ฉีอันอาศัย่พระอาทิตย์กำลังจะตกดินฝึกยืนท่านั่งม้า [1] อยู่กลางสวน เฉียวเยว่นั่งเท้าคางมองอยู่ด้านข้าง "เ้าทำท่านี้เป็เพียงการฝึกกำลังขา ไม่ใช่แขนเสียหน่อย ฝึกผิดที่แล้ว"
"พี่จื้อรุ่ยบอกว่าท่านี้มีประโยชน์" ฉีอันตอบอย่างจริงจัง
เฉียวเยว่ใช้น้ำเสียงประชด "เ้าช่างเชื่อฟังเขาจริงๆ"
จื้อรุ่ยยืนอยู่ไม่ไกล เขาเม้มริมฝีปาก น้ำเสียงไม่มีสูงต่ำ "ฟังข้าแล้วมีปัญหาอันใด?"
เฉียวเยว่หมุนตัวกลับมาอย่างช้าๆ หลังจากนั้นดวงหน้าก็ยิ้มกระจ่างพร่างพราย แลดูใสซื่อไร้พิษภัย "ฟังท่านย่อมถูกต้องแล้ว"
กลับลำได้อย่างหมดจด ฉีอันหลุดสมาธิ ะเิเสียงหัวเราะดังลั่น "ซูเฉียวเยว่ เ้าเสแสร้งเก่งเกินไปแล้ว"
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ ประหนึ่งว่าตนเองคือผู้บริสุทธิ์ นางประสานมือทั้งสองอย่างมีมารยาท เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม "เหตุใดพี่จื้อรุ่ยถึงมาเวลานี้เล่า ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว หากถึงเวลาห้ามออกจากเคหสถานจะยุ่งนะเ้าคะ"
ิ่จื้อรุ่ยเงยหน้ามอง "ฟ้าจะยังไม่มืดภายในครึ่งชั่วยามนี้ ต่อให้อีกหนึ่งชั่วยามก็ยังไม่ถึง่เวลาห้ามออกจากบ้าน"
เฉียวเยว่รู้สึกสงสารตัวเอง เหตุใดข้างกายนางถึงมีแต่คนคุยไม่เป็ พูดจาต้อนคนจนชิดกำแพงเช่นนี้ดีจริงหรือ?"
แต่ซูเฉียวเยว่ไหนเลยจะยอมแพ้ นางยังคงยิ้มอ่อนจาง "เช่นนั้นพี่จื้อรุ่ยมาทำอันใดเล่า?"
ิ่จื้อรุ่ยทอดถอนใจ แม่นางน้อยคนนี้ช่างเป็นางฟ้าจอมปลอมเสียจริงๆ
ทุกคราที่อยู่ต่อหน้าเขามักจะพี่จื้อรุ่ยอย่างนั้น พี่จื้อรุ่ยอย่างนี้ ทำตัวเป็แม่หนูน้อยอ่อนหวาน น่ารักไร้พิษสง แต่พอไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเขา ก็จะพูดว่าร้ายออกมาโดยตรง แม่นางน้อยเดี๋ยวนี้เห็นแต่เื่ผลประโยชน์ทั้งนั้นเลยหรือ น่าเหนื่อยใจยิ่งนัก
เขารู้สึกว่าตนเองยังคงไม่เข้าใจ "สตรี" อยู่ดี ขึ้นชื่อว่าเป็สตรี ไม่ว่าจะผู้ใหญ่หรือเด็กล้วนแต่แปลกประหลาด
"ข้ามาหาฉีอัน การพายเรือัต้องอาศัยทักษะความเชี่ยวชาญ ข้าจะแนะนำเขาให้มากขึ้น เขาจะได้ไม่าเ็ ทุกปีมักมีคนพายเรือัได้รับาเ็หลังแข่งเสร็จ"
เฉียวเยว่พยักหน้าต่อเนื่องกันอย่างเข้าใจ "กล้ามเนื้อตึง"
การออกแรงมากอย่างเฉียบพลันจะทำให้ฉีอันเกิดอาการาเ็ได้ง่าย จุดนี้เฉียวเยว่เข้าใจดี
เดิมทีจื้อรุ่ยคิดว่านางพูดส่งเดช แต่ไม่นึกว่าจะรู้จริง เขาพยักหน้า "ใช่ จะปวดตึง"
"ขอบคุณพี่จื้อรุ่ยเ้าค่ะ ที่มาชี้แนะให้ฉีอัน เช่นนั้นพวกท่านก็ฝึกกันเถอะ ข้ากลับห้องก่อน"
แม้พวกเขาจะเริ่มโตขึ้น แต่เฉียวเยว่กับฉีอันยังคุ้นเคยกับการใช้ห้องหนังสือส่วนกลางร่วมกัน ข้าวของจุกจิกสารพัดของนางล้วนกองอยู่ที่นั่น ตอนนี้นางใช้เวลาในห้องหนังสือมากขึ้นทุกวัน
แท้จริงแล้วเฉียวเยว่ก็ไม่ถึงขนาดเป็คนที่บ้าอ่านตำรา แต่ยุคสมัยนี้ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ สิ่งที่นางทำได้มีเพียงอ่านตำรา เขียนอักษร วาดภาพ มิเช่นนั้นจะทำอันใด จะให้เข้านอนทันทีที่ฟ้ามืดหรือ?
