Chapter 31
โจไซอาลุกจากเตียงนอนสี่เสา เดินมาสำรวจตนเองที่กระจกอย่างเช่นที่ทำเสมอ แต่เช้าวันนี้ทุกสิ่งกลับดูแตกต่างออกไป เทพมองร่างกายของตัวเองในกระจกเงาเต็มตัว ใบหน้าของเขายังซูบผอม แขนขาแทบเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกเอาไว้ แต่แรงขยับจากภายในอกกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลง
มือผ่ายผอมวางทาบที่แผ่นอกด้วยความสงสัยใคร่รู้ ยืนนิ่งรอคอยอยู่นานเป็นาที กระทั่งหัวใจของเทพขยับเพียงแค่หนึ่งครั้ง พร้อมกับความเ็ปที่จางหายไป ไร้อาการบีบแน่นหดเกร็งของหัวใจเทพ ไร้ความทรมานแผ่ซ่านตามร่างกายั้แ่หัวจรดปลายเท้า
โจไซอาเงยหน้ามองกลุ่มหมอกแห่งอารมณ์ที่ลอยเหนือศีรษะในห้องนอนของตนเอง หมอกเ่าั้เป็สีเทาอ่อนลอยอยู่สูงกว่าทุกวัน สงบนิ่งเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยราวกับมีสายลมเอื่อยเฉื่อยในห้องนอน เรียวคิ้วจึงขมวดเข้าหากัน เอียงคอมองร่างกายของตนเองในกระจกอีกครั้ง แตะฝ่ามือที่ข้างแก้มตอบ
“ใกล้ครบร้อยปีแล้วเหรอ”
่เวลาที่โจไซอาเฝ้ารอตลอดการเป็โรครักระทม คือการคิดถึงชายผู้เป็ที่รักอยู่เสมอกระทั่งครบหนึ่งร้อยปีและปล่อยให้ร่างกายสลายหายไปตลอดกาล สัญญาณเตือนของเช้าวันนี้บอกโจไซอาว่าใกล้ถึงเวลานั้นแล้ว แต่เขากลับอธิบายไม่ได้ว่ารู้สึกดีใจหรือเสียใจ เพราะชายผู้เป็ที่รักได้เกิดใหม่เป็ซาตาน แม้จดจำเขาไม่ได้ก็ตาม
เสียงเคาะประตูฉุดรั้งโจไซอาออกจากห้วงความคิด ร่างผอมบางละสายตาจากกระจก หันมองบานประตูที่เปิดออกช้า ๆ โดยแม่ผู้ให้กำเนิด เธอยกยิ้มงดงามใจดี
“โจลูกรัก”
“ท่านแม่”
“มีแขกมาหาลูกจ้ะ”
โจไซอาขมวดคิ้วสงสัย ขณะที่ผู้เป็แม่เข้ามาประคองลูกหัวแก้วหัวแหวนโดยที่เธอไม่รู้ว่าโจไซอาแข็งแรงขึ้น และไม่ต้องมีใครพยุงยามก้าวเดิน
คำตอบของความสงสัยยืนคอยโจไซอาอยู่ที่ห้องโถงของบ้าน แซ็กคารีเดินทางมาหาโจไซอาถึงบ้านในเมืองเทพด้วยร่างของมนุษย์ อีกฝ่ายคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น ก้มหน้าทำความเคารพนอบน้อมเช่นเคย จึงต้องรีบเอ่ยให้ลุกขึ้นยืน
“แซ็กคารี มีอะไรเหรอ”
ซาตานหนุ่มผมสีขาวซีดไม่ตอบคำถาม แสดงท่าทีอ้ำอึ้งพลางเหลือบมองเทพแห่งความรักที่ยืนอยู่ในห้องโถง สื่อความหมายบางอย่างที่ทำให้เธอเข้าใจว่าควรปล่อยให้ทั้งคู่คุยกันเพียงลำพัง
“ฝากด้วยนะ” เธอปล่อยแขนของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน แตะท่อนแขนของซาตานแ่เบาเพื่อฝากฝังและเดินออกจากห้องโถง
