โทสะที่หลงเซี่ยวเจ๋อหวาดกลัวไม่มา พายุที่เหล่าขุนนางใหญ่รอคอยก็ไม่มา
องครักษ์ทั้งสี่คนก็หยุดการนำหลงเซี่ยวเจ๋อลงมาจากเสา ั้แ่ตอนที่เขาหลั่งน้ำตาแล้ว
ฮ่องเต้เหวินอิ้นได้สติกลับมาจากความทรงจำอันเ็ป ทอดพระเนตรหลงเซี่ยวเจ๋อที่ยังกอดเสาแน่น จับหน้าผากอย่างจนปัญญา รับสั่งกับองครักษ์ว่า “พวกเ้าถอยออกไป”
หลังจากองครักษ์ถอยออกไป ฮ่องเต้ก็กวาดสายพระเนตรมองเหล่าขุนนางอย่างเรียบเฉย กระแอมไอเบาสองครั้ง “ขุนนางที่รักทั้งหลายยังมีเื่ใดต้องทูลรายงานอยู่หรือไม่?”
ทันทีที่ฮ่องเต้ตรัสออกมา บนตำหนักใหญ่ก็ยังคงไม่มีแม้แต่เสียงนกเสียงกาเช่นเดิม เหล่าขุนนางใหญ่งึมงำในลำคอไม่กล้าพูดออกมา แต่ละคนก้มหน้าอย่างอึกอัก
พวกเขาย่อมรู้ว่าฮ่องเต้พิโรธเสร็จสิ้นแล้ว แต่ผู้ใดจะกล้ารับรองว่าโทสะของฮ่องเต้มอดลงแล้วหรือไม่ ต่อให้โทสะมอดดับแล้ว ดำรัสเช่นนี้ของฮ่องเต้ก็หมายความว่า้าเลิกประชุม ผู้ใดยังจะกล้าเข้ายั่วโทสะโอรสั
พวกเขาในขณะนี้ต่อให้มีเื่อยากทูลเสนอ ก็มิกล้าเสนอแล้ว นับประสาอันใดกับเื่แย่ๆ พวกนั้น
รออยู่ครู่หนึ่ง ยังคงไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง ฮ่องเต้จึงโบกแขนเสื้อ ส่งสัญญาณให้ขันทีข้างกาย “เลิกประชุม”
ขันทีเดินขึ้นมาข้างหน้า ตะเบ็งเสียงสูง “เลิกประชุม”
“ขอให้ฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี” กลุ่มขุนนางใหญ่ร้องทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน
ฮ่องเต้เหวินอิ้นลุกขึ้นอย่างเยือกเย็น เดินลงมาจากบัลลังก์ั แล้วมองหลงเซี่ยวเจ๋อที่ยังทึมทื่ออยู่บนเสา ตรัสเสียงเย็น “ยังไม่ลงมาอีก”
ดูจากสถานการณ์ในยามนี้แล้ว หลงเซี่ยวเจ๋อก็รู้ว่าเสด็จพ่อฮ่องเต้ทรงยอมแล้ว และดูเหมือนจะมิได้คิดลงโทษเขาที่บุกรุกตำหนักจินหลวนอีกด้วย
ถ้ารู้เร็วกว่านี้ว่าไม้นี้ได้ผล เขาคงนำมาใช้ไปนานแล้ว จะไม่เสียเวลาอยู่ที่นี่นาน สิ้นเปลืองแรงไปมากมายเพียงนั้น
บัดนี้หลงเซี่ยวเจ๋อบรรยายไม่ได้ว่ามีความรู้สึกเช่นใด มองฮ่องเต้ที่เสด็จออกไปจากตำหนักใหญ่แล้วก็ชะงักงันไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นใบหน้าก็ฉายแววดีใจยิ่งนัก ไม่พูดพล่ามไถลลงมาจากเสาราวกับควันสายหนึ่ง วิ่งส่ายก้นดุ๊กดิ๊กตามด้านหลังฮ่องเต้ออกไป
เมื่อออกมาจากตำหนักจินหลวน หลงเซี่ยวเจ๋อรู้ว่าเสด็จพ่อฮ่องเต้ของเขายอมแล้ว จึงกล้าหาญขึ้นมา เขาไม่ได้บอกว่ามาหาฮ่องเต้ด้วยเื่ใด แต่เร่งให้ฮ่องเต้นั่งเกี้ยวไปตำหนักโซ่วอัน
