“ยังโกรธข้าอยู่หรือ?” มือที่อันซิ่วเอ๋อร์กำลังจะยื่นออกไปถูกเขากุมไว้แน่น นางพยายามดึงออกอยู่สองครั้งแต่ไม่หลุด จึงเอียงหน้าสบตาเขา แต่เพียงสบเข้ากับั์ตาดำขลับคู่นั้น นางก็เป็ฝ่ายพ่ายแพ้เสียเอง ต้องหันหน้ากลับไป พึมพำเสียงเบา “ข้าเปล่าเสียหน่อย”
“เ้าโกรธอยู่แน่ๆ” จางเจิ้นอันกล่าวอย่างมั่นใจ แม้จะไม่เข้าใจถ่องแท้ว่านางโกรธเคืองเื่ใด แต่ท่าทีห่างเหินเช่นนี้ของนางก็ทำให้เขาไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง
“แล้วจะทำไมเล่าเ้าคะ? ข้าโกรธก็เื่ของข้า ข้าโกรธตัวเอง ไม่เกี่ยวกับท่านสักหน่อย” อันซิ่วเอ๋อร์ตอบกลับ น้ำเสียงยังคงเ็าห่างเหิน
“ย่อมไม่เกี่ยวกับข้าอยู่แล้ว” จางเจิ้นอันกล่าวเสียงขรึม แฝงความเ็าอยู่บ้าง เขากระชับมือที่กุมมือนางไว้แน่นขึ้นอีกนิด “แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด พอเห็นเ้าไม่สบายใจ ข้าก็พลอยรู้สึกไม่ดีไปด้วย”
“จะเป็ไปได้อย่างไร ในใจท่าน ข้าก็อาจจะมีค่าแค่เงินหกตำลึงเท่านั้น” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยอย่างสงบ “ถึงข้าจะไม่เข้าใจท่านลึกซึ้งนัก แต่ก็พอรู้ว่าท่านไม่ใช่คนเห็นแก่เงินทอง”
“เ้าไม่ใช่ตัวข้า จะรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ให้ความสำคัญ?” เขาพลันดึงมือนางทาบลงบนอกตนเอง นางััได้ถึงจังหวะหัวใจของเขาที่เต้นแรงถี่รัว ราวกับจะทะลุออกมาสู่ฝ่ามือ
“เมื่อครู่ข้าเพียงแค่ล้อเ้าเล่นจริงๆ อย่าโกรธข้าเลย ได้หรือไม่?” เขาลดท่าทีแข็งกระด้างลง น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือแววออดอ้อนอย่างไม่เคยเป็มาก่อน
“ท่านคิดว่าข้าโกรธเพราะคำพูดเมื่อครู่ของท่านหรือ?” อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้ามองเขา เมื่อเห็นว่าเขาไม่เข้าใจความนัยของนางเลยแม้แต่น้อย ก็แค่นยิ้มบางเบา “ข้าไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย ข้าเพียงแค่อยากให้ท่านเข้าใจ ว่าการถูกเมินเฉยไม่ใส่ใจ มันให้ความรู้สึกเช่นไรต่างหาก”
“ข้าขอโทษ” เขายื่นแขนออกไปโอบร่างนางไว้เบาๆ คางเกยอยู่บนกลุ่มผมนุ่มสลวย ก้มลงจุมพิตแ่เบา เอ่ยคำขอโทษอย่างจริงจังอีกครั้ง
“ขอโทษแล้วมีประโยชน์อันใดหรือเ้าคะ?” นางเงยหน้ามองเขา ถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ไม่มีประโยชน์... เช่นนั้นเ้าตีข้าเถอะ” เขาทำท่าเหมือนจนปัญญา “ก่อนหน้านี้ข้าผิดไปเอง ข้ามันโง่เง่าเอง” พูดพลางก็ฉวยไม้เขี่ยไฟข้างเตาขึ้นมา ยัดใส่มือนาง “นี่ เชิญเลย ตีให้พอใจ!”