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะมาหาถึงที่นี่”
โจไซอาไม่ได้เจอแซ็กคารีหลายวันั้แ่เหตุการณ์ที่โรงแรม เขาทั้งทุกข์ทรมานและเ็ปที่อีกฝ่ายเดินหันหลังออกไปโดยไม่กลับมา เหล่าภูตบริวารตามหาแซ็กคารีไม่พบ โจไซอาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหนและไม่ได้อธิบาย
วันนี้แซ็กคารีเป็ฝ่ายเดินทางมาหาเทพโจไซอาเองด้วยใบหน้าอัดแน่นหลายความรู้สึกเต็มไปหมดอย่างซับซ้อน และอ่านความคิดจากแววตาไม่ได้เลย
“ผมมีที่หนึ่งที่ต้องไป และอยากให้ท่านไปด้วยครับ”
แน่นอนว่าโจไซอาตอบตกลงอย่างไม่ลังเล เทพเปลี่ยนชุดเป็เสื้อผ้าที่อุ่นพอสำหรับฤดูหนาวในโลกมนุษย์ และเดินทางผ่านประตูเชื่อมสองโลกที่กลางเมืองเทพ เขาสงสัยว่าเหตุใดแซ็กคารีจึงไม่ยอมอยู่ในร่างซาตานและใช้ประตูเชื่อมของซาตาน แต่เมื่ออีกฝ่ายยื่นแขนให้เขาจับประคองระหว่างเดินในเมืองเทพ เขาจึงเดินเคียงข้างแซ็กคารีต่อไปโดยไม่เอ่ยถาม
“เธอไม่โกรธฉันเหรอ”
แซ็กคารีเข้าใจผิดและยังไม่ได้รับคำอธิบายจากเขา โจไซอายังคงกังวลเื่นี้อยู่ แต่แซ็กคารีไม่ตอบ เขาหันมองใบหน้าเทพ แล้วยกมือวางทาบทับมือผ่ายผอมบนท่อนแขนตนเองเพื่อกระชับให้แน่นมากยิ่งขึ้น ความอบอุ่นจากซาตานจึงแผ่ซ่านไปทั่วกายของเทพ ครั้งนี้แซ็กคารีจับมือโจไซอาแน่นกว่าครั้งไหน ๆ
ทั้งสองเดินผ่านประตูเชื่อม ปรากฏกายที่โลกมนุษย์เวลากลางดึก ทั่วทุกแห่งนอกกำแพงสูงจึงเป็สีน้ำเงินเข้มมีแสงจันทร์สาดส่องให้ความสว่างเป็อย่างเดียว มองออกไปไกลลิบมีแสงสีส้มจากกำแพงสูงเป็แนวยาว
แซ็กคารีรีบพาเทพไปที่รถ เปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้โจไซอานั่ง แล้วตนเองเดินอ้อมมาประจำที่หลังพวงมาลัย ผ้าห่มผืนเดิมวางคลุมร่างของเทพด้วยฝีมือของซาตาน แซ็กคารีดูแลโจไซอาอย่างดี จนเทพจ้องมองแซ็กคารีด้วยรอยยิ้มบางของความดีใจ เก็บงำความลับที่เขาไม่รู้สึกหนาวเย็นเอาไว้กับตัว
รถยนต์ขับเคลื่อนตามถนนที่ข้างทางยังคงมีหิมะ ไฟหน้ารถส่องสว่างตามเส้นทางที่แซ็กคารีมุ่งหน้าไปอย่างไม่ลังเล โจไซอานั่งเงียบมองเส้นทางสลับกับแอบมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มแล้วอมยิ้มอยู่คนเดียว เพียงไม่นานรถยนต์จอดนิ่งที่หน้าประตูเหล็กของสุสานแห่งหนึ่ง และแซ็กคารีกำลังหันมา โจไซอาจึงแกล้งว่าหลับสนิท
มืออุ่นลูบเส้นผมสีทองหม่นแ่เบา ปัดมันออกจากใบหน้าแล้วจับทัดข้างใบหูโดยไม่รู้ว่าเทพกำลังตื่น เมื่อแซ็กคารีลงจากรถเพื่ออ้อมมาเปิดประตูให้ โจไซอาจึงใช้่เวลานั้นในการแอบยิ้มกับการกระทำแสนน่ารัก
