อู๋เหว่ยคงนึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่เพิ่งผ่านไปก็คือคนที่เข่นฆ่าคนตระกูลอู๋เขา และชิงเรือรบอินทนิลทองคำ
หลังจากอู๋เหว่ยออกไป เย่เฟิงก็รุดไปยังเมืองลอยฟ้าเพื่อสมทบกับกงซุนหลิงเอ๋อร์
“ตาบ้า ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกันต่อดี?”
ณ สถานที่ลับบางแห่งนอกเมืองลอยฟ้า เมื่อกงซุนหลิงเอ๋อร์และเย่เฟิงมารวมตัวกัน นางก็ถามเย่เฟิงเช่นนั้นทันที
ตอนนี้ทั้งสองคนได้ก่อปัญหาใหญ่ในเมืองลอยฟ้า ตระกูลอู๋ออกตามล่าพวกเขาสองคน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้กงซุนหลิงเอ๋อร์จึงไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะไปไหนและทำอย่างไรดี
“แน่นอนว่าย้อนกลับไปที่เมืองลอยฟ้า เพราะเรายังตามหาหญ้าหนวดัไม่พบ” เย่เฟิงตอบกลับอย่างไม่ลังเล เขาไม่มีทางลืมจุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ เพราะว่าเฒ่าจิงกำลังรอหญ้าหนวดัเพื่อทำการรักษาอาการ
“ตอนนี้ตระกูลอู๋หมายหัวเราสองคน หากกลับไปเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย?” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวด้วยความกังวลใจ ไม่ใช่ว่านางหวาดกลัว เพียงแต่รู้สึกว่าหากย้อนกลับไปอาจติดกับดักเสียเอง
“ที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด เชื่อข้า พวกเราย้อนกลับไปกันเถอะ”
ดวงตาของเย่เฟิงฉายแววความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ต่อจากนั้นพวกเขาปลอมตัวและเข้าไปในเมืองลอยฟ้า
เมืองลอยฟ้ายังคงเป็เช่นเดิม ตามท้องถนนก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งยังมีผู้แข็งแกร่งปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เห็นได้ชัดว่าคนเ่าั้เป็คนของตระกูลอู๋ แต่ว่าพวกเย่เฟิงปกปิดกลิ่นอายของตน คนธรรมดาจึงยากที่จะมองตัวตนของพวกเขาออก
ถึงอย่างไรตระกูลอู๋ก็ไม่ใช่กองกำลังใหญ่เฉกเช่นจวนเ้าเมือง จึงไม่สามารถปิดเมืองเพื่อตรวจสอบทุก ๆ คนได้ ดังนั้นพวกเย่เฟิงจึงหลบสายตาของคนเ่าั้ได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะไปตามหาโรงเตี๊ยมที่อยู่ค่อนข้างห่างไกล
จากนั้นทั้งสองคนอยู่ในโรงเตี๊ยมไม่ออกไปไหนสองวันติด จนกระทั่งวันที่สาม เย่เฟิงออกมาคนเดียว เขาไปที่ตลาดแห่งหนึ่งเพียงแค่ซื้อของที่ดูเหมือนไร้ค่า ก่อนจะออกไปจากตรงนั้นทันที
สิ่งของเหล่านี้ก็คือ “หนังสัตว์หินผาทองคำขนาดเล็ก ชะมดสามตัว บัวหิมะสองต้น รวมถึงวัตถุดิบอีกบางส่วน”
เย่เฟิงไปตลาดที่ไม่ค่อยมีคนเพ่นพ่าน ทำให้ไม่มีใครสนใจเขาเลยสักนิด
เมื่อออกจากตลาด ด้วยพลังจิตอันแกร่งกล้าของเย่เฟิง เขาััได้ทันทีว่ามีคนกำลังจ้องมองเขา แต่คนเหล่านี้กลับไม่คิดจะปรากฏตัว เพียงสะกดรอยตามเขาไปถึงโรงเตี๊ยมก็เท่านั้น พวกเขาอาจจะสงสัยเย่เฟิง คนเหล่านี้จึงเฝ้ารออยู่ที่นอกโรงเตี๊ยม เพื่อรอคอยเย่เฟิงออกมาข้างนอก
เมื่อเย่เฟิงไม่ออกจากโรงเตี๊ยมสองวันติด คนเหล่านี้จึงร้อนใจ มิหนำซ้ำยังได้ยินคนคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ลูกพี่ เด็กคนนี้เข้าไปก็ไม่ได้ออกมาอีก หรือว่าจะหนีไปแล้ว?”
