บทที่ 1 หมาดำ
ยามสนธยา ลมหนาวพลันพัดแรงขึ้น
โคมไฟสีขาวสองดวงที่หน้าประตูจวนตระกูลลู่แกว่งไปมาอย่างแรง แสงเทียนส่องไหว ตัวอักษรสีขาวซีดที่เขียนว่า ‘งานศพ’ ส่องกระทบกับแสงเทียน ยิ่งเพิ่มบรรยากาศที่น่าขนลุก
คนเดินถนนที่ผ่านไปมาต่างหลีกเลี่ยงไปไกล และเร่งฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว
“เดือนนี้จวนตระกูลลู่นี่มันเื่แปลก ๆ ทั้งนั้นเลยนะ มีคนตายไปแล้วตั้งเจ็ดแปดคน ทางการก็มาตรวจสอบตั้งหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบอะไร”
“คุณชายรองนี่ช่างน่าสงสารจริง ๆ ไม่รู้ไปทำกรรมอะไรไว้ ลูกชายคนโตก็ฝึกวิชาพลาดจนตาย ข้อตกลงแต่งงานกับตระกูลลั่วแห่งเมืองชิงสือก็ต้องล้มเลิกไป”
“คุณชายรองพอได้ยินข่าวร้ายก็ล้มป่วยและจากไปเมื่อไม่กี่วันก่อน คนรับใช้ก็หนีก็ตายกันไปหมด เหลือเพียงแค่คุณนายลู่และคุณชายลู่ไป๋ที่เป็แม่ลูกกำพร้ากันสองคน ทรัพย์สินมหาศาลก็จวนจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว”
“ได้ยินว่าคุณชายลู่ไป๋ออกไปนอกเมืองเพื่อหลบภัย แต่ก็เสียสติและตกลงไปในหน้าผาจนตาย”
“คุณชายลู่ไป๋เป็คนจิตใจดีงาม ตอนแรกคิดว่าจะรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ แต่สุดท้ายก็… เฮ้อ”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าตระกูลของคุณชายรองตายกันหมดแล้วสิ”
“ก็แค่เวรกรรมแหละ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วคุณชายรองได้ทรัพย์สินที่มิชอบมาถึงมีฐานะร่ำรวยเช่นทุกวันนี้ ตอนนี้ก็แค่ได้รับผลกรรมแล้ว”
“ข่าวลือในเมืองบอกว่า อาจจะเป็ิญญาอาฆาตที่หมายหัวตระกูลลู่…”
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน พวกเขาก็ได้เจอกับชายหนุ่มร่างผอมบางคนหนึ่งเดินสวนมา
ชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี หน้าตาสะอาดหมดจดแต่ซีดเซียวผิดปกติ ทว่าสายตาของเขาดูอ่อนโยน ข้างกายเขามีหมาดำตัวหนึ่งที่ผอมแห้งจนเห็นกระดูก
“คุณ คุณชายลู่ไป๋?”
คนหนึ่งเบิกตากว้าง หน้าซีดเผือด และเสียงสั่นเครือ
“ท่าน ท่านไม่ได้ตกลงไปในหน้าผาจนตายไปแล้วหรือ?”
“ผี!”
อีกคนหนึ่งร้องกรี๊ดและหันหลังวิ่งหนีทันที
ที่เหลือก็แตกกระเจิง หนีไปคนละทิศละทาง ไม่กล้าที่จะอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว
ลู่ไป๋มองคนที่วิ่งหนีไปด้วยสีหน้าสงบ ไม่พูดอะไร หยุดเดินชั่วครู่ แล้วเดินไปทางจวนตระกูลลู่
เมื่อมาถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันจากข้างใน
“นางหวัง ข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ของเ้ากับน้องรองมาหลายปี ข้าถึงได้เรียกเ้าว่าน้องสะใภ้ แต่สุดท้ายแล้วเ้าก็เป็แค่คนนอก ทรัพย์สินของตระกูลลู่ไม่ถึงเวลาของเ้าที่จะมาจัดการ”
คนที่พูดคือลู่จื่อหยวน ผู้เป็ท่านอาของลู่ไป๋
ลู่จื่อเหิง พ่อของลู่ไป๋ มีกิจการร้านขายยาหลายแห่งในเมืองหลิ่วซี มีชื่อเสียงในท้องถิ่น
เพราะเป็พี่น้องกัน ลู่จื่อเหิงจึงมอบร้านขายยาแห่งหนึ่งให้ครอบครัวของพี่ชายดูแล และนั่นทำให้พวกเขาอยู่สุขสบาย
มีคนหนึ่งในนั้นไอเบา ๆ แล้วพูดช้า ๆ ว่า “คุณชายใหญ่ลู่ ท่านพูดไม่ค่อยถูกนะขอรับ จวนตระกูลลู่สร้างขึ้นได้ก็เพราะการบริหารจัดการของท่านเ้าของจวนมาหลายปี ท่านถึงได้ออกมาจากหมู่บ้านสือหนิวที่เป็พื้นที่ห่างไกล และตั้งรกรากในเมืองหลิ่วซีได้สำเร็จ สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับคุณชายใหญ่ลู่เลย ร้านขายยาของท่านก็เป็เพราะท่านเ้าของจวนเห็นแก่ความเป็พี่น้องกัน…”
“ฝูเซิง! เ้าเป็แค่คนรับใช้ เื่ของตระกูลลู่ยังไม่ถึงตาเ้าที่จะมาแทรกแซง ไสหัวไป!”
