ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าครั้งสุดท้ายที่เขานั่งเรือถีบแบบนี้คงจะเป็ตอนที่เขาอยู่ประถม อาจจะเป็ตอนที่ทางโรงเรียนจัดให้ไปทัศนศึกษา่ฤดูใบไม้ผลิ? หรือว่าตอนที่เวินลี่พาเขาออกมาเที่ยว? แต่สรุปแล้วก็คือเวลามันผ่านมานานมากแล้ว ความทรงจำก็เลือนรางไปแล้วเช่นกัน
แต่เรือลำเล็กที่อยู่ด้านหน้ายังคงลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่บนผิวน้ำอย่างมีชีวิตชีวา
ชวีเสี่ยวปอะโลงเรือไปก่อน ทันใดนั้นเรือก็โคลงเคลงขึ้นมาทันที เขาส่งเสียงร้องขึ้นมาว่า ไอโยว ก่อนที่จะยืนตรงขึ้นมา จากนั้นจึงยื่นมือไปให้เซี่ยเจิง : “มา”
พนักงานมองดูพวกเขาทั้งสองคนไปครั้งหนึ่ง เซี่ยเจิงไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา จับมือเขาไว้พร้อมทั้งก้าวขึ้นเรือไป
“เป็หนุ่มวัยรุ่นขนาดนี้คงจะไม่ต้องสอนแล้วใช่ไหม ใช้แรงถีบไปตรงคันเหยียบก็ได้แล้ว” พนักงานที่ยืนอยู่บนฝั่งะโออกมาเสียงดัง จากนั้นก็ก้มตัวลงไปแก้เชือกที่ผูกเอาไว้กับเรือออก “คันโยกเอาไว้บังคับทิศทางนะ”
เสียงพูดยังไม่ทันจะจบลง เรือเล็กก็แหวกน้ำ ถูกเขาทั้งสองคนปั่นออกไปไกลเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
“ออกเรือแล้ว !” ชวีเสี่ยวปอะโขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“นายนี่ดูยังไงก็สามขวบ” เซี่ยเจิงถีบลงไปบนคันเหยียบอย่างช้าๆ หลังคาบังแดดของเรือไม่ใหญ่มากนัก ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเซี่ยเจิงจึงถูกแสงแดดสาดส่องลงมา จนทำให้กรอบหน้าด้านหนึ่งของเขาถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีนวลทอง เขาหรี่ตาลงพร้อมทั้งยื่นมือออกไปเขี่ยลงฝ่ามือของชวีเสี่ยวปอ “ตอนนี้คนยังเยอะอยู่ไหม? ”
“นายคิดอะไรอยู่เนี่ย? ” ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็หัวเราะออกมา รู้สึกจั๊กจี้ที่ฝ่ามือ แต่กลับรู้สึกสบายจนไม่อยากชักมือออกมา
“คิดเหมือนที่นายคิดนั่นแหละ” เซี่ยเจิงพูดขึ้น
“นายนี่โรคจิตจริงๆ ” ชวีเสี่ยวปอเกาคืนไปบนฝ่ามือของเซี่ยเจิง จากนั้นจึงกัดริมฝีปากเพื่อรวบรวบกำลังขึ้นมา : “รีบปั่นเร็วเข้า !”
คงจะเป็เพราะพวกเขาอยากที่จะทำเื่ลามกพวกนั้นให้ได้โดยเร็ว เขาทั้งสองคนจึงพยายามขยับขากันอย่างสุดกำลัง ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าถ้าเร็วไปมากกว่านี้คันเหยียบสองอันนั้นอาจจะส่งประกายไฟออกมาได้เลยทีเดียว นอกจากนี้ท้ายเรือยังปกคลุมไปด้วยน้ำที่สาดกระเซ็นขึ้นมาจากใบพัด จนกระทั่งทั้งสองคนปั่นไปจนรู้สึกปวดจี๊ดตรงต้นขา ในตอนนั้นถึงได้ค่อยๆ หยุดปั่นลง
“เฮ้ การทุ่มเทอย่างหนักมักจะได้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ” ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าทำไมหัวสมองของเขาถึงได้คิดประโยคนี้ขึ้นมา แล้วทันใดนั้นเขาก็ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้กับริมฝีปากของเซี่ยเจิง “เร็วเข้ามาให้ฉันจูบหน่อย”
“หน่อยเดียวพอเหรอ? ” เซี่ยเจิงขยับตัวหันข้างไปทางเขา
เรือเล็กแล่นไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า และในตอนนี้เขาทั้งสองคนก็ได้ข้ามจากใจกลางทะเลสาบมายังอีกฝั่งหนึ่งของสวนสาธารณะเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ต้นไม้ทั้งสองฟากฝั่งของทะเลสาบในด้านนี้ค่อนข้างที่จะเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ หากมองจากด้านล่างขึ้นไปก็ไม่อาจมองเห็นเงาของคนที่เดินอยู่้าได้เลย ช่างเป็สถานที่ที่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้เสียจริงๆ
