เซวียเสี่ยวหรั่นไม่มัวเสียเวลาเลือก รีบเก็บของที่ร่วงอยู่บนพื้นใส่กระเป๋าเป้
ตอนแรกฝูงลิงบนต้นไม้ก็มองดูเฉยๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่ดูเหมือนว่าลิงน้อยขนทองตัวนั้นจะมองสายสนกลในออก มันร้อง "เจี๊ยกๆ" เสียงดังลั่น ต่อจากนั้นก็ไม่รู้ว่าไปคว้ากล้วยน้ำว้าทั้งหวีมาจากไหน เริ่มขว้างปาใส่เธออีกรอบ
"โอ๊ย แม่จ๋า..." เซวียเสี่ยวหรั่นถูกปาเข้าที่หัวไหล่เต็มๆ ร้องออกมาด้วยความเ็ป แต่ก็ฉวยโอกาสก้มเก็บกล้วยน้ำว้าหวีนั้นเข้ากระเป๋า
ลิงน้อยขนทองยิ่งหัวเสีย มันร้องเรียกหาพวกเดียวกันให้มาช่วยกันขว้างปาสิ่งของ
แต่น่าเสียดาย มันยังเป็เพียงลูกลิง เห็นชัดว่าไม่มีอิทธิพลเท่าไรนัก ดังนั้นจึงแทบไม่มีตัวไหนในฝูงที่คล้อยตามมัน พวกที่ร่วมผสมโรงมีเพียงหร็อมแหร็ม เซวียเสี่ยวหรั่นคอยเลี่ยงหลบ หลังจากนั้นก็เก็บผลไม้ขึ้นมา
ไม่ช้า เป้ของเธอก็หนักอึ้ง
จนกระทั่งยัดลงไปไม่ได้อีก เซวียเสี่ยวหรั่นค่อยถอยออกมาตั้งหลักสองสามเมตร ฝูงลิงก็หยุดโจมตี
"หึๆ เ้าลิงน้อย ขอบใจสำหรับผลไม้ของเ้า ฮ่า" เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยื่นหน้าหันไปหัวเราะเยาะลิงน้อยขนทอง
ดูเหมือนว่ามันจะเข้าใจความหมายของเธอ จึงแยกเขี้ยวขู่ใส่พลางขย่มกิ่งไม้อย่างโมโหโทโส
ลิงน้อยขนทองตัวนี้ดุเกินไป ไม่น่ารักสักนิด
เซวียเสี่ยวหรั่นถอยหลังไปเรื่อยๆ ไม่ยั่วยุมันอีกต่อไป ถ้ามันเกิดโมโหกระโจนลงมาข่วนเธอจะยิ่งอนาถกว่านี้
เธอต้องสู้มันไม่ได้แน่ๆ แม้จะเป็แค่ลูกลิงตัวหนึ่ง แต่การหนีเอาตัวรอดย่อมเป็แผนที่ดีกว่า
เธอแบกเป้หนักอึ้งถอยกลับมาทางเดิมโดยเก็บเกี่ยวเอาความสุขกลับไปด้วย
ฝูงลิงไม่สนใจเธอ มีเพียงลิงน้อยที่ะโขึ้นลงไม่หยุด เซวียเสี่ยวหรั่นออกจากเชิงเขาแห่งนั้นอย่างราบรื่น
เธอสะพายเป้ไว้ด้านหน้า แล้วใช้มืออุ้มรับน้ำหนักด้านล่าง ไม่เป็อุปสรรคสำหรับการเดินเกินไปนัก ตอนที่วิ่งออกมา เธอก็เริ่มสังเกตละแวกนั้นอย่างจริงจัง
เป้าหมายที่เธอออกมาเพื่อหาสถานที่เหมาะสมสำหรับอยู่อาศัยชั่วคราว เห็นพระอาทิตย์ส่องเหนือศีรษะ หากเลยจากเวลานี้ไป ตะวันคล้อยไปทางตะวันตก แล้วยังหาที่พักไม่ได้ หรือว่าพวกเธอต้องนอนตากน้ำค้างกลางป่าอีกแล้ว?