ซึ่งโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็อีกหนึ่งธุรกิจของกองกำลังทรงอิทธิพลแห่งเมืองลอยฟ้า ดังนั้นคนเหล่านี้จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไป แต่คนของพวกเขากลับปิดทางเข้าออกของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไว้แล้ว ต่อให้มีแมลงเล็ดลอดออกจากโรงเตี๊ยม พวกเขาก็ต้องพบเห็น
“เป็ไปไม่ได้ โรงเตี๊ยมอยู่ในการควบคุมของพวกเรา ไม่มีใครหน้าไหนเล็ดลอดไปจากสายตาของพวกเราได้!”
ผู้เป็หัวหน้ากล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่ขณะที่เขาพูดก็ได้มีสองเงาร่างเดินออกจากโรงเตี๊ยม คนหนึ่งเป็ชายหนุ่มขี้โรค ทั้งยังมีหญิงสาวหน้าตาธรรมดาติดตามอยู่ข้างกาย สองคนนี้ดูไม่โดดเด่นเท่าไร ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์หัวหน้าคนนั้นส่ายหัวเล็กน้อย เพราะดูจากลักษณะภายนอกของสองคนนี้ก็ทำให้ตัดสินใจได้ว่าไม่ใช่คนที่พวกเขาตามหา
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนใจและปล่อยอีกฝ่ายไป สองคนนี้เดินออกจากโรงเตี๊ยมอย่างสง่าผ่าเผย ไร้ซึ่งคนสนใจ แต่หารู้ไม่ว่าสองคนนี้ก็คือเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์ที่พวกเขากำลังตามหาอยู่
การปลอมตัวครั้งนี้เป็การปลอมตัวอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะไม่ใช่เป็การแต่งตัวทั่ว ๆ ไป แต่เป็การใช้หน้ากากมนุษย์ที่ทำให้ทั้งสองคนปลอมตัวได้อย่างแยบยล ขณะเดียวกันทั้งสองคนยังปกปิดกลิ่นอายที่แท้จริงของตนเอง ทำให้เปลี่ยนไปเป็คนละคน
ที่แท้เย่เฟิงไปตลาด ทำการซื้อวัตถุดิบเ่าั้ก็เพื่อนำมาทำหน้ากากมนุษย์ จากนั้นเย่เฟิงใช้เวลาสร้างมันสองวันเต็ม หนึ่งอันให้เขาและอีกหนึ่งอันให้กงซุนหลิงเอ๋อร์ แน่นอนว่าเขาเรียนรู้วิธีมาจากราชันมารชื่อเทียน นี่ทำให้เย่เฟิงรู้สึกโชคดีที่ทำพันธะโลหิตกับราชันมารชื่อเทียน
หน้ากากมนุษย์สองอันนี้ไม่เพียงแต่เสมือนจริง แต่ยังมีคุณสมบัติปิดกั้นการตรวจสอบจากพลังจิตของผู้อื่น และมีลวดลายเทวะสลักอยู่บนนั้นที่ไว้ใช้ซ่อนกลิ่นอาย ดังนั้นเมื่อสวมใส่หน้ากากมนุษย์ ต่อให้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะก็มิอาจตรวจสอบตัวตนจริงของพวกเย่เฟิงได้ เท่ากับว่าพวกเย่เฟิงเดินอยู่ในเมืองลอยฟ้าด้วยตัวตนใหม่
วังหลวง ณ อาณาจักรจ้าว องค์าาจ้าวนั่งอยู่บนบัลลังก์ั สีหน้าของเขานั้นดูเปล่งประกาย เขาได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“เย่เฟิงคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ !” องค์าาพึมพำขณะลูบเคราตน พร้อมใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม เมื่อดูไปดูมาสีหน้าของเขาในเวลานี้ผ่องใสผิดกับก่อนหน้านี้ ไร้ซึ่งอาการเจ็บป่วยใด ๆ กระทั่งฟื้นคืนกลับมาเหมือนกับสภาพเมื่อสามปีก่อน
องค์าาััได้ว่าพลังทมิฬที่อยู่ร่างกายของตนค่อย ๆ ถูกขจัดไปด้วยความช่วยเหลือจากยาของเย่เฟิง หากเป็เช่นนี้ต่อไปอาการาเ็ของเขาจะหายเป็ปลิดทิ้ง
ความเปลี่ยนแปลงขององค์าาทำให้ผู้คนในวังต่างประหลาดใจกันอย่างมาก เพราะดูจากอาการขององค์าาก่อนหน้านี้ก็เหมือนมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน กระทั่งระยะนี้คนส่วนใหญ่คิดว่าองค์าาใกล้สิ้นอายุขัยแล้วด้วยซ้ำ แต่ไม่กี่วันมานี้องค์าาไม่เพียงแต่ไม่เจ็บไม่ป่วย แต่ยังดีขึ้นเรื่อย ๆ