“ถึงแล้วครับ” โจไซอาแสร้งทำเป็เพิ่งตื่นนอน ทำดวงตาให้ดูสะลึมสะลือแล้วจับมือของแซ็กคารีที่ส่งมาให้ เพื่อพยุงตัวลงจากรถ
สุสานขนาดใหญ่แห่งนี้เป็ที่ฝังศพของผู้คนนับร้อย โจไซอาเคยมาที่นี่ จึงพอรู้เหตุผลที่แซ็กคารีเดินทางมาพร้อมกับเอ่ยว่าอยากให้เขามาด้วย
ซาตานและเทพเดินควงแขนใกล้ชิด เหยียบพื้นหิมะตื้น ๆ ตามทางเดินของสุสาน เกิดรอยเท้าของทั้งคู่เดินเคียงข้างกันไปตลอดทาง ทั้งสองหยุดยืนนิ่งพร้อมกันเมื่อมาถึงหลุมศพป้ายหินที่ถูกหิมะปกปิดเอาไว้จนดูเหมือนปุยนุ่น
แซ็กคารีจับมือของโจไซอาออกจากท่อนแขนตนเองด้วยความสุภาพ เพื่อย่อตัวลงและปัดหิมะสีขาวออกจากป้ายชื่อหลุมศพ ตัวอักษรที่สลักอยู่บนนั้นค่อย ๆ ปรากฏทีละตัว เรียงร้อยกันเป็ชื่อของคุณยายลิลลี่ แม่นมของเอเดน กริฟฟิน
ซาตานลุกขึ้นยืนและปัดหิมะออกจากป้ายหลุมศพที่อยู่ข้างกัน และหลุมศพถัดไป ทั้งของคุณตาชาร์ลี คุณตาวอร์คเกอร์ คุณยายเคเรน และคุณยายเอ็มม่า หลุมศพของทุกคนที่บ้านพักคนชราคามิเลียอยู่เคียงข้างกัน โจไซอาจึงไม่แปลกใจที่แซ็กคารีมาสุสานแห่งนี้
เทพบันดาลดอกคามิเลียสีขาวขึ้นมาห้าดอก ค่อย ๆ วางแต่ละดอกที่แผ่นหินป้ายชื่อหลุมศพของทุกคนด้วยความเคารพและคิดถึง โจไซอายืนนิ่งที่หน้าหลุมศพของคุณยายลิลลี่อยู่นาน เพราะผูกพันกับเธอที่สุด และได้อยู่กับเธอจนถึงวินาทีสุดท้ายในชีวิต
“ขอบคุณครับ” เสียงทุ้มเอ่ยแ่เบา เมื่อโจไซอาย่อตัวลงวางดอกคามิเลียหน้าหลุมศพของผู้หญิงที่อีกฝ่ายรักมากที่สุด
ทั้งสองยืนขึ้นอีกครั้ง จ้องมองหลุมศพของพวกเขาในความเงียบ แซ็กคารีขยับตัวเข้ามาแนบชิด จับมือผ่ายผอมของโจไซอามาคล้องแขนตนเองเอาไว้โดยไม่พูดอะไร ทั้งคู่ต่างไว้อาลัยให้พวกเขา
“ทำไมพวกเขาถึงได้มาอยู่ด้วยกันที่นี่เหรอครับ” แซ็กคารีถาม
“สุสานที่อื่นมีคำสั่งให้รื้อทิ้ง ฉันเลยย้ายทุกคนมาไว้ที่นี่ด้วยกัน คุณยายลิลลี่ก็ขออยู่กับพวกเขาด้วย เธอขอฉันไว้ก่อนเป็อัลไซเมอร์”
แซ็กคารีเพียงแค่มองใบหน้าของโจไซอานิ่ง ยามนี้เทพอ่านความคิดของอีกฝ่ายได้แล้วว่ากำลังรู้สึกขอบคุณ
“แซ็ก”
“ครับ”
“ลองดูที่หลุมศพข้าง ๆ คุณยายลิลลี่หรือยัง”
แซ็กคารีมองป้ายที่ยังคงปกคลุมด้วยหิมะ เขาย่อตัวลงอีกครั้ง ใช้มือปัดหิมะสีขาวออก และเห็นตัวอักษรที่สลักเป็ชื่อเอเดน กริฟฟินอย่างเรียบง่ายไม่ต่างจากป้ายของคุณตาคุณยายที่บ้านคามิเลีย แซ็กคารีมองป้ายหลุมศพชื่อของตนเองอยู่สักพัก พลางคิดถึงหลุมศพที่สุสานตระกูลกริฟฟิน ซึ่งเป็แผ่นหินอ่อนขนาดใหญ่ และมีตราสัญลักษณ์ประจำตระกูล