สถานที่ที่เหมาะกับการจูบเป็ที่สุด
ทั้งสองคนล้วนคุ้นเคยกันเป็อย่างดี ไม่อาจพูดได้เลยว่าใครเป็คนเริ่มก่อน ในครั้งนี้เขาทั้งสองคนดูเหมือนจะเชื่องช้ากว่าที่เคย เริ่มจากปลายลิ้นที่ค่อยๆ สอดแทรกเข้าไปทีละนิดอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบทั้งยังไม่ลนลาน ยืดระยะเวลาของการจูบในครั้งนี้ให้ยาวออกไป ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีรสชาติอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าทั้งสองคนกลับได้ลิ้มรสชาติความหวานของกันและกัน
ในขณะนั้นเองชวีเสี่ยวปอรู้สึกได้ว่าเซี่ยเจิงกำลังเลิกชายเสื้อเขาขึ้น พร้อมทั้งยื่นมือสอดเข้าไป ในตอนที่นิ้วมือเย็นลูบไล้ไปบนผิวกาย ชวีเสี่ยวปอจึงอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทาขึ้นมา แต่นิ้วมือกลับมาหยุดอยู่ตรงด้านข้างเอวของเขา อีกทั้งยังขยำลงไปอย่างแรง
ทันทีที่ทั้งสองคนผละตัวออกจากกันชวีเสี่ยวปอก็พูดพึมพำฟังไม่ชัดขึ้นมาประโยคหนึ่ง จากนั้นจึงเอนตัวพิงไปด้านหลังแล้วเงยหน้าขึ้นมาพลางหอบหายใจอย่างหนัก
“นายพูดว่าไงนะ? ” เซี่ยเจิงยื่มมือไปลูบที่ลูกกระเดือกของชวีเสี่ยวปอซึ่งยื่นออกมาจนเห็นได้ชัดเนี่องจากเขาเงยหน้าขึ้นมา
“ฉันบอกว่าจูบนายไม่เลวเลย” ชวีเสี่ยวปอเลียริมฝีปาก ราวกับว่าอารมณ์ยังค้างอยู่
“นายยังไม่เคยไปลองกับคนอื่น แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันจูบดี? ” เซี่ยเจิงจ้องมองไปที่ริมฝีปากของชวีเสี่ยวปอ เหมือนว่าหลังจากจูบเสร็จจะดู...เซ็กซี่ขึ้นกว่าเดิมไปอีก
“ให้ตายสิ” ชวีเสี่ยวปอถูกถามจนอึ้งไป แต่ก็โต้ตอบกลับไปทันที : “ความรู้สึกไงนายเข้าใจไหม? ฟังจากที่พูดอย่างนี้แล้วมันน่าเสียเปรียบจริงๆ ที่ฉันเคยจูบแค่นายคนเดียว... ”
“จูบแรก” เซี่ยเจิงมองไปยังพื้นทะเลสาบ
“อ๋า? ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าตัวเองได้ยิดชัดเจนแล้ว แต่กลับไม่กล้าที่จะยอมรับสักเท่าไหร่ “นายบอกว่า...”
“นายไม่เสียเปรียบเลยสักนิด” เซี่ยเจิงลูบศีรษะของชวีเสี่ยวปอไปครั้งหนึ่ง “ฉันเคยจูบแค่กับนายคนเดียว”
“ใครว่าไม่ใช่กันล่ะ !” ชวีเสี่ยวปอชนเข้าไหล่ของเซี่ยเจิงไปทีหนึ่ง แต่กลับแรงจนเกินไป จึงทำให้เรือโคลงเคลงขึ้นมาทันที ขณะนั้นเองชวีเสี่ยวปอทรงตัวไม่อยู่และล้มลงไปบนตักของเซี่ยเจิงในที่สุด
“ให้ของขวัญใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ” เซี่ยเจิงจับแขนของเขาเพื่อประคองเขาขึ้นมา หัวเราะพลางเอ่ยออกมาว่า : “อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะถึงวันตรุษจีน”
“ทำไมนายถึงน่ารำคาญแบบนี้เนี่ย” ชวีเสี่ยวปอทุบลงไปบนต้นขาของเซี่ยเจิงทีหนึ่ง พร้อมทั้งหัวเราะฮึๆ ออกมาพลางเอ่ยขึ้นว่า : “จริงเหรอ? ”
“จริงสิ” เพียงแค่ประโยคสั้นๆ ที่จับใจความไม่ได้นี้ พวกเขาทั้งสองคนกลับเข้าใจความหมายที่อีกฝ่าย้าจะสื่อได้อย่างรวดเร็ว ในขณะนั้นเซี่ยเจิงเองก็นวดเบาๆ ไปตรงที่ชวีเสี่ยวปอทุบลงมาด้วย “ถ้านายจะบอกว่าฉันเก่งขนาดนี้ งั้นมันก็คงเป็ความสามารถเฉพาะตัวของฉันแล้วละ”