อันซิ่วเอ๋อร์มองไม้เขี่ยไฟในมือ พินิจอยู่ครู่หนึ่ง ยกขึ้นทำท่าเหมือนจะตีจริงๆ แต่สุดท้ายก็วางมันลงข้างเตาตามเดิม จากนั้นก็เลียนแบบท่าทางของเขาเมื่อครู่ไม่มีผิดเพี้ยน ก้มลงหยิบฟางข้าวขึ้นมาเส้นหนึ่งจากพื้น ทำหน้าเคร่งขรึมพลางสั่ง “ยื่นมือมา”
เขาเชื่อฟังแต่โดยดี ยื่นมือออกไปอย่างว่าง่าย นางจับปลายนิ้วเขาไว้ พลันััได้ถึงความหยาบกร้านและหนังด้านหนาบนฝ่ามือนั้น พอลูบไล้ไปบนรอยกร้านเ่าั้ นางก็พลันใจอ่อนยวบ ไม่อาจทำร้ายเขาได้ลงแม้เพียงน้อยนิด ทำได้เพียงโยนฟางข้าวในมือทิ้งไป “ครั้งนี้ข้ายกให้ก็ได้”
พอเห็นสีหน้าและแววตาของนาง เขาก็รู้ว่านางหายโกรธแล้ว ในที่สุดก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก... สตรีเวลาโกรธเคืองนี่ ช่างง้องอนยากเย็นเสียจริง
เขาลุกขึ้นยืน เดินไปข้างเตา เปิดฝาหม้อดิน ใช้ผ้าหนาๆ จับชามโจ๊กที่นึ่งอุ่นไว้ข้างในออกมา มองอันซิ่วเอ๋อร์แล้วเอ่ยบอก “เอาล่ะ มา กินอะไรเสียหน่อยเถิด”
“ไม่เอาเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า “ข้ารอกินมื้อกลางวันทีเดียวเลยดีกว่า”
“มากินรองท้องสักหน่อยน่า” เขากลับถือชามเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า ตักโจ๊กขึ้นมาช้อนหนึ่ง ยื่นไปจ่อที่ริมฝีปากนาง “อ้าปาก”
นางทำเสียงอืออาในลำคอ มองโจ๊กคำนั้น สุดท้ายก็ยอมอ้าปากแต่โดยดี ทว่าพอโจ๊กเข้าปาก สีหน้านางก็พลันเหยเก รีบเป่าลมออกจากปากฟู่ๆ
“เป็อันใดไป?”
นางพยายามกลืนโจ๊กลงคออย่างยากลำบาก แล้วจึงบอก “ร้อน!”
“ร้อนก็คายออกมาสิ เหตุใดต้องฝืนกลืนลงไปด้วย” จางเจิ้นอันว่าพลางตักโจ๊กขึ้นอีกช้อน แต่คราวนี้เขาเป่าเบาๆ ให้คลายร้อนเสียก่อน แล้วจึงส่งไปที่ปากนางอีกครั้ง
“ก็ท่านเพิ่งว่าข้าเป็แม่บ้านคิดเล็กคิดน้อยไม่ใช่หรือเ้าคะ ข้าวทุกเม็ดล้วนคือหยาดเหงื่อแรงงาน ข้าไหนเลยจะกล้าคายทิ้ง” อันซิ่วเอ๋อร์ยอกย้อนคำพูดของเขา พูดเสียงอู้อี้ “ยิ่งไปกว่านั้น นี่ท่านอุตส่าห์ป้อนให้ถึงปาก ข้ายิ่งไม่กล้าทิ้งขว้างใหญ่เลย”
แววตาของจางเจิ้นอันฉายประกายอ่อนโยนระคนเอ็นดู เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าวันหนึ่งตนเองจะมานั่งป้อนโจ๊กให้สตรีผู้หนึ่งได้อย่างสงบใจเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังไม่รู้สึกรำคาญแม้แต่น้อย กลับรู้สึกพึงพอใจอยู่ลึกๆ เสียด้วยซ้ำ
แบบนี้เขาคงแย่แน่แล้ว ใจหนึ่งก็คิดว่าควรจะตีตัวออกห่างนางเสียบ้าง แต่พอเห็นท่าทางอ้างว้างไร้ที่พึ่งพิงของนาง เขาก็ไม่อาจทำใจแข็งกับนางได้ลงคอ
ไม่รู้ตัวเลยว่าโจ๊กหมดชามไปั้แ่เมื่อใด อันซิ่วเอ๋อร์ลูบท้องน้อยๆ ของตน ทำหน้ามุ่ย “เผลอกินจนอิ่มแปล้เลย ก็เพราะท่านนั่นแหละเ้าค่ะ”
“ได้ๆๆ เป็ความผิดของข้าเอง” ความผิดครั้งนี้ จางเจิ้นอันยอมรับไว้อย่างเต็มอกเต็มใจ
พักอยู่ครู่หนึ่ง อันซิ่วเอ๋อร์ก็เงยหน้าถามเขา “ทีนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดีเ้าคะ?”
