เล่มที่ 10 บทที่ 282 ขั้นบันได
สามวันผ่านไปจิงต้าไห่และหลินเฟยก็มายืนอยู่บนยอดเขา…
เบื้องหน้าเป็ขั้นบันไดหินแวววาวที่ทำมาจากหินชิงสือ มีทั้งหมดสิบแปดขั้น และที่ปลายสุดของขั้นบันไดก็มีโลงศพหินขนาดใหญ่แขวนอยู่กลางอากาศ หลินเฟยและจิงต้าไห่มองจากปลายบันไดขึ้นไป ก็รู้สึกได้ว่าบันไดทั้งสิบแปดขั้นนี้ยาวไกลราวกับสุดล่าฟ้าเขียว ไม่อาจจะเอื้อมได้
บัดนี้โลงศพหินก็เปิดอ้าออกมา ลำแสงสีแดงสาดส่องออกมาอาบสีท้องฟ้าจนเป็สีแดงฉาน รอบๆ โลงศพก็มีอักขระสีหม่นแดงปรากฏขึ้นเลือนราง คล้ายกับเหล่าผีเสื้อราตรีแสนลึกลับกำลังโบยบินอยู่ เพียงยืนอยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งความลี้ลับอย่างเต็มเปี่ยม…
“ในที่สุดก็มาถึงเสียที…” เพราะการเดินทางที่เร่งรีบเช่นนี้ ทำให้จิงต้าไห่ไม่เหลือภาพลักษณ์อันหรูหราราวกับคหบดีที่ร่ำรวยอีกต่อไป บัดนี้เสื้อผ้าและเครื่องประดับทั้งตัวล้วนขาดวิ่นเสียหายจนหมด ส่วนใบหน้าก็เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่น มีสภาพเหมือนยาจกผู้ตกอับเสียมากกว่า…
เมื่อเห็นขั้นบันไดทั้งสิบแปดขั้นเบื้องหน้า จิงต้าไห่ก็ถอนหายใจยาวออกมา ก่อนจะย่างก้าวขึ้นไป…
“ระวัง!” ทันใดนั้นหลินเฟยก็รีบเอ่ยห้ามทันที
แต่น่าเสียดายที่คว้าได้เพียงอากาศเท่านั้น เพราะจิงต้าไห่ได้ก้าวขึ้นไปบนบันไดเรียบร้อยแล้ว…
จากนั้นร่างทั้งร่างก็หายวับไปกับตา…
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น?’
หลินเฟยถึงกับชะงักทันที…
ไม่ทันที่หลินเฟยจะตั้งสติได้ อยู่ดีๆก็มีเสียงโหยหวนดังขึ้นมาจากขั้นบันได และร่างของจิงต้าไห่ก็กระเด็นลอยออกมา…
หลังจากที่ร่างของจิงต้าไห่กระแทกเข้ากับพื้น เขาก็กระอักเืสีดำคำโตออกมาทันที แววตาของเขาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ส่วนใบหน้าก็ซีดขาวราวกับกระดาษ ลำตัวมีรอยแผลที่เกิดจากกระบี่ยาวกว่าหนึ่งจ้าง แถมที่าแนั้นยังมีรอยไหม้สีดำที่เกิดจากเปลวไฟอีกด้วย…
“นี่เ้า…” หลินเฟยจ้องมองด้วยความตกตะลึง เพราะเพิ่งผ่านไปเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ‘ทำไมถึงมีสภาพเช่นนีได้?’
“อย่าพูดเลย…” จึงต้าไห่พูดจบก็ล้วงเอายาลูกกลอนขวดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเฉียนคุน ก่อนจะกลืนกินเข้าไปทั้งหมดโดย เป็เวลานานกว่าจะปรับสมดุลในร่างกายให้คงที่ได้ จากนั้นจึงค่อยๆเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ยังตื่นกลัว
“เ้าลองทายดูสิ ว่าเมื่อครู่นี้ข้าเจอใคร?”
“เ้าเจอผีอย่างนั้นหรือ?…” หลินเฟยชะงักไปชั่วครู่ เพราะที่บันไดหินนั่น ไม่มีใครเลยสักคน แล้วจิงต้าไห่จะไปเจอใครได้ล่ะ?