ฝูเซิงยังพูดไม่ทันจบก็ถูกลู่จื่อหยวนขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงไม่เป็มิตร
นางหวังพูดขึ้นว่า “ท่านพี่ใหญ่ ศพของสามีข้ายังไม่ทันจะเย็นดี อาไป๋ก็ยังไม่รู้ว่าตายหรือยัง แต่ในตอนนี้พวกท่านกลับมาทะเลาะเื่แบ่งทรัพย์สินกันที่หน้าศพของสามีข้า มันช่างน่าผิดหวังจริง ๆ”
“ลู่ไป๋ตกลงไปในหน้าผา ทหารยามสองคนของบ้านเ้าเห็นกับตาว่าหน้าผานั้นลึกจนมองไม่เห็นก้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคงแหลกเหลวเป็ผุยผงไปแล้ว นางหวัง เ้าอย่าเพิ่งหวังเลย”
คนที่พูดคือนางหลี่ ภรรยาของลู่จื่อหยวน
“เ้า…”
นางหวังโกรธจนพูดไม่ออก
นางหลี่แค่นหัวเราะ “ข้าว่านะ ลู่จื่อเหิงกับลูกชายทั้งสองคนของเขาก็ตายเพราะผู้หญิงอย่างเ้านั่นแหละ! ใครจะมาแบ่งทรัพย์สินกับเ้า? วันนี้พวกเรามาเพื่อไล่เ้าออกไปจากตระกูลลู่ต่างหาก!”
“นี่พวกเขากำลังจะฮุบสมบัติ”
เมื่อได้ยินการทะเลาะกันที่ดังมาจากข้างใน สายตาของลู่ไป๋ก็สั่นไหวเล็กน้อยและครุ่นคิดในใจ
เื่แบบนี้ไม่ใช่เื่แปลกในสมัยโบราณ
หากชายที่เป็เสาหลักของบ้านเสียชีวิต ไม่ต้องพูดถึงว่าเหลือเพียงผู้หญิงคนเดียว หรือถ้าลูกยังเล็กและฝ่ายหญิงไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้ ญาติ ๆ ก็จะขับไล่แม่และลูกกำพร้าออกจากตระกูลและยึดทรัพย์สินทั้งหมด
การหาข้ออ้างและกำจัดให้สิ้นซากก็เป็เื่ที่เป็ไปได้เช่นกัน
แอ๊ด…
ประตูใหญ่ของจวนตระกูลลู่ถูกผลักเปิดออก
ทุกคนที่ยืนอยู่ข้างศาลาหน้าโลงศพในโถงใหญ่ต่างมองไปที่ร่างผอมบางที่หน้าประตู เสียงอึกทึกครึกโครมหยุดลงทันที
ลานภายในจวนเงียบสงัด ลู่จื่อหยวนและคนอื่น ๆ ต่างขนลุกซู่ และรูม่านตาหดตัวลง
“อาไป๋!”