ระหว่างทางไปตำหนักโซ่วอัน หลงเซี่ยวเจ๋อก็อธิบายเื่ที่มู่จื่อหลิงรักษาหลงเซี่ยวหนานให้ฮ่องเต้ฟังทั้งหมด
อธิบายจนมาถึงวันนี้ที่โรคทางสมองของหลงเซี่ยวหนานกลับมากำเริบ มู่จื่อหลิงถูกไทเฮานำตัวไป เขาหมดหนทางจึงบุกรุกเข้าไปในตำหนักจินหลวนด้วยจิตใจที่ร้อนรนดังไฟ
ตลอดทางฮ่องเต้เหวินอิ้นเพียงตรัสถามอย่างง่ายๆ หนึ่งสองประโยคเท่านั้น เป็หลงเซี่ยวเจ๋อที่พูดติดต่อกันไม่หยุดว่ามู่จื่อหลิงเก่งกาจมากเพียงใด ไม่มีทางที่จะทำร้ายหลงเซี่ยวหนาน ขอให้ฮ่องเต้สืบข้อเท็จจริงออกมาให้ได้
ตอนแรกที่ไทเฮาประทานคุณหนูใหญ่ทึมทื่อแห่งจวนจงอี้โหวให้หลงเซี่ยวอวี่ ฮ่องเต้ย่อมเข้าใจความหมายโดยนัยของไทเฮา
เดิมคิดจะช่วยหลงเซี่ยวอวี่ปฏิเสธงานสมรสนี้ไปเสีย เพียงแต่หลงเซี่ยวอวี่ไม่พูดสิ่งใดก็รับการประทานสมรสจากไทเฮาแล้ว สุดท้ายเขาจึงได้แต่ลืมตาข้าง หลับตาข้าง
แม้ฮ่องเต้จะได้พบกับมู่จื่อหลิงเพียงในงานเลี้ยงของพระราชวังครั้งก่อนอย่างเร่งรีบหนึ่งครั้ง แต่ว่าเขาก็มีความประทับใจในตัวลูกสะใภ้ผู้นี้อยู่มากนัก
มู่จื่อหลิงไม่ได้โง่เขลาไร้ความรู้ตามคำเล่าลือเลยแม้แต่น้อย ทั่วทั้งตัวกลับมีท่าทีสูงศักดิ์ประเภทหนึ่งแผ่ประกายออกมาจากภายใน
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินว่ามู่จื่อหลิงรักษาโรคทางสมองของหลงเซี่ยวหนาน และรักษาโรคประหลาดที่มิอาจเข้าใกล้สตรีของหลงเซี่ยวหลีจนหาย เขาในขณะนี้จึงเต็มไปด้วยความสงสัยในตัวมู่จื่อหลิง คาดไม่ถึงว่าบุตรสาวโง่งมของแม่ทัพมู่จะซ่อนคมเช่นนี้
หลงเซี่ยวเจ๋อเห็นเสด็จพ่อฮ่องเต้ของเขาพูดน้อยจนน่าสงสาร ไม่รู้ว่าได้สดับฟังคำที่เขาพูดเข้าไปบ้างหรือไม่ เขาจึงกังวลขึ้นมา แล้วยังไม่ลืมชี้มือชี้ไม้ ไตร่ตรองไปพร้อมๆ กับฮ่องเต้อีกครั้ง
“เสด็จพ่อ เื่นี้ไม่เกี่ยวกับพี่สะใภ้สามอย่างสิ้นเชิง หากพี่สะใภ้สามไม่ได้รักษาพี่ห้าจนหาย โรคทางสมองของพี่ห้าคงกำเริบไปนานแล้ว จะรอมาถึงตอนนี้ได้อย่างไร ก่อนหน้านี้โรคทางสมองของพี่ห้าก็กำเริบอยู่เป็นิจ ไม่มีทางรอมานานถึงเพียงนี้ได้ ยามนี้พี่ห้าปวดจนจะตายแล้ว พวกเราต้องรีบพาพี่สะใภ้สามออกมา”
พระพักตร์ของฮ่องเต้เหวินอิ้นปรากฏความเคร่งขรึมน่ายำเกรง ตรัสอย่างเย็นเยียบ “เื่นี้เจิ้นรู้แก่ใจดี กลับเป็เ้า ดูเหมือนจะใส่ใจพี่สะใภ้สามของเ้ายิ่งนัก แม้แต่ตำหนักจินหลวนยังกล้าบุกรุก?”