นี่ทำให้ผู้คนจำนวนมากใ จึงเริ่มสงสัยว่าอะไรกันที่ทำให้องค์าาหายจากอาการป่วยที่เป็มาหลายปี ผู้อื่นไม่ทราบ แต่ทูตผู้ไปรับยาที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนแทนองค์าารู้ดีกว่าใครว่าเหตุใดองค์าาถึงอาการดีขึ้น ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังใอยู่ดี เพราะก่อนหน้านี้เขาไม่คาดคิดว่าเด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึง 17 ปีจะสามารถทำในสิ่งที่หมอผู้เลื่องชื่อคนอื่น ๆ ทำไม่ได้ เื่ทั้งหมดช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
บนถนนสายหนึ่งในเมืองลอยฟ้า เย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์ตามหาหญ้าหนวดัมาหนึ่งวันเต็ม ๆ พวกเขาสอบถามข้อมูลที่เกี่ยวกับหญ้าหนวดัตลอด แต่กลับไร้ข่าวคราวใด ๆ นี่ทำให้เย่เฟิงกลุ้มใจ ถึงอย่างไรตอนที่เขากับกงซุนหลิงเอ๋อร์มาถึงก็ไม่แน่ใจว่าที่เมืองแห่งนี้จะมีหญ้าหนวดัหรือไม่
เกือบสองวันที่ผ่านมา ทั้งสองคนตามหาหญ้าหนวดัทุกตลาดในเมืองลอยฟ้า แต่ก็ไม่พบอะไรเลย หรือหมายความว่าที่เมืองลอยฟ้าจะไม่มีหญ้าหนวดัอยู่เลย?
ตอนที่เย่เฟิงเริ่มหมดความเชื่อมั่น จู่ ๆ มีหลายคนเดินมาทางนี้พร้อมพูดคุยด้วยท่าทีที่ตื่นเต้น ได้ยินผู้ฝึกยุทธ์หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “ทุกคน ได้ยินกันหรือยังว่าที่หอการค้าเทียนจี๋จะจัดงานประมูลในวันพรุ่งนี้ ไม่ทราบว่าทุกคนสนใจกันหรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจได้ของดี ๆ มาก็เป็ได้”
“ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ลือกันว่าจะมีของล้ำค่าหลายชิ้นปรากฏในงานประมูลครั้งนี้ ในนั้นรวมถึงจูกั่วหมื่นปี เกราะทองคำกิเลน และหญ้าหนวดัที่โตในพื้นที่นอกแดนชิงอวิ๋น” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนกล่าว
เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้นต่างก็เผยสีหน้าตื่นเต้น เพราะสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นพูดมาล้วนเป็ของล้ำค่าที่หาได้ยาก
จูกั่วหมื่นปีคือผลไม้สีแดงกึ่งเซียนในตำนาน มีสรรพคุณมากมาย หากผู้ฝึกยุทธ์ใช้มันจะไม่เพียงแต่เพิ่มพูนตบะ แต่ยังทำให้ร่างกายแกร่งขึ้นอีกด้วย เป็ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้ค่อนข้างยาก
เกราะทองคำกิเลนคือชุดเกราะป้องกันที่ทำจากเกล็ดของสัตว์อสูรกิเลน มีความสามารถในการป้องกันที่ทนทาน เมื่อผู้ฝึกยุทธ์สวมใส่เกราะทองคำกิเลน เขาจะสามารถทนทานต่อการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะได้โดยที่ไม่ตกตาย แม้จะเป็ตระกูลศัสตราวุธอย่างตระกูลอู๋แห่งเมืองลอยฟ้า แต่วัตถุดิบในการหลอมชุดเกราะระดับนี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดาจะคว้ามาได้
หญ้าหนวดันั้นเติบโตในสถานที่ที่เทพัร่วงโรย ตำนานเล่าว่าหนวดของเทพัสามารถผันแปรได้ เป็หญ้าิญญาที่ผสานด้วยปราณั แต่ว่าหญ้าหนวดัเป็วัตถุดิบที่หาได้ยาก ไม่ว่าจะหลอมเป็เม็ดยาหรือยารักษาก็ล้วนมีประสิทธิภาพเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะใช้กับผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นาาจะยิ่งเห็นผลอย่างชัดเจน อาจกล่าวได้ว่าหากมีหญ้าหนวดั นั่นเท่ากับว่าได้รับชีวิตที่สอง ดังนั้นยาศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงอานุภาพเช่นนี้ใครเล่าจะไม่อยากได้?