พอนึกมาถึงตรงนี้ ภาพที่เธอเกือบแข็งตายเมื่อคืนคล้ายมาปรากฏตรงหน้า เซวียเสี่ยวหรั่นซึ่งสวมเพียงเสื้อยืดแขนสั้นก็รู้สึกหนาวจนตัวสั่นแล้ว
ไม่ได้ ต้องรีบหาที่พักพิงโดยเร็ว
เดินมาได้ครู่หนึ่ง เซวียเสี่ยวหรั่นเหนื่อยมาก หาหินก้อนใหญ่นั่งพัก รื้อกล้วยน้ำว้าออกมาผลหนึ่ง ก่อนปอกเปลือกอย่างคล่องแคล่วแล้วกินเข้าไปคำใหญ่ โดยไม่สนใจว่ามันจะเละไปแล้วส่วนหนึ่ง
"อื้ม... ใช้ได้"
กัดเข้าไปสองสามคำ ในความเปรี้ยวยังมีความหวานเจืออยู่ รสชาติพอใช้ได้ ดีกว่าสาลี่ป่าเมื่อครู่นี้เป็ไหนๆ
เธอปอกกล้วยน้ำว้ากินรวดเดียวเข้าไปสามลูก ค่อยสบายท้องขึ้นมาหน่อย
จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินกลับต่อไป เธอจ้องมองเชิงเขาอันไกลโพ้นอย่างพินิจ ดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันกำลังเจิดจ้า มีแสงสว่างเพียงพอ สายตาของเธอก็ดีขึ้นมาก
เหลียนเซวียนคนนั้นมีาแติดตัว เดินไกลมากไม่ได้ เธอเองก็ไม่มีแรงแบกเขาไปได้ไกลนัก ดังนั้นจึงต้องหาที่พักละแวกใกล้ๆ
"ตรงนั้นใช่ถ้ำหรือเปล่านะ" เซวียเสี่ยวหรั่นชะโงกศีรษะหรี่ตาพยายามเพ่งมอง
บนเนินเตี้ยๆ มีไม้เลื้อยและวัชพืชประปราย ด้านหลังไม้เลื้อยเ่าั้มีถ้ำมืดแห่งหนึ่ง เนินแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากเชิงเขา พื้นที่ด้านหน้ายังนับว่าเป็ทางราบ เดินไม่ลำบากมาก
ดวงตะวันยามเที่ยงสาดส่องลงมาหน้าถ้ำ เห็นสภาพด้านในรางๆ เซวียเสี่ยวหรั่นดวงตาสว่างวาบ ก่อนเดินเข้าไปด้านใน
"เป็ถ้ำจริงๆ ด้วย"
เซวียเสี่ยวหรั่นเดินเข้าไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ภายในถ้ำกว้างราวสามสี่เมตร ความสูงกำลังพอเหมาะ ประมาณสองเมตร ปากถ้ำมีวัชพืชและพุ่มไม้เตี้ยปกคลุม มองดูรอบๆ เหมือนจะไม่มีร่องรอยสัตว์ป่าผ่านมาทางนี้
เธอเดินมาถึงปากถ้ำ ชะโงกมองลึกเข้าไป ไม่มีลมพัดผ่าน ยอดเยี่ยม ไม่ใช่ถ้ำที่มีลมพัดผ่านจากรอบด้าน
อาศัยแสงอาทิตย์ยามเที่ยงพิจารณาอย่างละเอียด กำแพงหินแห้งสนิทไม่มีตะไคร่น้ำ แสดงว่าในนั้นไม่ชื้นมาก ไม่เลว ่กลางคืนคงอากาศคงไม่ชื้นและหนาวมากนัก
ทั้งถ้ำกว้างเท่ากับห้องเรียนหนึ่งห้อง แต่ด้านในมีหินก้อนใหญ่หลายก้อนกระจัดกระจายอยู่ มีแง่หินยื่นออกมาจากกำแพง ทำให้พื้นที่ใช้สอยหดหายไปกว่าครึ่ง เหลือที่ใช้ประโยชน์ได้ไม่มาก
แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แค่ข้างในไม่มีงูเงี้ยวเขี้ยวขอก็เหมาะสำหรับพักอาศัยชั่วคราว
"ปั่กๆ" เซวียเสี่ยวหรั่นยืนหลบหน้าปากถ้ำ แล้วโยนหินหลายก้อนเข้าไปข้างใน ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย
เซวียเสี่ยวหรั่นพรูหายใจอย่างโล่งอก ขยับข้อมือเล็กน้อย ถือกระป๋องสเปรย์ไว้ในมือ เครียดจนกล้ามเนื้อหดเกร็งรู้สึกเมื่อยล้า
สเปรย์น้ำในมือของเธอบรรจุของเหลวสีแดงสดขนาดแปดสิบมิลลิลิตร นี่คือสเปรย์พริกที่เธอทำขึ้นเองสำหรับป้องกันตัว