จะว่าไป นางเคยแอบสงสัยว่าสาเหตุที่คนโบราณมีบุตรกันเยอะๆ เพราะไม่มีกิจกรรมบันเทิงให้ผ่อนคลาย พอฟ้ามืดก็เข้านอน จะมีสิ่งใดทำได้อีกนอกจากกิจกรรมเพิ่มจำนวนประชากร
เผลอแวบเดียวรถไฟขบวนเล็กก็นำพาความคิดแล่นผ่านเข้ามาในสมอง นางสะบัดศีรษะขับไล่เื่ไร้แก่นสารออกไป
จนกระทั่งวาดภาพเสร็จ ก็เห็นฉีอันเหงื่อซ่กเดินเข้ามาในห้อง "เป็อย่างไร?"
ฉีอันพยักหน้า "พอไหว พรุ่งนี้เ้าจะกลับช้าหน่อยใช่หรือไม่ ต้องให้ข้าไปช่วยหรือเปล่า?"
เขาเช็ดเหงื่อ ไม่มีสิ่งใดน่าหนักใจ
เฉียวเยว่เงยหน้ามองแล้วถามว่า "เ้าคิดว่าอาจารย์จะรับปากหรือ?"
ฉีอันหัวเราะ "ที่จริงไม่เห็นจะเป็ไรเลย ข้าว่าอาจารย์มักคิดมากเกินไป ลูกวัวแบเบาะเพิ่งคลอด ก็อยากให้มันเติบโตไวๆ จะได้คลอดลูกวัวออกมาอีกหลายๆ ตัว ย้ำคิดย้ำทำเกินไป ไม่แปลกที่แต่ละคนล้วนแก่เร็ว"
"ข้าว่านะ หนุ่มน้อย ความคิดของเ้าอันตรายมาก!" เฉียวเยว่ค่อนแคะ
อาจเป็เพราะเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม เสียงของฉีอันจึงแหบพร่าเล็กน้อย แต่เฉียวเยว่ได้ยินจนชินแล้ว "พรุ่งนี้เ้ากลับมาก่อนเถอะ ไม่ต้องรอข้า แม้จะบอกว่าอยู่ต่ออีกหนึ่งชั่วยาม แต่ไม่รู้ว่าถึงเวลาจริงๆ จะตรงเวลาหรือเปล่า"
ฉีอันไม่ยอม "เช่นนั้นข้าจะรอเ้าที่กั๋วจื่อเจียน เ้าไม่ต้องมาหาข้า ข้าจะออกไปตามเวลา"
เฉียวเยว่ยักไหล่บอกว่าแล้วแต่ นางยกมือเท้าคางมองฉีอันอย่างพินิจ แล้วถอนหายใจ "เ้าว่าหรือไม่ พวกเราเป็แฝดกันชัดๆ เหตุใดนับวันถึงยิ่งไม่เหมือนกันแล้วเล่า?"
ฉีอันนิ่งไปสักพักก็ถามว่า "เ้าคิดว่าระหว่างข้าหน้าตาเหมือนเ้า กับเ้าหน้าตาเหมือนข้าอย่างไหนดีกว่ากัน?"