“ทำอย่างไรเื่อันใด?” จางเจิ้นอันยังตามความคิดนางไม่ทัน
“ก็เื่บ้านรั่วน่ะสิเ้าคะ จะทำอย่างไรดี? หรือจะปล่อยให้มันรั่วอยู่อย่างนี้?” อันซิ่วเอ๋อร์ถอนหายใจ ค้อนให้เขาเบาๆ วงหนึ่ง “ฝนคราวนี้ยังไม่รู้ว่าจะตกไปอีกกี่วัน ถ้าปล่อยให้น้ำซึมอยู่อีกสักสองสามวัน บ้านเราคงได้พังลงมากันพอดี ถึงตอนนั้นแม้แต่กระท่อมก็จะไม่มีให้อยู่อาศัยแล้วนะ”
“ไม่เป็ไรน่า อย่างมากพวกเราก็นอนในห้องเก็บฟืนนี่แหละ เมื่อครู่ข้าก็เห็นเ้านอนหลับสนิทดีออกนี่” จางเจิ้นอันพูดทีเล่นทีจริง อันซิ่วเอ๋อร์ยกมือขึ้นทำท่าจะฟาดเขา เขาจึงรีบปรับสีหน้าจริงจัง “เอาล่ะๆ เป็ความผิดข้าเองทั้งหมด เอาเช่นนี้... ่นี้เ้ากลับไปพักที่บ้านเดิมก่อนดีหรือไม่? รอข้าซ่อมบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา”
“ความคิดนี้ก็ไม่เลวนะเ้าคะ เช่นนั้นข้ากลับไปอยู่บ้านเดิมก่อนก็แล้วกัน ท่านอยู่คนเดียวตอนกลางคืนก็ระมัดระวังตัวหน่อยแล้วกัน ระวังจะมีผีสาวมาหลอก หรือไม่ก็ถูกหนูมากัดหูเอาได้” อันซิ่วเอ๋อร์ว่าพลางทำท่าจะลุกขึ้นยืนจริงๆ
จางเจิ้นอันรีบยื่นมือออกไปดึงนางไว้ “จะรีบร้อนกลับไปไหน ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลย”
“ข้าจะรีบกลับไปตามท่านพ่อกับพวกพี่ๆ มาช่วยซ่อมหลังคาให้ท่านต่างหากเล่า” อันซิ่วเอ๋อร์เอียงหน้ามองเขา ดวงตารูปเมล็ดซิ่งคู่สวยกะพริบปริบๆ อย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูเขาด้วยเสียงแ่เบา “ข้าล้อท่านเล่นน่า ข้าไม่ไปไหนหรอก ข้าไม่ทิ้งท่านหรอก”
น้ำเสียงและท่าทางของนางในยามนี้ ราวกับพี่สาวกำลังปลอบโยนน้องชายตัวน้อยที่หวาดกลัวความมืดไม่มีผิด
อันที่จริง ก่อนหน้านี้อันซิ่วเอ๋อร์โกรธมากจริงๆ นางคิดจะปล่อยเลยตามเลย บ้านจะพังก็ช่างปะไร อย่างไรเสียก็ไม่ได้มีนางเดือดร้อนอยู่คนเดียวเสียเมื่อไร นางไม่อยากจะสนใจอันใดทั้งสิ้นแล้ว
แต่พอเห็นท่าทีที่ยอมรับผิดแต่โดยดีของเขา นางก็อดเป็กังวลขึ้นมาอีกไม่ได้ จางเจิ้นอันอาจจะไม่รู้ว่าการซ่อมแซมกระท่อมมุงฟางนั้นยุ่งยากเพียงใด แต่นางพอจะรู้ดีว่าต้องมีการสานแผงหญ้าคาเตรียมไว้ล่วงหน้า นางจึงรีบร้อนอยากจะกลับไปขอความช่วยเหลือจากทางบ้าน
นางเดินไปยังห้องโถงกลางบ้านเพื่อสวมเสื้อกันฝนที่ทำจากฟางข้าว จางเจิ้นอันหยิบเสื้อกันฝนตัวที่เพิ่งผึ่งจนเกือบแห้งของเขามาสวมทับบนร่างนางอีกชั้นหนึ่ง เสื้อตัวใหญ่เทอะทะทำให้นางดูเหมือนเด็กน้อยที่แอบเอาเสื้อคลุมหนังหมีของผู้ใหญ่มาใส่เล่นไม่มีผิด
เสื้อกันฝนฟางข้าวทั้งหนักทั้งอับชื้น กดทับจนนางหายใจไม่ใคร่ออก นางคลายเชือกผูกที่คอออกเล็กน้อย หยิบหมวกงอบไม้ไผ่มาสวม แล้วรวบชายกระโปรงขึ้น เดินฝ่าลมฝนออกไป