“ผมก็อยู่ที่นี่เหรอครับ”
“เปล่าหรอก มันเป็แค่ป้ายชื่อ” โจไซอาเอ่ยพลางบันดาลดอกกุหลาบสีแดงเข้มหนึ่งดอก “หลุมศพที่สุสานกริฟฟินดูหดหู่ และฉันคิดว่าเธอคงไม่ชอบ เลยสร้างให้อยู่ข้าง ๆ พวกเขา”
โจไซอานั่งลงข้างแซ็กคารี วางดอกกุหลาบสีแดงหน้าหลุมศพชื่อเอเดน กริฟฟิน แล้วจ้องมองตัวอักษรที่สลักอยู่บนแผ่นหินด้วยความคิดถึงเื่ราวในอดีต
หลังจากพบแซ็กคารีหลายครั้ง โจไซอาได้ตกตะกอนความคิดละทิ้งความดื้อรั้นของตนเองลง และคิดว่าไม่อยากให้แซ็กคารีเดินทางไปขอความทรงจำคืนที่เกาะลึกลับอีกแล้ว เพราะที่นั่นอันตรายเกินไปสำหรับซาตาน
โจไซอาอยากให้แซ็กคารีมีอายุยืนยาว ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระไปนาน ๆ หากมีเื่ราวใดที่อยากรู้ โจไซอายินดีเป็ฝ่ายเล่าให้ฟังทุกอย่าง และขอเก็บเกี่ยวความสุขจากแซ็กคารีก่อนร่างของเทพจะสลายเมื่อครบร้อยปี
หารู้ไม่ว่าความทรงจำทั้งหมดได้กลับคืนสู่เ้าของแล้ว
“เอเดนเคยบอกฉันว่าชอบสีแดงเข้ม”
แซ็กคารีละสายตาจากดอกกุหลาบหน้าหลุมศพเพื่อมองเทพข้างกาย ไล่สำรวจใบหน้าซูบผอมด้วยความรู้สึกผิดเต็มอก และจดจำคำพูดของตนเองที่เคยบอกอีกฝ่ายได้ทุกคำ
“เทพชอบหลงลืม แต่ทำไมท่านถึงจำได้เหรอครับ”
ตอนนี้โจไซอาอายุมากกว่าสองร้อยปี มีความทรงจำมากมายกว่าหลายล้านเื่จึงมักหลงลืมหลายเหตุการณ์อยู่บ่อย ๆ แต่เท่าที่แซ็กคารีรู้ โจไซอาเล่าหลายอย่างให้เขาฟังราวจดจำได้ทุกรายละเอียด
“ฉันจำทุกเื่เกี่ยวกับเอเดนได้”
โจไซอาหันมายิ้มให้พร้อมพูดอย่างภาคภูมิใจ ใบหน้าของเทพจึงงดงามสดใสขึ้น การพูดอวดช่างน่าเอ็นดูในสายตาแซ็กคารีจนเขาหลุดยิ้มตาม
“ขึ้นรถนะครับ เดี๋ยวจะหนาว”
“อืม”
ครั้งนี้มืออุ่นโอบเอวของโจไซอาให้ลุกขึ้นยืน และเดินเคียงข้างกันไปอย่างนั้น โจไซอาจึงยิ่งไม่กล้าเอ่ยความจริง และตักตวงความสุขกับความอบอุ่นจากอีกฝ่ายต่อไป
“เธอตอนนี้ชอบสีอะไรเหรอแซ็ก” ทั้งคู่สร้างรอยเท้าขึ้นใหม่ที่ทางเดินสุสาน โจไซอาเอ่ยถามเสียงหวานอารมณ์ดี แซ็กคารีลากเสียงในลำคอขณะคิดคำตอบที่เขาไม่ค่อยสนใจข้อนี้ของตนเองมากนัก
“สีน้ำเงินเข้มครับ”
“เหมาะกับเธอดีนะ”
“แล้วสีแดงล่ะครับ”
“เหมาะกับเอเดนไง” แซ็กคารีมองคนในอ้อมแขนที่ก้มหน้ามองเท้าสองคู่ย่ำพื้นหิมะ
“ท่านคิดว่าผมกับเอเดนไม่เหมือนกันเหรอครับ” โจไซอาส่ายหน้า
“เหมือนกันสิ แต่เธอดูโตขึ้นเหมือนใช้ชีวิตมามากขึ้นเลยเหมาะกับสีน้ำเงินเข้ม ดูสงบและสุขุม แต่พอเห็นทะเลก็กลายเป็เด็กตัวโตไม่ต่างกัน”