เฉียวเยว่เห็นภาพผุดขึ้นในสมอง หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าทันที "เป็อย่างนี้แหละดีแล้ว"
สองพี่น้องขำพรืดหัวเราะเสียงดังออกมาพร้อมกัน
วันรุ่งขึ้นเฉียวเยว่รั้งอยู่สำนักศึกษาเพื่อเขียนอักษรหน้ากล่องรับบริจาค นางถือพู่กันและหมึกเดินตามอาจารย์หญิงท่านหนึ่งไป
ยังมีคนเดินไปด้วยกันอีกเจ็ดคน รวมทั้งสิ้นแปดคน
นางต้องเขียนอักษรใส่กระดาษแล้วนำไปแปะบนกล่องรับบริจาค อาจารย์หญิงมอบหมายเสร็จเรียบร้อยก็ชี้ให้เฉียวเยว่มาเขียน หลังจากนั้นก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ "ถูกต้อง พวกเ้าเขียนให้ได้ขนาดตามนี้"
ที่พวกนางมีตัวอย่างอยู่สามสี่แผ่น ทุกคนเพียงแค่เขียนตามก็ใช้ได้แล้ว
"เฉียวเยว่ เ้าว่าพวกเราใช้สิ่งใดเป็เกณฑ์ในการแบ่งกลุ่ม ข้าคิดมาั้แ่เมื่อวานก็ยังไม่เข้าใจ"
นางขบคิดไปก็พูดไป น่าแปลกจริงๆ หากบอกว่าใช้ผลการเรียนเป็ตัวกำหนดก็ไม่น่าจะใช่ ผลการเรียนของนางแค่ระดับปานกลาง ซ้ำยังมีคนที่อาศัยเส้นสายเข้ามาอีกคน
หากบอกว่าลักษณะการเขียนอักษรเป็แบบเดียวกันก็ไม่ใช่อีก สรุปแล้วก็น่าแปลกมาก
"แบบอักษร"
เฉียวเยว่เริ่มลงพู่กันแล้ว นางไม่เงยหน้าขึ้น "แบ่งตามแบบอักษร" นางกล่าวเสียงเรียบ
โม่หลันส่ายหน้า "ไม่ใช่ แบบอักษรของพวกเราก็ต่างกัน มันน่าแปลกจริงๆ อีกอย่างหากบอกว่าลายมือดี ข้าคิดว่าลายมือของหูซินซินก็สวยมาก แต่กลับไม่ได้รับคัดเลือก เ้าว่าแปลกไหมเล่า?"
เฉียวเยว่ยิ้มมุมปาก "ก็เพราะพวกเราลายมือระดับปานกลาง เ้าว่าอักษรของพวกเรา หากไม่บอกว่าใครเป็คนเขียน จะมองออกหรือไม่ว่าเป็ลายมือของบุรุษหรือสตรี?"
ไม่เพียงแต่โม่หลัน คนอื่นๆ ต่างก็มองอักษรของตนเองแล้วชะเง้อไปมองของคนอื่น
หลังจากนั้นก็มีคนถอนหายใจ "เป็อย่างที่ว่าจริงเสียด้วย"
โม่หลัน "แล้วเพราะเหตุใดกันเล่า?"
นางไม่เข้าใจ
เฉียวเยว่ก็ไม่เข้าใจ แต่พอจะคาดเดาได้ นางเอ่ยเสียงเบา "หากให้ดูออกว่าศิษย์หญิงจากสำนักศึกษาสตรีเป็ผู้เขียนทั้งหมดก็คงไม่ค่อยดีกระมัง นอกจากนี้ยังมีคำขวัญเชิญชวนที่นำไปติดตามที่ต่างๆ เ่าั้อีก หากถูกคนคิดไม่ซื่อเก็บไปต้องแย่แน่ๆ"
โม่หลันตระหนักได้ทันที รู้สึกว่ามีเหตุผล นางถอนหายใจ "เ้านี่ใช้ได้เลย ช่างสังเกตรอบคอบดียิ่ง"
แท้จริงแล้วเฉียวเยว่ไม่ได้สังเกตอะไรมากมาย "ข้าดูจากกล่องสองสามใบที่ทำไว้เมื่อก่อนถึงนึกได้"
อักษรลายมือศิษย์พี่ของพวกนางก็มองไม่ออกว่าเป็ของชายหรือหญิง
ลายมือของคนส่วนใหญ่มักได้รับอิทธิพลมาจากอาจารย์ผู้สอน หลายครอบครัวมักเชิญสตรียากจนที่เคยเรียนหนังสือมาสอนบุตรสาว เพื่อให้มีลายมือที่สวยงามั้แ่ยังเล็ก
แต่เฉียวเยว่มีซูซานหลางเป็ผู้สอนมาั้แ่เล็ก ด้วยเหตุนี้อักษรของนางจึงค่อนข้างทรงพลัง แต่เมื่อเทียบกับอักษรที่มีความหนาและหยาบของบุรุษจริงๆ ย่อมไม่ให้ความรู้สึกว่าเป็ลายมือของบุรุษ แต่เมื่อเอาไปวางเทียบกับอักษรตัวเล็กเป็ระเบียบของสตรีก็ไม่ให้ความรู้สึกว่าคล้ายเป็ลายมือสตรีมากนัก
เสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังขึ้น เหล่าแม่นางน้อยต่างหุบปากไม่คุยกันอีก ตั้งอกตั้งใจเขียนอักษร
ผู้ที่เดินเข้ามาคืออาจารย์ใหญ่ ส่วนคนที่ตามมาด้านหลังก็คืออวี้อ๋อง ทุกคนต่างตัวสั่น แล้วพากันก้มหน้า ไม่ให้ใครััได้ว่าตนเองอยู่ที่นี่
แต่เฉียวเยว่ยังคงยิ้มอย่างสงบเสงี่ยม
"ครานี้อวี้อ๋องทรงรับหน้าที่เป็ผู้ดูแลกิจกรรมระดมทุนเพื่อการกุศลของงานร้อยบุปผาและแข่งเรือั จึงเสด็จมาดูความเรียบร้อยของพวกเ้า" อาจารย์ใหญ่กล่าว
หรงจ้านเข้ามาดูอักษรของศิษย์หญิงที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วหัวเราะหึๆ "อัปลักษณ์จริงๆ"
เฉียวเยว่ "..."