“ไม่ใช่…” เวลานี้จิงต้าไห่ไม่มีอารมณ์คุยเล่นกับหลินเฟยแม้แต่น้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตกตะลึง เป็นาน เขาจึงค่อยๆกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากและเอ่ยออกมา
“เมื่อครู่ ข้าเจอศิษย์พี่เ้าสำนัก…”
“หืม?” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็ไม่คิดจะหยอกล้ออีกฝ่ายอีก จากนั้นจึงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“หมายความว่าเมื่อครู่นี้ เ้าเจอนักพรตหยางิที่ขั้นบันไดนั่นน่ะหรือ?”
“ใช่แล้ว…”
“เป็เช่นนั้นก็แปลกแล้ว…” หลินเฟยส่ายหน้าระรัว ก่อนจะชี้ไปยังขั้นบันไดที่ห่างออกไป
“เห็นไหมว่าที่ขั้นบันไดนั่น แม้แต่ต้นหญ้าสักต้นก็ยังไม่มี แล้วจะมีนักพรตหยางิได้อย่างไรกัน?”
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น…” จิงต้าไห่เอ่ยตอบด้วยใบหน้าขมขื่น
“แต่เมื่อข้าก้าวขึ้นไปก็เห็นศิษย์พี่เ้าสำนักยืนอยู่จริงๆ ข้ายังไม่ทันเอ่ยถามเื่ที่เกิดขึ้นที่หุบเขาทางเหนือ ศิษย์พี่เ้าสำนักก็สะบั้นกระบี่ใส่เสียก่อน…”
“ดูท่าขั้นบันไดนั่นจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเป็แน่…” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็ถึงกับมึนงงไปด้วย
ขณะเดียวกันก็รู้สึกสนใจเื่ที่เกิดขึ้นทันที…
‘เพราะหากขั้นแรกเป็นักพรตหยางิของสำนักหนานิละก็ แล้วขั้นที่สองและสามจะเป็ใครกันเล่า?’
‘ยิ่งไปกว่านั้น หากไปถึงขั้นที่สิบกว่าขึ้นไป จะได้เจอกับใครกันนะ?’
‘คงต้องไปดูด้วยตาตัวเองหน่อยแล้ว’
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเฟยก็ก้าวขึ้นบันไดไปอย่างไม่ลังเล
“เดี๋ยวก่อน!” จิงต้าไห่เห็นดังนั้นก็ถึงกับใ รีบคว้าหลินเฟยเอาไว้ทันที
“ขั้นบันได้นี้ดูประหลาดมาก เ้าอย่าขึ้นไปจะดีกว่า…”
“ถึงจะแปลกประหลาดอย่างไร แต่ว่า…” หลินเฟยพูดเพียงเท่านี้ มือหนึ่งก็พลางชี้ไปยังโลงศพที่แขวนลอยอยู่บนยอดเขา ก่อนจะเอ่ยต่อ
“เ้าไม่อยากรู้หรือว่าในโลงศพนั่นมีอะไร?”