แซ็กคารีส่งโจไซอานั่งลงบนเบาะข้างคนขับพลางฟังเสียงหวานใสอธิบายให้เขาฟัง ซาตานเดินอ้อมมานั่งที่หลังพวงมาลัย มีรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้าของเขาตลอดเวลาที่ห่มผ้าให้โจไซอา
“ยิ้มอะไร” เทพขมวดคิ้วสงสัยเพราะรู้ว่าซาตานตนนี้ยิ้มยากเย็น
“มีความสุขครับ” แซ็กคารีตอบตรงไปตรงมาตามความรู้สึกด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้นกว่าเดิม มันไม่ได้ช่วยขยายความให้โจไซอาเพิ่มขึ้น แต่เทพไม่ถามอะไรต่อ แล้วนั่งมองใบหน้าด้านข้างของแซ็กคารีโดยไม่ปิดบังอีก
รถยนต์ขับเคลื่อนบนถนนต่อไปในความมืดของกลางดึกฤดูหนาว แซ็กคารีส่งมือมาจับมือผ่ายผอมของโจไซอาเอาไว้โดยที่เทพไม่ต้องเอ่ยขอ เขาขับรถด้วยมือข้างเดียวอย่างคล่องแคล่วแม้รอบนอกไม่มีแสงสว่างใดเลยนอกจากไฟหน้ารถก็ตาม
แซ็กคารีเหยียบคันเร่งเมื่อต้องขับขึ้นูเา ไต่ถนนลาดไปเรื่อย ๆ พร้อมกับเวลาที่เดินทางมาจนใกล้รุ่งสางจึงเหยียบคันเร่งให้ไปถึงที่หมายทันเวลา โจไซอานั่งนิ่งไม่เอ่ยถามว่าจุดหมายปลายทางคือที่ไหน เขามองข้างทางพร้อมกับคาดเดาความคิดแซ็กคารีไปด้วย
รถจอดนิ่งที่ไหล่ทาง ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี พระจันทร์เต็มดวงหลีกหาย โจไซอาจำสถานที่แห่งนี้ได้เมื่อลงจากรถเดินตามแซ็กคารีมา เขายกยิ้มกว้างทันทียามนึกออก เพราะที่นี่มีความทรงจำของเขากับเอเดนอยู่ เมื่อ 99 ปีก่อนเอเดน กริฟฟินเคยขับรถนำทางเขามาที่นี่
“นั่งรอในรถไหมครับ ผมกลัวท่านจะหนาว” โจไซอาส่ายหน้ารัว ยืนยันหนักแน่นว่าจะยืนอยู่ตรงนี้
“เอเดนเคยพาฉันมาที่นี่ด้วยนะ” เทพร่างผอมนั่งลงบนฝากระโปรงรถ ซาตานเดินมานั่งข้างกัน ตั้งใจฟังเื่เล่าจากเขา
“ฉันกับเธอขับรถไล่ตามกันมา เธอชอบความเร็วมาก ฉันก็ชอบเหมือนกันเลยสะสมรถแข่งไว้ตั้งหลายคัน”
“ตอนนี้หายไปไหนแล้วเหรอครับ”
“ท่านพ่อสั่งให้เอาไปขายหมดแล้ว เพราะฉันจอดทิ้งไว้ไม่ได้ทำอะไรเลย” โจไซอาทำหน้าบึ้งนึกเสียดายรถสปอร์ตหรู รถแข่ง และรถทุกคันทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ที่เคยจอดอยู่ในโรงรถใต้ดิน
หลายตึกที่พ่อของโจไซอาเป็เ้าของอย่างลับ ๆ โดยใช้ชื่อปลอมเริ่มเป็ที่สงสัยในสายตามนุษย์ เทพแห่งความผูกพันจึงต้องมอบให้มนุษย์แท้จริงเป็เ้าของ ตึกสูงในเมืองหลวงและโรงจอดรถใต้ดินที่อัดแน่นด้วยรถราคาแพงของโจไซอาเป็หนึ่งในนั้น เหลือเพียงไม่กี่ที่ที่เทพเก็บเอาไว้และคงสภาพเดิมแม้มนุษย์ย้ายเข้าไปอยู่ในกำแพงสูง
ตลอดการเป็โรครักระทม โจไซอาใช้เ้ากริฟฟินที่พ่อมอบให้ในการเดินทางแทน ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเมื่อนึกถึงมัน