เขามองมาที่เฉียวเยว่ แล้วก็พูดอีกว่า "อัปลักษณ์จริงๆ"
คนก่อนหน้าว่าอักษรอัปลักษณ์ แต่คนนี้บอกว่าคนอัปลักษณ์
สวมใส่ "ชุดนักเรียน" แบบนี้จะสวยได้แค่ไหนกันเชียว เฉียวเยว่รู้สึกว่าเขาตั้งใจมาหาเื่มากกว่า
นางขบกรามกรอด อดทนไว้
นางพยายามฝืนฉีกยิ้มแบบผิวเผินไม่ถึงเนื้อใน "ศิษย์โง่เขลาอัปลักษณ์ มิกล้าทำให้ท่านระคายสายตา"
หลังจากนั้นก็ก้มหน้าเขียนอักษรต่อ เพียงแต่ลงพู่กันหนักขึ้นกว่าเดิมมาก นางก้มศีรษะ ดวงตาดำขลับแทบจะลุกเป็ไฟ คนผู้นี้หาเื่ติเตียนไม่หยุดหย่อนจริงๆ
อาจเป็เพราะความน่าเกรงขามของอวี้อ๋อง ทำให้โม่หลันเขียนอักษรพลาดไป นางรีบเก็บด้วยท่าทางตกประหม่า เปลี่ยนเป็กระดาษแผ่นใหม่แล้วค่อยเขียนต่อ
"สิ้นเปลือง" หรงจ้านเอ่ยปากอีก
เฉียวเยว่ค่อนแคะในใจ นอกจากสองคำนี้พูดอย่างอื่นไม่เป็แล้วใช่หรือไม่
อาจารย์ใหญ่เห็นแม่นางน้อยแต่ละคนต่างตัวสั่น ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนแฝงแววขบขัน "ท่านอ๋อง ไม่สู้..."
เขายังไม่ทันพูดจบ อวี้อ๋องก็หันมา "ซื่อผิง ไปเอาของกินที่ข้าซื้อมาเป็รางวัลให้กับทุกคนเถอะ"
หลังจากนั้นก็มองไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่ง "ข้ามาคุมงาน"
อาจารย์ใหญ่ "..."