เมื่อหลงเซี่ยวเจ๋อถูกถามเช่นนี้ก็ชะงักไปแวบหนึ่ง เปลี่ยนสีหน้ายิ้มแย้ม หัวเราะตาหยี “เสด็จพ่อ นี่พระราชดำรัสเช่นใดกัน กระหม่อมใส่ใจพี่สาม รักนกต้องรักรังของนก ย่อมสมควรใส่ใจพี่สะใภ้สาม นอกจากนี้ชีวิตของพี่ห้าก็มีเพียงพี่สะใภ้สามที่รักษาได้ กระหม่อมจะไม่ใส่ใจได้หรือ!”
หลงเซี่ยวเจ๋อพูดอย่างมีแบบแผน พูดเสมือนว่าเื่ราวเป็เช่นนี้ ทำให้ผู้อื่นหาความผิดแปลกไม่พบ แต่ว่าจะเป็เช่นนี้จริงหรือไม่ก็มีแต่ตัวเขาเองที่รู้
ฮ่องเต้เหวินอิ้นไม่ได้สงสัยคำพูดของหลงเซี่ยวเจ๋อ ตรัสด้วยความเฉียบขาด “ครั้งนี้เจิ้นจะไม่สืบสาวหาความ ไม่มีครั้งหน้า”ในบรรดาบุตรชายของเขายกเว้นหลงเซี่ยวหลีแล้ว ก็เป็หลงเซี่ยวเจ๋อที่ทำให้เขาปวดศีรษะที่สุด วันทั้งวันไม่มีงานมีการทำ เอาแต่สร้างเื่วุ่นวายในวัง ไม่ใช่เื่ใหญ่ แต่เื่เล็กน้อยมิขาดสาย
ไม่ใช่ขันทีเฒ่าผู้นี้ถูกล้อเลียน ก็ขันทีน้อยผู้นั้นถูกกลั่นแกล้ง หรือไม่ก็วิ่งไปที่วังหลัง ก่อเื่จนวังหลังสุนัขวิ่งกระจายนกแตกฮือ มีสนมเฟยวิ่งมาตัดพ้อต่อหน้าเขาเป็ประจำ ทำให้เขาทั้งรำคาญใจ ทั้งจนปัญญา
ได้ยินคำตรัสของฮ่องเต้เหวินอิ้น หลงเซี่ยวเจ๋อก็ยินดีอย่างที่สุดราวกับได้รับการอภัยโทษ สีหน้าท่าทางประจบประแจง ผงกศีรษะอย่างสุดชีวิต “ไม่มีครั้งหน้า ไม่มีครั้งหน้า...”
เขาย่อมไม่คิดจะมีครั้งหน้าอีกแล้ว เขาไม่อยากให้พี่สะใภ้สามตกอยู่ในกำมือของไทเฮาอีก นอกจากนี้หากยังมีครั้งหน้า เสด็จพ่อฮ่องเต้คงไม่มีทางยกโทษให้เขาโดยง่ายแน่
แม้เขาจะคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าเสด็จพ่อฮ่องเต้จะปล่อยเขาไป แต่ว่าสามารถได้ยินเสด็จพ่อฮ่องเต้พูดกับปากว่าจะปล่อยเขาไป ความรู้สึกเช่นนั้นแปลกนัก ช่างทำให้ประหลาดใจที่ได้รับความโปรดปรานโดยไม่ทันตั้งตัวจริงๆ
เขาตัดสินใจแล้ว ต่อไปจะไปกลั่นแกล้งสตรีเลวร้ายในวังหลังซึ่งทำให้เสด็จพ่อรำคาญใจให้น้อยลง
-
มู่จื่อหลิงชำเลืองมองตำแหน่งที่เข็มคุณภาพเลวทิ่มเข้าไปก็ตื่นใจนตาโตอ้าปากค้าง
จะอย่างไรนางก็คาดไม่ถึงว่าหลินมามาจะโเี้ได้ถึงเพียงนี้ ทิ่มตรงไหนไม่ทิ่ม ดึงดันจะทิ่มเข็มคุณภาพเลวเล่มนั้นเข้าไปในซอกเล็บให้ได้ คิดจะให้นิ้วของนางเน่าหรือ?