“จริงสิ แซ็ก เธอเคยเห็นกริฟฟินหรือยัง”
“ยังครับ”
“ฉันนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ทันบอกเอเดนเลยว่ากริฟฟินมีอยู่จริงในโลกุ์ ท่านพ่อเลี้ยงไว้เต็มเลย ยกให้ฉันตัวหนึ่งด้วย มันฉลาดมากเลยนะ”
ซาตานเก็บซ่อนความเศร้าโศกที่สอดแทรกเข้ามาในความรู้สึก เมื่อเขารู้ว่าที่ผ่านมาโจไซอาคิดถึงเขาอยู่เสมอ ไม่ว่าเื่ใหญ่ หรือเื่เล็กน้อยที่ทำให้นึกถึง
“ผมอยากเห็นครับ”
“ไปที่บ้านฉันในเมืองเทพอีกสิ ฉันจะพาไปเจอ”
“แต่พวกกริฟฟินไม่ค่อยชอบซาตานนะครับ”
“ทำไมล่ะ” โจไซอาขมวดคิ้ว น้ำเสียงดูผิดหวัง
“มีปีกเหมือนกันน่ะครับ”
“เธอก็ไปในร่างนี้สิ อย่าไปในร่างซาตาน” แซ็กคารีชะงักเมื่อนึกถึงร่างซาตานของตนเอง และรีบพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มกลบเกลื่อนความลับ
“แล้วเธออยากไปที่ไหนอีก”
“ผมเหรอครับ” ซาตานหนุ่มชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“ใช่ หรือว่าอยากทำอะไรไหม”
“ผมอยากพาครอบครัวของหนูแมรี่ย้ายไปอยู่ที่ที่ดีกว่านี้ครับ ถ้าไหวก็จะพาชุมชนแถวนั้นย้ายไปด้วยกัน” โจไซอาจ้องใบหน้าของแซ็กคารี วางมือเย็นของเทพทาบทับมืออบอุ่นของซาตาน
“ฉันช่วยเธอได้นะ”
“ขอบคุณครับ” แซ็กคารียกยิ้ม พลิกฝ่ามือจนมือสองข้างสอดประสานห้านิ้วเข้าหากัน
ซาตานขยับตัวนั่งชิดโจไซอามากขึ้น วางมืออีกข้างทับหลังมือโจไซอาเอาไว้ให้อุ่น แล้วมองท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ตรงหน้า ม่านหมอกสีเทายังฟุ้งกระจายจนมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ และสายตาของโจไซอาเหลือบเห็นตอไม้ขนาดใหญ่โผล่พ้นหิมะสีขาวขึ้นมา
“แซ็ก เธอจำภูตที่เอาบัตรจ่ายเงินมาให้เธอได้หรือเปล่า”
“ครับ จำได้”
“เห็นนั่นไหม” มือข้างที่แซ็กคารีไม่ได้กอบกุมไว้ ชี้นิ้วที่ตอไม้บนไหล่ทาง
“ตอไม้นั่นเหรอครับ”
“ใช่ นั่นแหละที่อยู่ของเขา” โจไซอาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม และยิ่งแย้มยิ้มกว้างขึ้นเมื่อได้เห็นใบหน้าใอย่างน่าเอ็นดูของแซ็กคารี
“เขาเป็ภูตต้นไม้ต้นนี้เหรอครับ”
“ใช่ แต่มนุษย์ตัดมันไปเขาเลยไม่มีที่อยู่ แล้วตามติดเป็บริวารของท่านพ่อแทน” ภูตประจำต้นไม้ หรือภูตประจำหนองน้ำและลำธารเล็กที่มนุษย์ทำลาย ล้วนย้ายมาติดตามประมุขเทพองค์ใหม่แทบทั้งหมด
“เขาจำผมได้หรือเปล่า”
“ไม่ได้น่ะสิ พวกภูตหลง ๆ ลืม ๆ หนักกว่าเทพอีกนะ”