เฉียวเยว่รู้สึกคันเหงือกยุบยิบ อยากจะกัดใครบางคน
หากนางยังเป็ซาลาเปาน้อยเหมือนตอนนั้น จะกัดคนผู้นี้ให้ตายไปเลย
เขาก้มมองเก้าอี้ แล้วมุ่นคิ้วบ่นอย่างรังเกียจ "สำนักศึกษาสตรีไม่รักษาสุขอนามัยเลยจริงๆ"
เมื่อเกิดความรู้สึกเช่นนี้ ก็ล้วงผ้าออกมาแล้วเริ่มเช็ด ไม่รู้ว่าเช็ดไปนานเท่าไรแต่สุดท้ายก็นั่งลง หลังจากนี้ก็เอ่ยอะไรอีก มุมปากของอาจารย์ใหญ่เริ่มกระตุก
เฉียวเยว่รู้สึกอยู่ลึกๆ หากเป็ไปได้ อาจารย์ใหญ่ก็คงอยากปาไข่เน่าใส่หน้าคนผู้นี้เช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าความคิดนี้เกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ก่อนจะหายแวบไปเมื่อเห็นเกาลัดคั่วน้ำตาล
อันที่จริง แม้จะปากร้ายหน่อย ไร้เหตุผลเล็กน้อย รักความสะอาดไปบ้างก็ไม่เห็นเป็ไร
ท่านจะรังเกียจรังงอนข้าอย่างไรก็ได้ แค่เอาของกินมาให้ก็พอ
"ข้าผู้นี้เป็คนจิตใจดี เอาของกินมาฝากพวกเ้าด้วย"
หลังจากนั้นก็เสริมอีกว่า "ไม่ต้องส่งไปให้กลุ่มที่ทำกล่อง ข้าว่าพวกนางคงไม่กล้ากินเพราะกลัวข้าวางยาพิษ จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลือง"
"ท่านอ๋อง พวกนางล้วนแต่ยังเยาว์ หากท่านรั้งอยู่ที่นี่ พวกนางคงตกประหม่าไม่อาจเขียนให้ดีได้" อาจารย์ใหญ่เกลี้ยกล่อม
หรงจ้านเลิกคิ้วเผยแววฉงนบนดวงหน้าที่เกลี้ยงเกลาผิดปรกติ หลังจากนั้นก็เอ่ยเหมือนเป็การสั่งสอน "ข้าคิดว่าหากแม้แต่เื่เล็กน้อยแค่นี้ยังมีผลกระทบ โตไปคงไม่อาจประสบความสำเร็จอันใดได้"
เฉียวเยว่เห็นอาจารย์ใหญ่แทบเป็ลมอยู่รอมร่อ คิดแล้วก็เอ่ยปากว่า "พวกเราพักผ่อนสักครู่ได้หรือไม่เ้าคะอาจารย์ใหญ่ จะได้กินเกาลัดพอดี พวกเราจะผิดต่อความหวังดีของท่านอ๋องอวี้มิได้นะเ้าคะ"
ดวงหน้าน้อยของเฉียวเยว่แสดงความจริงใจเป็ที่สุด
อาจารย์ใหญ่มองเกาลัดถุงใหญ่ แล้วก็มองอวี้อ๋อง หลังจากนั้นสายตาก็ไปอยู่ที่ตัวเฉียวเยว่
ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกว่านี่เป็ของที่อวี้อ๋องตั้งใจซื้อมาให้เฉียวเยว่โดยเฉพาะ
"กินเสร็จยิ่งเขียนได้เร็วขึ้น" เฉียวเยว่ทำสีหน้าจริงจัง
อาจารย์ใหญ่ "กินเถอะ กินเถอะ"
มุมปากของเฉียวเยว่โค้งขึ้น ลักยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่บนมุมปากเพิ่มความน่ารักขึ้นอีกหลายส่วน
นางเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก ไม่ช้าก็แกะเสร็จสามเม็ด แล้วยื่นมือออกไป "อาจารย์ใหญ่ ลองชิมสิเ้าคะ นี่ต้องเป็ของร้านจ้าวจี้ที่ตอนใต้ของเมืองเป็แน่ เกาลัดคั่วของร้านเขาดีที่สุด ทั้งหวานทั้งหอม"
ขณะที่อาจารย์ใหญ่กำลังจะเอ่ยวาจา พลันรู้สึกได้ถึงสายตาเยียบเย็นคู่หนึ่ง พอมองออกไป ก็เห็นอวี้อ๋องจดจ้องเกาลัดในมือของซูเฉียวเยว่ตาไม่กะพริบ
อาจารย์ใหญ่รู้สึกว่าในที่สุดเขาก็พบที่ของตนเองแล้ว จึงยื่นมือออกไปรับ "ขอบใจเ้ามาก"
เฉียวเยว่ยิ้มตอบกลับไป "ไม่ต้องเกรงใจเ้าค่ะ"
อวี้อ๋องยิ้มมุมปาก หัวเราะหึๆ "อร่อย... หรือไม่?"
...
[1] ท่านั่งม้า คือการยืนที่มีลักษณะเหมือนการนั่งบนหลังม้า ลักษณะเป็การยืนแยกขาทั้งสองแล้วย่อเข่าลงเล็กน้อย หย่อนก้นคล้ายทรุดนั่งลง แต่ไม่ให้ก้นต่ำเกินเข่า ขณะนั่งต้องระวังไม่ให้เข่าโย้ไปด้านหน้า ยืนให้เข่าและขาอยู่นิ่ง อาจต้องแขม่วท้องเล็กน้อย จัดให้หลังตรง ค่อยๆ คลายท้อง โดยไม่เปลี่ยนท่าการยืนหรือยื่นก้นออกไป ศีรษะและหลังตั้งตรง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้