เสื้อกันฝนกับหมวกงอบกันลมฝนได้แ่า นางก้าวเท้าออกไปอย่างระมัดระวัง แต่ถึงกระนั้น เดินไปได้ไม่ทันพ้นสองก้าว รองเท้าและถุงเท้าที่เพิ่งจะแห้งเมื่อครู่ก็เปรอะเปื้อนดินโคลนจนเปียกชุ่มไปอีกครั้ง
หากมีรองเท้าหนังกวางดีๆ สักคู่ก็คงจะดี... วินาทีนี้ อันซิ่วเอ๋อร์ยิ่งปรารถนารองเท้าหนังกวางคู่นั้นมากขึ้นไปอีก หากมีรองเท้าดีๆ สักคู่ นางก็คงไม่ต้องทนให้เท้าเปียกแฉะเหนอะหนะเช่นนี้
นางรีบจ้ำเท้าไปจนถึงหน้าประตูบ้านสกุลอัน แล้วใช้มือทุบประตูเสียงดัง ปัง ปัง ปัง ครั้งนี้เป็เหลียงซื่อที่ออกมาเปิดประตู พอเห็นว่าเป็อันซิ่วเอ๋อร์ก็ประหลาดใจเล็กน้อย “ซิ่วเอ๋อร์! เ้ามาได้อย่างไรกัน?”
“ข้ามาขอให้ท่านพ่อท่านแม่ช่วยเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ตอบพลางเดินตามเหลียงซื่อเข้าไปในบ้าน พอถึงชายคา นางก็ถอดหมวกงอบออกวางไว้ข้างประตู เหลียงซื่อช่วยนางถอดเสื้อกันฝนฟางข้าวออกแขวนไว้บนผนัง เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ของลูกสาวเปียกชื้น รองเท้าเปียกโชกไปหมด ก็รีบคว้ามือที่เย็นเฉียบของนางไว้แน่น “ดูสิ เปียกชุ่มทั้งตัว มือก็เย็นจนใจหาย รีบเข้าไปผิงไฟเถิดลูก”
ฝ่ามือของเหลียงซื่อทั้งกว้างและอบอุ่น อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกถึงกระแสความอบอุ่นที่แล่นผ่านฝ่ามือเข้ามาสู่หัวใจ วินาทีนั้น นางรู้สึกราวกับตนเองเป็ลูกนกพลัดรังที่ได้บินกลับคืนสู่รังอันอบอุ่นอีกครั้ง ได้แต่ปล่อยให้มารดากุมมือจูงเข้าไปในบ้านแต่โดยดี
“ลูกสะใภ้ มีรองเท้าแห้งๆ หรือไม่ หามาให้น้องเล็กคู่หนึ่งซิ” เหลียงซื่อหันไปบอกต่งซื่อ ซึ่งกำลังนั่งแกะเปลือกถั่วลิสงอยู่ในห้องโถง
ต่งซื่อรีบลุกขึ้นไปหารองเท้าให้อย่างรวดเร็ว พออันซิ่วเอ๋อร์เดินเข้ามา หลานสาวทั้งสองคนที่นั่งช่วยแกะถั่วอยู่ก็รีบขยับกาย เว้นที่ว่างข้างๆ ให้ อันซิ่วเอ๋อร์จึงนั่งลงข้างๆ เอ้อร์ยาเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “ท่านอา ไม่ได้กลับมาเสียนานเลยนะเ้าคะ”
เด็กน้อยยังไม่เข้าใจความหมายของการออกเรือนสักเท่าใดนัก ไม่รู้ว่าเมื่อแต่งงานออกไปแล้ว บ้านที่เคยอยู่อาศัยก็กลายเป็บ้านเดิมไปเสียแล้ว เพียงแต่แปลกใจว่าเหตุใดอาสาวถึงไม่กลับมาเยี่ยมบ้านนานถึงเพียงนี้
แม้ในใจอันซิ่วเอ๋อร์จะยังขุ่นมัวอยู่บ้างจากเื่ราวที่เพิ่งผ่านมา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลานสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูทั้งสอง นางก็ยังคงฝืนยิ้มอ่อนหวาน ปลอบโยนด้วยเสียงนุ่มนวล “อากลับมาแล้วนี่อย่างไร อยู่บ้านคิดถึงอากันบ้างหรือไม่?”