แซ็กคารีหัวเราะพร้อมยิ้มกว้างจนตาปิด และแน่นอนว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาของโจไซอา ความสุขแผ่ซ่านในกายไม่ต่างจากความอุ่นจากิัซาตาน รอยยิ้มของชายผู้เป็ที่รักเป็แสงสว่างให้โจไซอาเสมอ ไม่ว่าจะเป็เอเดน หรือแซ็กคารี
ท้องฟ้าสว่างขึ้นอีก แต่ยังคงมองไม่เห็นดวงอาทิตย์เพราะม่านหมอกสีเทา แซ็กคารีกวาดตามองทิวทัศน์ที่เขาโปรดปรานโดยรอบ หิมะสีขาวเริ่มละลายแล้วอุณหภูมิก็อุ่นขึ้นเพราะใกล้สิ้นสุดฤดูหนาว แต่ถึงอย่างนั้นท้องฟ้ากลับยังไม่สดใส ไร้แสงอาทิตย์เจิดจ้าไม่มีม่านหมอกบดบัง กลายเป็แถบสีส้มบนท้องฟ้าแทน
“ผมตั้งใจมาดูพระอาทิตย์ขึ้น” โจไซอาได้เห็นความสำคัญของเื่เล็กน้อยอย่างพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกเพราะเอเดน แต่เมื่อเอเดนตายจากไป จึงไม่ได้ตั้งใจมองภาพเหล่านี้อีกเลย
“ยังเป็ฤดูหนาวอยู่เลย คงมองยากละมั้ง” เทพพูดพลางกวาดตามองแถบสีส้มที่คาดอยู่บนขอบฟ้า และค่อย ๆ ขยายใหญ่
แซ็กคารีพรูลมหายใจด้วยความผิดหวัง เพราะจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นกับหิมะที่เริ่มละลาย ทำให้เขาคาดเดาว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาถึงในเช้าวันนี้และท้องฟ้าจะสดใสปราศจากม่านหมอก แต่เขาคิดผิดเมื่อทุกพื้นที่เริ่มสว่างขึ้นแล้วยังดูขุ่นมัวเพราะหมอกอยู่เช่นเดิม
โจไซอาวางมืออีกข้างบนมือของแซ็กคารี
“พรุ่งนี้เรามาดูด้วยกันใหม่ดีไหม” ซาตานยิ้มให้โจไซอาพร้อมกับพยักหน้าตกลง แม้ในแววตายังเจือความผิดหวังอยู่
ทันใดนั้นแสงสีส้มได้ส่องทะลุม่านหมอก อาบบนใบหน้านวลแก้มตอบของเทพโจไซอา ความผิดหวังในแววตาแซ็กคารีจึงละลายหายไป ดวงอาทิตย์สีส้มโผล่พ้นหมอกหนาในที่สุด พื้นที่สีขาวโพลนอมเทายามรุ่งสางอาบด้วยแสงสีส้มของเช้าวันใหม่และฤดูกาลใหม่
หยาดน้ำแข็งที่ห้อยย้อยตามกิ่งก้านไร้ใบของต้นไม้สะท้อนแสงอาทิตย์จนดูงดงามราวอัญมณีบริสุทธิ์ ส่วนปลายแหลมมีน้ำหยดลงมาไม่ขาดสายพร้อมบอกลาเมื่ออากาศอุ่น ให้ต้นไม้ได้ผลิดอกออกใบ กิ่งก้านสีเขียวที่ซ่อนอยู่ใต้หิมะกำลังแทงทะลุความหนาวเย็นเปียกชื้นขึ้นมารับแสงอาทิตย์
ความงดงามและความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ในเช้าวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ เหมือนกับรอยยิ้มของแซ็กคารีขณะนี้
แซ็กคารีมองภาพนั้นเพียงไม่นานแล้วพาโจไซอากลับขึ้นรถเพราะกลัวว่าเทพร่างผอมจะหนาว แต่ผ่านมานานั้แ่กลางดึกแล้วที่โจไซอาปกติดีพร้อมกับเสียงใสรื่นหูไม่มีทีท่าว่าอาการจะกำเริบ
“ท่านดีขึ้นแล้วเหรอครับ” แซ็กคารีเอ่ยถามเมื่อรัดเข็มขัดให้โจไซอา