นับั้แ่ขึ้นเทอมปลาย เซวียเสี่ยวหรั่นมักกลับหอมืดค่ำ เคยถูกพวกขี้เมาทำร้ายจนขวัญหนีดีฝ่อมาครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นเธอจึงค้นหาวิธีทำสเปรย์พริกป้องกันตัวจากอินเทอร์เน็ต ตอนออกจากบ้านก็มักพกติดกระเป๋าไว้เสมอ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด
เธอเคยลองใช้สเปรย์พริกแบบนี้มาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อครึ่งปีก่อน เมื่อสองเดือนก่อนรู้สึกว่ามันอาจหมดอายุ จึงเอามาลองทดสอบดูอีกครั้ง แต่ก็น่าจะยังใช้ได้อยู่นะ
แม้ไม่เคยใช้จัดการกับคนมาก่อน แต่เอามาใช้กับสัตว์ เธอคิดว่าผลลัพธ์น่าจะไม่เลว สัตว์ส่วนใหญ่มีประสาทััไวมาก หากสูดกลิ่นเผ็ดร้อนฉุนแสบจมูกแบบนี้เข้าไป แม้แต่ล่าถอยสุดตัวยังต้องเลิกฝัน
เธอเขย่าของเหลวที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งในกระป๋อง ในนั้นคือผงพริกไทยที่เผ็ดที่สุดกับสุราที่ซื้อมาจากตลาดเอามาผสมกัน แล้วยังเพิ่มน้ำมันมัสตาร์ดลงไปอีกด้วย เธอเคยทดสอบประสิทธิภาพของมันด้วยตัวเองมาแล้ว เพียงสูดกลิ่นที่ล่องลอยในอากาศเพียงนิดเดียว น้ำมูกน้ำตาก็ไหลเป็วรรคเป็เวร ต้องลำบากล้างหน้าอยู่เป็ครึ่งค่อนวัน ดวงตาก็ยังบวมเป่งเป็ลูกท้อ ถือว่าได้ผลดีเยี่ยม
ของเล่นชิ้นนี้นับว่าเป็ยันต์คุ้มภัยในป่าใหญ่ให้เธอได้เป็อย่างดี ต้องใช้ถนอมหน่อย
เซวียเสี่ยวหรั่นย่างเท้าเข้าไปในถ้ำอย่างช้าๆ ในมือถือสเปรย์พริกอย่างระมัดระวัง
ด้านในมีวัชพืชกับกรวดหินกระจัดกระจาย ด้านขวามีพื้นราบค่อนข้างกว้าง แต่มีแผ่นหินขนาดใหญ่เว้าเป็แอ่งตรงกลาง ความกว้างขนาดเท่าเตียงขนาดหนึ่งเมตรครึ่งสองแผ่น
"อื้ม ตรงนี้ใช้เป็เตียงได้ แม้ว่าอาจจะเจ็บหลังหน่อยก็ตาม"
เธอย่องเข้าไปมองสำรวจ ด้านข้างยังมีหินก้อนใหญ่รูปสามเหลี่ยมที่สูงกว่าเธอ เข้าไปอีก เป็ก้อนหินไม่ใหญ่มากสองสามก้อนตั้งเรียงราย ขนาดเล็กกว่าหินรูปสามเหลี่ยมนิดหน่อย กองหินปิดกั้นตำแหน่งตรงกลางไว้ ด้านหลังยังมีที่พื้นที่ว่าง ต้องอ้อมกองหินเหล่านี้ถึงจะเข้าไปได้
เซวียเสี่ยวหรั่นก้าวเข้าไปด้านใน แสงในนั้นค่อนข้างมืดสลัว เธอหรี่ตามองก็พบว่าไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด
"เอาล่ะ งั้นก็เป็ที่นี่แหละ"
เซวียเสี่ยวหรั่นฉีกยิ้มกว้างเดินออกจากถ้ำ แสงแดดจ้าแยงตาจนต้องหรี่ตาลง
อารมณ์หมดอาลัยตายอยากก่อนหน้านี้ไม่เหลืออยู่แล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นเป็คนสดใสร่าเริง มองโลกในแง่ดี ความโศกเศร้าเสียใจเมื่อผ่านไปแล้วก็จะไม่เก็บเอาไว้ในอก
คนต้องอยู่ต่อไป ชีวิตต้องมองไปข้างหน้าไม่ใช่หรือ
"เหลียนเซวียน"
เซวียเสี่ยวหรั่นสาวเท้าเร็วรี่วิ่งกลับไปยังริมแม่น้ำ
เห็นเหลียนเซวียนนั่งพิงโขดหินอยู่ไกลๆ เธอะโเรียกเขา ก่อนวิ่งอย่างด่วนจี๋เข้าไปหา
"มีอะไรจะบอก ฉันนี่มันโชคดีเป็บ้า เมื่อครู่ เอ๋? กรี๊ด...."
เสียงแหลมบาดหูทำลายความเงียบงันของพงไพร