“คือ…”
จิงต้าไห่ได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มลังเล
‘นั่นสินะ ทุกคนมาที่เกาะปริศนานี่นา แถมตอนหลังยังมาโผล่ที่หุบเขาประหลาดแห่งนี้อีก คำตอบจะต้องอยู่ที่โลงศพนั่นแน่ๆ และบัดนี้โลงศพหินก็อยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ เป็ใครก็คงอยากรู้เหมือนกันว่าด้านในนั้นมีอะไร’
เพราะมีความเป็ไปได้สูงว่าสิ่งที่อยู่ในโลงจะต้องเป็คำตอบของทุกอย่าง…
“เช่นนั้นแล้ว ต่อให้ขั้นบันไดทั้งสิบแปดนี้จะประหลาดเพียงใด ยังไงก็ต้องขึ้นไป…” เมื่อพูดจบหลินเฟยก็ก้าวขึ้นไปยังบันไดขั้นแรกทันที…
ทันใดนั้นรอบด้านก็แปรเปลี่ยนอย่างเงียบเชียบ
แม้ขั้นบันไดจะยังเป็ขั้นบันไดตามเดิม แต่รอบด้านกลับไม่เหมือนเดิม เพราะบัดนี้หุบเขารกร้างและแปลกประหลาดนั่น ได้สูญหายไปแล้ว สิ่งที่ปรากฏออกมากลับเป็ความเขียวชอุ่มของพืชพันธุ์นานาชนิด แถมท้องฟ้าก็ยังกระจ่างใส เหมือนกับตอนที่เข้ามายังหุบเขาใหม่ๆไม่มีผิด…
และจิงต้าไห่ที่อยู่บริเวณเชิงบันไดก็หายไป…
ผู้ที่ปรากฏขึ้นมาแทน กลับเป็เงาของใครบางคนที่อยู่ในอาภรณ์นักพรตสีเขียว และเขาคนนั้นกำลังยืนหันหลังอยู่บนบันได
เสี้ยววินาทีที่หลินเฟยก้าวขึ้นมา คนผู้นั้นก็หันมาอย่างช้าๆ ก่อนจะปรากฏให้เห็นเป็ใบหน้าชราที่ไม่โดดเด่นอะไร แถมยังมีเปลวไฟสีแดงผสมฟ้ารายล้อมอยู่รอบตัว…
“นักพรตหยางิ?”
ชั่วขณะที่เห็นชัดเจนว่าคนคนนั้นเป็ใคร หลินเฟยก็เข้าใจทันทีว่าจิงต้าไห่ไม่ได้พูดเพ้อเจ้อ เพราะนักพรตหยางิแห่งสำนักหนานิกำลังยืนอยู่ที่บันไดขั้นแรกจริงๆ…
ทว่า…
ชั่วขณะที่หลินเฟยกำลังจะปริปากพูด พลังปราณในตัวนักพรตหยางิก็ะเิออก เพียงอีกฝ่ายเอื้อมมือออกไป เปลวไฟสีแดงฟ้ารอบตัวก็รวมกันกลายเป็กระบี่สีฟ้าแดงทันที…
“แย่แล้ว!” หลินเฟยถึงกับใทันที ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลงมืออย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนี้…
เพราะนักพรตหยางิเป็ปรมาจารย์ที่เชี่ยวชาญการควบคุมเปลวไฟ ทั้งชีวิตนี้บำเพ็ญแต่เปลวไฟมาตลอด แถมเ้าสำนักหนานิผู้นี้ยังฝึกเคล็ดวิชาเปลวไฟหนานิที่เป็สุดยอดวิชาชั้นสูงของสำนักหนานิอีกด้วย พลังจึงรุนแรงถึงขนาดเผาฟ้าทลายปฐีได้เลย!
และก็เป็อย่างที่คิดไว้ เพราะเสี้ยววินาทีที่หลินเฟยอุทานออกมาด้วยความใ นักพรตหยางิก็สะบั้นกระบี่ออกมาเสียแล้ว…
ทันใดนั้นทั่วทั้งขั้นบันไดก็กลายเป็ทะเลเพลิง อากาศร้อนราวกับลุกเป็ไฟ ความร้อนแรงได้ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณไม่ต่างอะไรกับพิภพไฟ ภายใต้เปลวไฟที่ลุกโชนนี้เอง ก็เกิดเป็แสงส่องสว่างไปนับสิบลี้ เมื่อกวาดตามองไปก็พบว่าทิวทัศน์รอบด้านกำลังบิดเบี้ยวไม่เป็รูป เหมือนกับว่าพิภพแห่งนี้กำลังแปรเปลี่ยนเป็ภาพนิมิตที่ไร้ตัวตน…
‘กระบี่นั่นมีพลังร้ายกาจขนาดนี้เชียว!’
เพียงชั่วครู่ทะเลเพลิงที่ลุกโชนก็เริ่มคืบคลานเข้ามา หมายจะคลอกหลินเฟยเข้าไป…
“พูดดีๆไม่เป็หรือไร…” หลินเฟยเอ่ยออกมาอย่างหัวเสียทันที
----------------------------------------------------------------------------------