นางหวังไม่ได้คิดอะไร เดินเซไปหาลู่ไป๋ จับมือทั้งสองข้างของลู่ไป๋และสำรวจร่างกายเขาด้วยสายตา สีหน้าของเธอดูตื่นเต้น ตาแดงก่ำ น้ำตาไหล และพึมพำเบา ๆ ว่า “อาไป๋ยังมีชีวิตอยู่ อาไป๋ยังมีชีวิตอยู่”
ลู่ไป๋มองหญิงวัยสี่สิบกว่าปีที่ผมหงอกไปครึ่งหัวที่อยู่ตรงหน้า และถอนหายใจในใจ
ลู่ไป๋คนเดิมตกลงไปในหน้าผาและตายไปแล้วจริง ๆ หากไม่เป็เช่นนั้น เขาก็คงไม่ได้มาอยู่ที่นี่
แม้ว่าจะได้รับความทรงจำของเ้าของร่างคนเดิม แต่ลู่ไป๋ก็ยังรู้สึกแปลก ๆ กับนางหวังที่อยู่ตรงหน้า
แต่ความห่วงใยและความเป็ห่วงจากแม่แบบนี้ ลู่ไป๋รู้สึกได้จริง ๆ
“คุณชายน้อย ท่าน… ท่านไม่เป็อะไรใช่ไหม?”
ชายชราชุดเทาคนหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยความประหลาดใจและดีใจ
“ท่านแม่ ท่านฝู ข้าไม่เป็ไร ตอนที่ตกลงไปในหน้าผาคืนนั้น โชคดีที่มีกิ่งไม้รับไว้ เลยรอดชีวิตมาได้”
ลู่ไป๋ได้คิดคำพูดไว้แล้วระหว่างทางที่กลับมา
นางหวังใจหายวาบ และถามว่า “ทำไมถึงไปที่หน้าผาเฮยหู่?”
ท่านฝูไป๋นึกอะไรบางอย่างออก และจ้องไปที่ทหารยามสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังลู่จื่อหยวน และถามว่า “เป็ฝีมือของหวังโซ่วจงกับพวกเขาสองคนใช่หรือไม่?”
“ไม่หรอก”
ลู่ไป๋กล่าว “คืนนั้นข้าฝันร้าย ใจลอย ไม่รู้ว่าไปวิ่งออกไปตอนไหน ไม่เกี่ยวกับพี่หวังและพวกพ้องหรอก”
ท่านฝูไป๋กล่าวว่า “ท่านเ้าของจวนคงรับรู้จากสรวง์ คุณชายน้อยเป็คนมีบุญ”
ลู่ไป๋มองไปรอบ ๆ และมองไปที่คนสองสามคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
ท่านอาลู่จื่อหยวน ท่านอาสะใภ้นางหลี่ ลูกพี่ลูกน้องลู่เหยา และสามีของลู่เหยา โจวอวี่
เ้าของร่างเดิมเคยเจอพวกเขาหลายครั้ง แต่จำไม่ค่อยได้
ส่วนบอดี้การ์ดอีกสองคน หวังโซ่วจงและเจิ้งเค่อ เดิมทีเป็คนของบ้านเขา เมื่อวานพวกเขาพาเขาออกนอกเมือง
แต่ตอนนี้พวกเขายืนอยู่ข้างหลังลู่จื่อหยวนและคนอื่น ๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเปลี่ยนนายแล้ว
“เขา เขาเป็คนหรือผี?”
นางหลี่กลืนน้ำลาย สีหน้าของเธอดูหวาดกลัวและสงสัย หายไปจากความหยิ่งยโสก่อนหน้านี้
ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ลู่จื่อหยวนเหลือบไปเห็นเงาของลู่ไป๋ที่ทอดยาวบนพื้น และคิดในใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “มีเงา เป็คน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็โล่งใจ
เป็คนก็ดีแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็คนซื่อสัตย์ อ่อนแอ และใจดีที่หลอกง่ายอีกด้วย
ท่านฝูไป๋รีบตั้งสติได้ มองลู่จื่อหยวนและคนอื่น ๆ แล้วพูดว่า “คุณชายใหญ่ลู่ ทรัพย์สินของท่านเ้าของจวนในเมืองหลิ่วซี มีเพียงคุณชายน้อยเท่านั้นที่จัดการได้ พวกท่านกลับไปเถอะ”