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกตลกกับคำว่า “ความสามารถเฉพาะตัว” คำนี้ขึ้นมา หลังจากที่ขำจนเหนื่อยเขาจึงเอนตัวพิงเซี่ยเจิงไปอีกครั้งหนึ่ง
“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าหลังจากที่ถามเื่จูบแรกเสร็จแล้ว ตอนท้ายควรจะพูดอะไรเพิ่มสักหน่อยด้วยอะ” จู่ๆ เซี่ยเจิงก็ยกมือขึ้นมาปิดหน้าอก สีหน้าบนใบหน้าดูไม่ได้รับความเป็ธรรมขึ้นมาทันที แสดงเกินจริงทั้งยังไม่มีจิติญญาเลยสักนิด พร้อมดัดเสียงพูดขึ้นมาว่า : “นายต้องรับผิดชอบฉัน แงๆ แงๆ TT”
“......” ชวีเสี่ยวปอมองไปยังผิวน้ำทะเลสาบ แล้วจึงหันกลับไปมองเซี่ยเจิง พร้อมทั้งม้วนแขนเสื้อของตัวเองขึ้นมาด้วยท่าทางที่เด็ดเดี่ยว แล้วจึงพูดขึ้นมาอย่างเอาจริงเอาจังว่า : “เดี๋ยวฉันจะจับนายโยนลงไปให้เป็อาหารปลา”
ทั้งสองคนสะกิดกันไปมา เมื่อแตะโดนตัวเข้าทีหนึ่งก็ทะเลาะกันพักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็โน้มตัวพิงเข้าหากันอย่างสงบนิ่ง
ชวีเสี่ยวปอกินพื้นที่ที่นั่งไปสองส่วนสาม ลำตัวของเขามากว่าครึ่งหนึ่งพิงอยู่บนตัวของเซี่ยเจิง หากไม่ใช่เพราะว่าเรือใหญ่ไม่พอ ไม่แน่เขาอาจจะนอนลงไปบนตักของเซี่ยเจิงแล้วก็ได้
คนเราเมื่อได้ดื่มด่ำกับความสุขก็มักจะรู้สึกว่าเวลามันแสนสั้นเหลือเกิน
เป็เช่นนั้นจริงๆ
“อยากนอนสักงีบเหรอ? ” เซี่ยเจิงกำลังบีบคลึงติ่งหูของชวีเสี่ยวปอ
“เปล่า แค่อยากหลับตาสักพัก” ชวีเสี่ยวปอตอบ “นี่ คุณแฟน”
“หืม”
“ฉันถามอะไรนายหน่อยได้ไหม? ”
“อืม”
“นายเริ่ม เอ่อ ชอบฉันั้แ่เมื่อไหร่เหรอ? ” ขณะที่พูดชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าใบหูของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็เพราะถูกเซี่ยเจิงบีบหรือเปล่า
เมื่อไหร่?
เซี่ยเจิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบออกมาว่า : “ไม่รู้สิ”
“ไม่รู้? ” ชวีเสี่ยวปอนั่งตัวตรงขึ้นมาทันที “ทำไมอะ? ”
เพราะไม่มีเวลาที่แน่นอนชัดเจน แต่กลับเป็การค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาทีละนิดจนทำให้เกิดเป็ความชอบขึ้น
ความชอบเื่เช่นนี้ มันช่างแปลกประหลาดมากจริงๆ
ชวีเสี่ยวปอเป็เหมือนดั่งสีสันที่ปรากฏขึ้นมาในโลกอันขาวดำของเซี่ยเจิง
ในตอนที่ปรากฏขึ้นมานั้นทำให้รู้สึกกะทันหันอย่างแปลกๆ ทั้งรู้สึกว่าไม่เข้ากันเลยสักนิด อีกทั้งยังอยากที่จะลบมันออกไปให้หมดสิ้น แต่ตรงกันข้ามมันกลับค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังแต่งแต้มเติมสีสันให้โลกใบขาวดำนี้อย่างตามใจชอบ และสุดท้ายก็เข้าทุกพื้นที่
เซี่ยเจิงเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหัวใจของเขาถูกชวีเสี่ยวปอมาปักธงเอาไว้ั้แ่เมื่อไหร่ ทั้งยังถูกเขายึดครองไปโดยสิ้นเชิง แต่บางทีอาจเป็เพราะไม่เคยเกลียดเขาเลยั้แ่แรก เพราะฉะนั้นจึงเป็เช่นนี้ ยังไงก็ชอบไปแล้ว ชอบด้วยความเต็มใจ
“แล้วนายล่ะ? ” เซี่ยเจิงถามกลับ
“ที่จริงฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอเกาศีรษะอย่างรู้สึกเขิน “คงจะอาจจะไม่แน่ว่าน่าจะเป็ตอนที่จูบนายครั้งแรกละมั้ง? หรือว่าเร็วกว่านั้น? เอ๊ะ ตอนนั้นฉันชอบนายหรือเปล่านะ? ยังไงก็เถอะฉันรู้สึกว่านายเป็คนดีมาก” ชวีเสี่ยวปอพูดไปพูดมาเขาก็รู้สึกอายขึ้นมาแล้ว ในตอนนั้นเองเขาจึงยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บแก้มของเซี่ยเจิงครั้งหนึ่ง “ถึงยังไงก็ชอบนายไปแล้ว ไม่เปลี่ยนใจแน่นอน !”