ในขณะที่ทิ่มเข็มเข้าไป สีหน้าของมู่จื่อหลิงก็ซีดขาวราวกระดาษโดยพลัน กัดริมฝีปากของตนเองอย่างรุนแรง ต่อให้ริมฝีปากเต็มไปด้วยรอยเืสีแดงสด นางก็ไม่ส่งเสียงร้องด้วยความเ็ปสักแอะ
มู่จื่อหลิงเงยศีรษะขึ้นอย่างดื้อดึง จับจ้องใบหน้าที่มุ่งร้ายจนเกือบบิดเบี้ยวของหลินมามาที่อยู่ตรงหน้าอย่างเต็มตา
ใบหน้างดงามอ่อนช้อยของมู่จื่อหลิงในยามนี้ปกคลุมไปด้วยเม็ดเล็กเป็ชั้นๆ ดวงตาใสกระจ่างเย็นเยียบเหมือนดั่งหยกเหมันต์ สายตาที่ราวกับดาบน้ำแข็งข่มขวัญผู้คน ทำให้ผู้ที่มองตัวสั่นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่
หลินมามานั้นเข้าวังหลังมานานแล้ว เื่เลวๆ ก็ทำมาหมดแล้ว ใจโเี้อำมหิต นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้พบคนที่ดื้อดึงและอดทนเช่นนี้
แม้นางจะถูกสายตาทรงอำนาจเ็าของมู่จื่อหลิงทำให้ตัวสั่นไปเล็กน้อย แต่ว่านางก็ยังคงลงมือโดยไร้ความปรานี ทิ่มเข็มเลวเข้าไปอย่างแรงอีกรอบหนึ่ง
ฮองเฮามองดูฉากโหดร้ายตรงหน้าด้วยสายตาไม่ใยดี มุมปากแต้มรอยยิ้มเฉยเมยอันลึกซึ้งยากหยั่งถึง ราวกับว่าทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม
ไทเฮาพออกพอใจกับท่าทางของมู่จื่อหลิงยิ่งนัก ยกชาหอมด้านข้างขึ้นมาจิบคำหนึ่งอย่างสง่างาม เอ่ยปากอย่างเบาอีกครั้ง “มู่จื่อหลิง เ้ารู้ความผิดหรือไม่?”
มู่จื่อหลิงขบกัดริมฝีปาก ยิงสายตาเย็นเยียบไปทางผู้ที่นั่งดูละครอยู่บนบัลลังก์ทั้งสองคน เค้นออกมาทีละคำ “ไม่ ทราบ”
ไทเฮาไม่ได้โมโหท่าทีหยิ่งทระนงของมู่จื่อหลิงอย่างสิ้นเชิง แต่กลับยิ่งเปี่ยมไปด้วยความสนใจมากขึ้นไปอีก ริมฝีปากสีแดงสดคลี่รอยยิ้มกระหายเื “ในเมื่อไม่ทราบ หลินมามาสั่งสอนต่อไป”
ท้ายที่สุดมู่จื่อหลิงก็ยังคงกลั้นเสียงคร่ำครวญไว้ได้ โลหิตสีแดงสดผสมกับผงสนิมไหลออกมาด้านนอกไม่หยุดหย่อน
หลินมามาเตรียมจะเปลี่ยนไปนิ้วอื่น ขณะนี้เองก็มีเสียงแหลมสูงของขันทีดังมาจากด้านนอก “ราชรถฝ่าามาถึงแล้ว”
เสียง ‘ราชรถฝ่าามาถึงแล้ว’ ทำให้ผู้ใดก็มองไม่เห็นรอยยิ้มเฉยเมยที่แฝงความลึกซึ้งยากหยั่งรู้นั้นเหมือนจะโค้งยิ่งกว่าเดิม ราวกับที่รอมานานเพียงนี้ก็เพียงรอให้เวลานี้มาถึง
ไทเฮากลับตกตะลึงไปชั่วครู่หนึ่ง ไม่อยากเชื่อ หากนางจำไม่ผิดล่ะก็ เวลานี้ฮ่องเต้ควรจะยังไม่เลิกประชุมเช้า จะมาได้อย่างไร
ทว่าเงาร่างคนผู้หนึ่งที่พุ่งเข้ามาจากด้านนอกอย่างรวดเร็วก็ทำให้ไทเฮารู้ว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงมาในยามนี้ได้
หลงเซี่ยวเจ๋อมิได้มองผู้ที่อยู่บนบัลลังก์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการคารวะ แวบแรกที่เขาเห็นคือมู่จื่อหลิงที่ถูกนางกำนัลกดให้คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างรุนแรงจนมิอาจขยับตัว แล้วยังมีเข็มชั้นเลวในมือของหลินมามาที่ยังมีโลหิตหยดอยู่
ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความแดงฉานโดยพลัน ยกขาเรียวยาวถีบไปยังหลินมามาอย่างแรง หลินมามาไม่ทันระวังตัวก็ถูกถีบจนกระเด็นไปชนกับเสาด้านข้าง กระอักโลหิตแดงสดออกมาแล้วสลบไปทันที