ลู่จื่อหยวนเดินมาข้างหน้าลู่ไป๋ สีหน้าของเขาดูน่าเกรงขาม และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “อาไป๋ เ้ายังเด็กและไม่มีประสบการณ์ในการจัดการร้านขายยา การที่อาจัดการร้านขายยาทั้งแปดแห่งในเมืองหลิ่วซี ก็เพื่อรักษาทรัพย์สินนี้ไว้ให้พ่อของเ้า และมอบให้เ้าในอนาคต”
ลู่ไป๋ยิ้มและพูดว่า “ท่านอาคิดรอบคอบจริง ๆ ท่านคงทำเพื่อข้า”
ลู่จื่อหยวนคิดในใจว่า เขาเองก็ยังไม่เชื่อคำพูดที่หลอกลวงแบบนี้เลย และคำพูดแบบนี้หลอกได้แค่เด็กโง่ ๆ อย่างลู่ไป๋เท่านั้นแหละ
ท่านฝูไป๋ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ขมวดคิ้ว และอดไม่ได้ที่จะเตือนว่า “คุณชายน้อย…”
ลู่จื่อหยวนไหวตัวทัน ฝูไป๋เพิ่งจะอ้าปากเขาก็พูดแทรกทันที จ้องไปที่ฝูไป๋ และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “อ่าไป๋ เ้าต้องจำไว้ว่าเ้านามสกุลลู่ พวกเราเป็ครอบครัวเดียวกัน! อย่าไปฟังคำพูดของคนนอกที่จะมาทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวของพวกเราแตกร้าว”
“แน่นอน”
ลู่ไป๋พยักหน้า “ท่านอาและอาสะใภ้ใจดีกับข้าจริง ๆ ทุกเทศกาลพวกเขามักจะซื้อของขวัญให้ข้าเสมอ ส่วนพี่สาวลู่เหยาก็ชอบพาข้าไปเล่นตอนเด็ก ๆ นอกจากพ่อกับแม่แล้ว พวกท่านเป็คนที่ข้าสนิทที่สุด”
“อาไป๋นี่เข้าใจความรู้สึกจริง ๆ”
นางหลี่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างมีความสุข
ลู่เหยาก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
โจวอวี่เบ้ปากและหัวเราะเยาะ
เมื่อได้ยินลู่ไป๋พูดเช่นนั้น ลู่จื่อหยวนก็รู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้าเล็กน้อย
ถ้าคำพูดนี้ออกมาจากปากคนอื่น คงจะเป็การประชดประชัน
แต่ลู่ไป๋เป็เด็กที่ซื่อสัตย์และไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมาโดยตลอด คำพูดเหล่านี้ต้องมาจากใจจริงแน่นอน
นางหวังแค่จับมือลู่ไป๋ไว้ และร้องไห้ด้วยความดีใจ เธอไม่ได้พูดอะไร ท่านฝูไป๋ก็ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และส่ายหัว
ถ้าคุณชายใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ก็คงจะดี
สุดท้ายแล้วคุณชายน้อยก็ยังบริสุทธิ์เกินไป จะไปเข้าใจได้อย่างไรว่าโลกนี้โหดร้ายและจิตใจมนุษย์นั้นซับซ้อน
นางหลี่พูดว่า “ในเมื่ออาไป๋เข้าใจแบบนี้ เื่ในวันนี้ก็ตกลงตามนี้ กลับไปข้าจะร่างสัญญาฉบับหนึ่ง เ้าก็แค่ปั๊มลายนิ้วมือ และร้านขายยาทั้งแปดแห่งก็ให้ท่านอาของเ้าจัดการดูแลไป เ้าก็อยู่เป็คุณชายที่สุขสบายเถอะ”
ลู่จื่อหยวนพูดต่อว่า “อาไป๋ ไม่ต้องกังวล พวกเราเป็ครอบครัวเดียวกัน อาจะไม่มีวันทำร้ายแม่ลูกของเ้า”
“แบบนี้ดีที่สุดเลย ข้าเชื่อใจท่านอาและอาสะใภ้ จะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลเอง”
ลู่ไป๋ยิ้ม พยักหน้า และตกลงทันที
จากนั้น ลู่ไป๋ก็ลังเลเล็กน้อย และมองไปที่ป้ายิญญาของพ่อ และพูดว่า “แต่ร้านขายยาทั้งแปดแห่งนั้นเป็น้ำพักน้ำแรงของพ่อ หากยกให้ทันทีที่ศพของพ่อยังไม่เย็นดี พ่อที่จากไปแล้วคงจะไม่อาจหลับตาลงได้”
“อะไรนะ เ้าจะกลับคำหรือ?”