“คิดถึงเ้าค่ะ” เด็กทั้งสองพยักหน้ารับพร้อมกัน ต้ายาเสริมขึ้นว่า “พวกเราเคยเดินผ่านหน้าบ้านท่านอาหลายครั้ง แต่ท่านย่าไม่ยอมให้พวกเราแวะเข้าไปหา”
“ทำไมหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์ถาม แล้วหันไปมองเหลียงซื่อ “ท่านแม่ เด็กๆ อยากไปหาข้า เหตุใดท่านต้องห้ามด้วยเล่าเ้าคะ?”
“จะให้ไปหาเ้าบ่อยๆ ได้อย่างไรกัน?” เหลียงซื่อเหลือบมองบุตรสาว “แม่รู้ว่าเ้าไม่ใช่คนใจแคบ แต่เด็กๆ ไปทีไร เ้าก็ต้องหาไข่ต้ม หาน้ำหวานมาให้พวกนางกินทุกทีไม่ใช่รึ? เ้าเพิ่งแต่งงานออกไป บ้านช่องก็ยังลำบากยากเข็ญ ต้องรู้จักประหยัดอดออมหน่อย หากพวกเราไปมาหาสู่บ่อยๆ เดี๋ยวจางเจิ้นอันผู้นั้นจะนึกเอาได้ว่าบ้านเราคิดจะไปเกาะลูกสาวกิน”
“สามีข้าไม่ใช่คนเช่นนั้นเสียหน่อยเ้าค่ะ” คำปกป้องจางเจิ้นอันหลุดออกจากปากนางโดยไม่ทันได้ไตร่ตรอง ก่อนที่นางจะนึกอะไรขึ้นได้ แล้วจึงลดเสียงลง “เขาไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเื่เงินทองหรอกเ้าค่ะ ต้ายา เอ้อร์ยา ว่างๆ ก็ไปเล่นกับอาบ่อยๆ นะ วันๆ อาอยู่บ้านคนเดียวก็เหงาเหมือนกัน”
“เอาก็เอาเถิด ไว้ว่างๆ แม่จะให้สองคนนี้ไปหาเ้า แล้วก็ใช้ให้พวกนางทำงานทำการบ้างนะ เด็กผู้หญิงสองคนนี้อย่างอื่นอาจทำไม่เป็ แต่กวาดบ้านถูพื้นพอจะทำได้อยู่” เหลียงซื่อพูดเหมือนไม่ใส่ใจนัก พอดีกับที่ต่งซื่อนำรองเท้ากลับมา นางจึงก้มลงช่วยอันซิ่วเอ๋อร์ถอดรองเท้าและถุงเท้าที่เปียกชุ่มออก
“ท่านแม่ ข้าทำเองได้เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
เหลียงซื่อค้อนให้วงหนึ่ง “ตอนเ้ายังเล็ก เสื้อผ้าอาภรณ์แม่ก็ยังเป็คนผลัดเปลี่ยนให้ พอโตเป็สาวกลับมารู้จักอายเสียแล้ว”
อันซิ่วเอ๋อร์ได้แต่เม้มปากเงียบ ต่งซื่อยื่นรองเท้าคู่ใหม่ส่งมาให้ พลางกระซิบเบาๆ ข้างหู “ท่านแม่ดีกับน้องเล็กจริงๆ ในบรรดาลูกหลานทั้งหมด ไม่มีผู้ใดในใจท่านแม่จะเทียบเ้าได้เลยสักคนเดียว”