หลงเซี่ยวเจ๋อใช้มือหนึ่งข้างต่อหนึ่งคน ผลักนางกำนัลออกไปอย่างไร้ซึ่งความปรานี ส่วนตนเองก้มตัวลงไปพยุงมู่จื่อหลิงขึ้นมา เมื่อมองมือที่เต็มไปด้วยเืของมู่จื่อหลิง
เขาก็ปวดใจเป็ที่สุด ในดวงตาปรากฏความชุ่มชื้น ถามโดยระมัดระวัง “พี่สะใภ้สาม ท่านเป็อย่างไร”
มู่จื่อหลิงเห็นหยาดน้ำแวววาวในดวงตาที่เตรียมจะหลั่งออกมาของหลงเซี่ยวเจ๋อ พลันยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เด็กโง่ผู้นี้จะร้องไห้แล้วหรือ
ทำถึงเพียงนี้เลย นางยังไม่ตายเสียหน่อย
นางข่มกลั้นความเ็ปเอาไว้ ริมฝีปากแดงเืพยายามฉีกยิ้มบางเบา ทว่ากลับอัปลักษณ์ยิ่งกว่าร้องไห้ พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็อันใด แค่เจ็บมือเท่านั้น ไม่ตายหรอก”
แต่ว่ายามนี้มู่จื่อหลิงต้องซาบซึ้งที่หลงเซี่ยวเจ๋อมาได้ทันเวลาพอดีจริงๆ ทั้งยังไม่ลืมพาฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่มาด้วย ถ้าเมื่อครู่นี้หลินมามายังทิ่มนางอีกเข็มก็ไม่รู้ว่านางจะยังอดทนต่อไปได้หรือไม่ ตอนนี้เองนางจึงผ่อนลมหายใจ
เมื่อไทเฮาบนบัลลังก์เห็นว่าหลงเซี่ยวเจ๋อไม่เห็นตนในสายตาก็มีโทสะขึ้นมาโดยพลัน “บังอาจ หลงเซี่ยวเจ๋อ ผู้ใดอนุญาตให้สายตาเ้าไม่มีผู้าุโเพียงนี้ เห็นอายเจียแล้วยังไม่ทำความเคารพอีก”
หลงเซี่ยวเจ๋อเงยหน้ามองคนที่อยู่บนที่นั่งหลักอย่างเ็า ขณะที่กำลังจะพูด ฮ่องเต้ก็เสด็จเข้ามาเสียก่อน
หลังจากคนทั้งหมดทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียงกัน ไทเฮาจึงเอ่ยปากอย่างเฉยเมย “ยามนี้ฮ่องเต้ควรจะประชุมเช้ามิใช่หรือ เสด็จมาได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้เหวินอิ้นชำเลืองมองมู่จื่อหลิงที่ถูกหลงเซี่ยวเจ๋อพยุงไว้ อธิบายอย่างเรียบง่ายทันที “การประชุมวันนี้ไม่มีเื่สำคัญ จึงเลิกประชุมเร็ว ลูกได้ยินมาั้แ่เช้าว่าโรคทางสมองของหลงเซี่ยวหนานกลับมากำเริบ ดูเหมือนจะมีเพียงหลิงเอ๋อร์ที่รักษาได้”
วาจานี้ของฮ่องเต้นั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมา ก็คือ้านำตัวมู่จื่อหลิงไปรักษาหลงเซี่ยวหนาน ส่วนเื่ก่อนหน้านั้นดูเหมือนจะไม่คิดถามถึง
“หึ วันนั้นมู่จื่อหลิงกล่าววาจาส่งเดชต่อหน้าทุกคน ต่อหน้าอายเจีย พูดว่าโรคทางสมองของหลงเซี่ยวหนานนั้นหายเป็ปกติแล้ว วันนี้โรคทางสมองของหลงเซี่ยวหนานกลับมากำเริบอีก นางหลอกลวงอายเจียเช่นนี้ อายเจียจะยกโทษให้นางได้อย่างไร หากวันนี้ยกโทษให้นางแล้ว วันหน้าจะให้อายเจียเอาหน้าไปไว้ที่ใด” ไทเฮาแค่นเสียงเย้นหยัน ไม่ใส่ใจใยดีเหมือนมิได้คิดจะปล่อยคนไป
แม้ไทเฮาจะไม่รู้ว่าโรคทางสมองของหลงเซี่ยวหนานกำเริบได้อย่างไร แต่นางก็ไม่สนว่าเป็เหตุผลใด ยามนี้ไม่ง่ายดายที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้มาลงโทษมู่จื่อหลิง นางไหนเลยจะปล่อยมู่จื่อหลิงไปโดยง่าย
ทว่าประโยคถัดมาของฮองเฮาก็ทำให้ไทเฮาเปลี่ยนความตั้งใจเดิม......