นางหลี่หน้ามืดลง และเสียงของเธอก็ดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ลู่ไป๋ส่ายหน้า “ไม่ได้จะกลับคำ เพียงแต่ข้าอยากรอให้ครบเจ็ดวันและถอดชุดไว้ทุกข์ออกก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนเป็ชุดธรรมดา จากนั้นค่อยยกให้ท่านอา”
นางหลี่ดูเหมือนจะรอไม่ไหวและบ่นว่า “ทำไมต้องวุ่นวายขนาดนั้น ต้องรอไปตั้งสี่สิบกว่าวัน”
“อ่าไป๋ก็พูดมีเหตุผล พวกเราในฐานะผู้ใหญ่ก็ควรทำตามความกตัญญูของเขา”
ลู่จื่อหยวนไม่อยากที่จะบังคับมากเกินไป
อาหารอร่อยไม่กลัวว่าจะต้องรอ ด้วยกำลังของแม่ลูกคู่นี้ จะพลิกฟ้าก็คงเป็เื่ยาก
ยิ่งไปกว่านั้น แม่ลูกคู่นี้ที่อาศัยอยู่ในจวนนี้ อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสี่สิบวันด้วยซ้ำ
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ลู่จื่อหยวนเหลือบมองศาลาไว้ทุกข์รอบ ๆ ดูเหมือนจะกลัวเล็กน้อย และไม่อยากอยู่ที่นี่นาน ๆ จึงพูดว่า “อาไป๋ใมามากแล้ว พักผ่อนแต่หัววันเถอะ พวกเราจะกลับแล้ว”
ก่อนที่ลู่ไป๋จะตอบ ลู่จื่อหยวนก็พาคนอื่น ๆ เดินออกไปข้างนอก
“ท่านอา ท่านอาสะใภ้ เดินทางปลอดภัยนะขอรับ พี่สาวลู่เหยาแล้วเจอกัน”
ลู่ไป๋ยิ้มและโบกมือ
ลู่เหยาหันกลับมามองลู่ไป๋ สีหน้าของเธอค่อนข้างดูไม่เป็ธรรมชาติ เธอเบียดรอยยิ้มออกมาแล้วหันหลังเดินจากไป
หวังโซ่วจงและเจิ้งเค่อสองทหารยามเดินผ่านลู่ไป๋ หวังโซ่วจงหยุดเท้าและพูดว่า “คุณชายไป๋ ท่านดูแลพวกเราสองพี่น้องเป็อย่างดีมาโดยตลอด ไม่เคยขาดค่าตอบแทน แต่พวกเราสองพี่น้องต้องหาทางรอดให้ตัวเอง หากในอนาคตมีเื่ที่ต้องทำให้ต้องเสียมารยาท ก็ขอให้คุณชายไป๋เข้าใจด้วย”
“เข้าใจ”
ลู่ไป๋ยิ้ม
เมื่อส่งครอบครัวของลู่จื่อหยวนไปแล้ว ลู่ไป๋ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย
เ้าของร่างเดิมอ่อนแอเกินไป วิชาวรยุทธ์ก็ยังไม่ถึงขั้นพื้นฐานขั้นแรกด้วยซ้ำ รู้แค่หมัดห้าก้าวและกระบี่พื้นฐานเท่านั้น
คนในบ้านก็เหลือไม่กี่คน นางหวังและท่านฝูไป๋ก็ไม่เข้าใจวิชาการต่อสู้เลย ถ้าเกิดความขัดแย้งกับครอบครัวของลู่จื่อหยวนอย่างเปิดเผย ก็ไม่มีทางชนะเลย
หวังโซ่วจงและเจิ้งเค่อ สองทหารนั้นแค่ใช้มือเดียวก็สามารถควบคุมเขาได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ตายไปแล้วครั้งหนึ่งอย่างไม่มีเหตุผล การเสแสร้งไปก่อนอย่างน้อยก็ทำให้มีเวลาสี่สิบกว่าวัน
ลู่ไป๋เพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นาน เขาต้องทำความคุ้นเคยกับโลกนี้และรวบรวมข้อมูลบางอย่าง
เขาจะใช้เวลานี้ในการวางแผนต่อไป
หมาดำที่ผอมแห้งจนเห็นกระดูกเมื่อเข้ามาในจวนตระกูลลู่ ก็ดมไปทั่วและมาที่มุมกำแพง มันเริ่มขุดดินใต้กำแพงและส่งเสียง ‘ซ่า ๆ’
เมื่อก่อนคนเยอะเลยไม่ได้รู้สึก แต่ตอนนี้พอเงียบแล้ว เสียงนี้กลับฟังดูแปลก ๆ
ท้องฟ้าเริ่มมืด ลมเย็นพัดแรงเข้ามาในจวนตระกูลลู่ ผ้าขาวปลิวไสวไปตามลม แสงเทียนรอบศาลาไว้ทุกข์ริบหรี่เป็ครั้งคราว