“อือ” ตอนนี้เทพไม่สามารถเก็บความลับเื่อาการที่ดีขึ้นได้ “สงสัยเป็เพราะใกล้ครบร้อยปี ฉันคงใกล้ตายแล้วละมั้ง”
เทพเอ่ยพร้อมรอยยิ้มราวเป็เื่ตลกขบขัน แต่ทำให้ซาตานนิ่งเงียบไป และใบหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม เมื่อฟ้าสว่างด้วยแสงอาทิตย์แรกของฤดูกาลใหม่ แซ็กคารีรีบเดินทางไปสถานที่สุดท้ายของวันนี้ในทันที เขาขับรถลงจากเขาซึ่งเป็ถนนเส้นโปรด มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงที่เขาเคยอยู่
เมืองแห่งทุนนิยมและตึกสูงเรียงรายที่เขาอึดอัดอยู่ตรงหน้าทั้งสอง หลายตึกถูกทุบทิ้งตามคำสั่งให้ทำลาย หลายตึกปล่อยทิ้งร้างไว้ตามเดิมจนทรุดโทรมแทบดูไม่ได้เพราะมีอายุหลักร้อยปี แซ็กคารีเลี้ยวรถผ่านถนนเข้าใจกลางเมืองหลวงไปทางที่ถนนคดเคี้ยวแทน
ริมถนนเป็ต้นไม้สูงแผ่ขยายกิ่งก้านและพุ่มไม้เตี้ยเรียงราย แซ็กคารีเลี้ยวรถทางต้นไม้หนาทึบโดยไม่ลังเล และพบว่ามีประตูรั้วอยู่ตรงนั้นไม่ผิดเพี้ยน โจไซอาขยับตัวนั่งหลังตรงเมื่อเห็นจุดหมายปลายทางที่เขาคุ้นเคย
แซ็กคารีลงจากรถเพื่อเปิดประตูรั้วบานเก่า จากนั้นจึงขับรถผ่านรั้วเข้าไปในลานสนามหญ้าหน้าบ้านซึ่งมีหิมะสีขาวที่ยังละลายไม่หมดอยู่ประปราย บ้านชั้นเดียวแลดูอบอุ่นน่าอยู่แห่งนี้แทบไม่เปลี่ยนจากเมื่อร้อยปีก่อนเพราะโจไซอาผูกพันกับที่นี่มาก จนทำให้อายุของมันยืนยาวตาม
สระว่ายน้ำที่คั่นกลางระหว่างบ้านปีกซ้ายและปีกขวาคลุมทับด้วยผ้าใบสีเขียวเข้มในฤดูหนาว รอบระเบียงบ้านสะอาดสะอ้านราวมีผู้อยู่อาศัยตลอด เพราะภูตคอยดูแลทำความสะอาดให้ พร้อมกับคอยป้องกันไม่ให้มนุษย์คนใดสังเกตเห็นบ้านหลังนี้
โจไซอาเดินลงจากรถ เงยหน้ามองบ้านของตนเองที่เขาไม่ได้มาเหยียบกว่า 99 ปี เพราะมันเงียบเหงาและหดหู่เมื่อเอเดนจากไป เขาจำได้ดีว่ามอบบ้านหลังนี้เป็ของขวัญให้ชายผู้เป็ที่รัก โดยตั้งใจให้ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่นี่ มันจึงมีความทรงจำและความผูกพันอยู่ทุกมุมบ้าน ทั้งเื่ราวดี ๆ และเื่ราวที่เลวร้าย
โจไซอาเหยียบพื้นหญ้าแห้งตายจนเห็นดินเป็วงเพียงหย่อมเดียวในสนาม พื้นที่ตรงนี้ไม่มีหญ้าขึ้นทดแทนร่องโหว่เพราะดินถูกน้ำตาอำนาจทำลายล้างจากเทพโจไซอา เขาเคยร้องไห้เสียใจตรงนี้ และเงยหน้าจ้องมองซาตานสองตนที่พาตัวเอเดนไปลบความทรงจำ
ซึ่งถ้าหากเอเดนถูกลบความทรงจำเกี่ยวกับเทพออกทั้งหมด ย่อมไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะจำบ้านหลังนี้ได้
“เธอมาที่นี่ทำไม…”
tbc.
#เฮเซลอาย