แม้จะเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะ พวกเขาก็ยังสนใจหญ้าหนวดัเป็อย่างมาก
“ไม่นึกว่าของล้ำค่าสามชิ้นนี้จะถูกนำมาประมูลในงานนี้ เห็นทีงานประมูลครั้งนี้คงจะดึงดูดผู้ฝึกยุทธ์ทั่วแดนชิงอวิ๋นมามากมาย พรุ่งนี้จะต้องมีคนจำนวนมากหลั่งไหลมาที่เมืองลอยฟ้า!” คนผู้หนึ่งกล่าวด้วยความตื่นเต้น แม้เมืองลอยฟ้าจะเจริญรุ่งเรือง แต่นานแล้วที่ไม่มีงานประมูลระดับเช่นนี้
“มีผู้ฝึกยุทธ์มาจำนวนมาก สมบัติระดับนี้คงมาไม่ถึงมือพวกเราหรอก”
เมื่อนึกถึงระดับความร้อนแรงของงานประมูล จู่ ๆ คนผู้หนึ่งถอนหายใจออกมา พร้อมเผยสีหน้าหดหู่ บนโลกใบนี้ของดี ๆ มักจะตกเป็ของผู้แข็งแกร่ง ส่วนคนอย่างพวกเขาไม่มีสิทธิ์เลือก
“แค่ได้ยลโฉมของล้ำค่าพวกนั้นจากระยะไกลก็พอใจแล้ว งานประมูลในวันพรุ่งนี้ข้าจะไปให้ได้เลย” คนผู้หนึ่งกล่าวด้วยความคาดหวัง ซึ่งมีหลายคนคิดเช่นเดียวกับเขาและไม่อยากพลาดงานสำคัญ ๆ เช่นนี้
“หญ้าหนวดั!”
เมื่อเย่เฟิงได้ยินบทสนทนาของคนเ่าั้ที่เดินผ่านมาก็ตาเป็ประกายทันที เขาอยู่ที่เมืองลอยฟ้ามาหลายวัน แต่ของที่เขาตามหาจะปรากฏขึ้นมาแล้วหรือ?
“หลิงเอ๋อร์ งานประมูลพรุ่งนี้ ข้ากับเ้าคงต้องเข้าร่วมเพื่อให้ได้หญ้าหนวดัมา!” เย่เฟิงกล่าวกับกงซุนหลิงเอ๋อร์ด้วยความดีใจ
“ได้!” กงซุนหลิงเอ๋อร์พยักหน้า
“ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ คนอะไรกันกล้าพูดออกมาหน้าด้าน ๆ ช่างน่าขันยิ่งนัก ไม่ดูสภาพตัวเองเลย!”
ขณะนั้นมีเสียงดูแคลนดังมาจากด้านหลังพวกเย่เฟิง พวกเย่เฟิงจึงหันหลังไปมอง ก่อนจะเห็นชายหญิงคู่หนึ่ง ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาดูไม่ธรรมดา ส่วนหญิงสาวก็หน้าตาสะสวย
“เป็พวกเขา” เย่เฟิงเห็นสองคนนี้ก็พึมพำในใจพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะว่าสองคนนี้คือเฉินซงและจิ้งหยาแห่งสำนักไท่อี ส่วนคนที่พูดจาดูถูกเย่เฟิงเมื่อครู่ก็คือจิ้งหยา
จิ้งหยาเผยสีหน้าหยิ่งผยอง ทั้งยังมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูถูก นางจำพวกเย่เฟิงไม่ได้ พอเห็นพวกเย่เฟิงแต่งตัวธรรมดาจึงกล้าพูดจาดูถูกเช่นนั้น
“ศิษย์น้อง อย่าไปพูดไร้สาระกับคนเช่นนี้เลย มันไม่คุ้มหรอก”
เฉินซงปรายตามองพวกเย่เฟิงแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวดูถูกเช่นนั้น เขาเห็นพวกโง่เขลาเบาปัญญาเช่นเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์มานับไม่ถ้วน เหตุใดเขาต้องสนใจ?
