข้างราชครูเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงกำลังวิ่งตามฝูงแพะ ใบหน้างามก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
ราชครูมองตามเงาแผ่นหลังน้อยๆ ของเ้าเด็กปีศาจ
พื้นดินบนทุ่งหญ้านั้นไม่ได้ราบเรียบนัก บางจุดก็สูงต่ำไม่เท่ากัน ดังนั้นเงาของเด็กหญิงที่วิ่งอยู่นั้นจึงดูไม่มั่นคง เมื่อวิ่งๆ ไปก็ทำท่าจะล้มลงตั้งหลายครา ทว่าสุดท้ายเงาน้อยๆ ก็หายลับเข้าไปในฝูงแพะจนได้
“อาโย่วเติบใหญ่แล้วจะต้องเป็แม่นางที่งดงามอย่างแน่นอน” แม่นางหลัวเอ่ยขึ้น
ราชครูพยักหน้าเห็นด้วยกับนางเบาๆ
ชายชราหันไปมองสตรีข้างกายตน แม้เมื่อครู่เขาเพิ่งจะััแก่นแท้อันไร้ขอบเขตของเต๋า จนทั้งความคิดและจิตใจกว้างไกลดุจห้วงมหรรณพ ทว่าใบหน้าของแม่นางหลัวที่ยืนอยู่ข้างตนนั้นก็ทำให้ใจเขารู้สึกไม่สงบเท่าใดนัก
แก้มอมชมพูของนางกับขายาวเอวกิ่วคอดผิวขาวนวล ทั้งยังผมดกคิ้วหนาขนตางอน ยามลมพัดเอื่อยๆ ไล้ผ่านใบหน้านาง นางก็หันมามองเขาด้วยใบหน้าอมยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวที่เรียงกันเป็ระเบียบ ทั้งหมดเมื่อรวมกันก็ทำให้นางดูมีเสน่ห์อย่างยิ่ง
ชายชราคิดถึงผู้คนบนูเาลูกนี้ คงจะมีเพียงแม่นางหลัวที่เชื่อใจเขานัก ทั้งยังทำให้เขารู้สึกสนิทสนมอย่างน่าประหลาด
ราชครูรีบขยับตัวห่างจากสตรีข้างกายอีกหลายก้าว
แม้จะกล่าวว่าบัณฑิตนั้นสามารถมีสตรีรู้ใจได้หลายคน ทว่าเขาไม่ชมชอบเื่พวกนี้ และไม่อยากครุ่นคิดเื่พวกนี้ด้วย
ยิ่งกว่านั้นแม่นางหลัวยังเป็นางในดวงใจของนายท่านสาม
ไม่คาดคิดว่าเขานั้นอุตส่าห์ขยับตัวออกห่างมาเสียหลายก้าว แม่นางหลัวก็ขยับตามเขามาเช่นกัน ในอากาศพลันอวลไปด้วยกลิ่นหอมที่มิใช่เพียงแค่กลิ่นหอมจากหญ้าสดๆ เท่านั้น แต่ยังมีกลิ่นหอมสดชื่นจากสตรี
ราชครูรู้สึกกระอักกระอ่วนจนทั้งร่างพลันแข็งค้าง
ในใจคิดว่าหากแม่นางหลัวเกิดสารภาพรักกับตนขึ้นมา เขาก็จะปฏิเสธอย่างแน่นอน ต่อให้นางนั้นจะเป็ท่านน้าของเ้าเด็กปีศาจก็ตาม
ราชครูกำมือแน่น เมื่อครู่เขาเพิ่งได้ััแก่นของเต๋า ตัดสินใจแล้วว่าจะอุทิศตัวให้กับเส้นทางสายนี้
จากนั้นจึงได้ยินเสียงหวานของแม่นางหลัวดังขึ้น “ปีนี้แพะและแกะบนเขามีมากมายนัก ขนของมันจึงเยอะตามไปด้วย ได้ยินว่าในเมืองหลวงนิยมสวมอาภรณ์บางๆ กัน ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์พอจะมีความเห็นเื่การใช้ขนแกะมาทำเสื้อผ้าเนื้อบางเช่นนั้นหรือไม่”
ราชครู “...”
์ช่างวิปริตแปรปรวน นางมิใช่จะสารภาพรัก แต่กลับมาขอคำแนะนำด้านการทอผ้า ทอผ้ากับผีสางอันใดเล่า เขาเป็ถึงราชครูจะทอผ้าไปทำไมกัน