เปลวไฟสีดำจากไฟปีศาจกระดูกหยินลุกไหม้อย่างรุนแรง ในเปลวไฟนั้นมีเสียงโหยหวนของิญญานักรบนับพันที่ถูกสังหารจนตายในสนามรบ เสียงนี้ดังเข้าไปถึงภายในจิตใจของผู้คนที่อยู่ที่นี่
นอกจากนั้นเปลวไฟนี้ยังน่ากลัวมาก แม้ว่าผู้ที่มันจะพุ่งเป้าเผาหลัวเลี่ยให้ตายเพียงคนเดียว แต่เปลวไฟนั้นกลับเริ่มลุกลามจากตรงกลางแท่นประลองที่หลัวเลี่ยยืนอยู่ ก่อนจะลุกลามเผาแท่นประลองทั้งหมด
แม้ว่าแท่นประลองแห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เพียงชั่วคราว แต่มันก็ถูกสร้างขึ้นโดยคนมากมาย นอกจากนี้เพื่อให้รองรับต่อพลังจากการประลองยุวราชันในครั้งนี้ แท่นประลองนี้ยังสร้างขึ้นโดยใช้หินจากูเาอวิ๋นเยว่อีกด้วย หินชนิดนี้แข็งแกร่งมาก มันสามารถทนต่อพลังจากน้ำ ไฟ ลม และสายฟ้าได้ จึงถือได้ว่าแท่นประลองนี้แข็งแกร่งมาก เพราะหากไม่แข็งแกร่งแล้วเกิดชำรุดขึ้นจากพลังของเยาวชนทั้งหลาย อาจทำให้ไม่สามารถบอกได้ว่าแคว้นใดประลองได้อันดับที่เท่าไรบ้าง เนื่องจากแท่นประลองแข็งแกร่งมาก ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นว่ามันกำลังจะพังลงเพราะพลังของไฟปีศาจกระดูกหยิน ย่อมแสดงให้เห็นว่าไฟนี้ร้ายกาจเพียงใด
แท่นประลองกำลังจะถูกเผาทั้งหมดแล้ว
“หลัวเลี่ยวิ่งเร็ว”
“ทำไมเ้าไม่ใช้ความเร็วเพื่อหลบล่ะ หากโดนสะเก็ดไฟเข้าจะอันตรายนะ”
“รีบหนี รีบหนีสิ”
ตอนนี้แม้แต่พวกซือสิ่งหลงก็ยังร้อนใจ
แม้ว่าพวกเขาทั้งสี่จะหยิ่งทะนง แต่พวกเขาก็มีความเป็ลูกผู้ชายพอ พวกเขาชื่นชมความยืนหยัดที่จะต่อต้านหอการค้าฟ้านเทียนของหลัวเลี่ย นอกจากนี้หลัวเลี่ยยังเพิ่งจะช่วยชีวิตพวกเขาไป ดังนั้นพวกเขาจึงะโบอกหลัวเลี่ย และไม่สนใจว่าการกระทำเช่นนี้ของพวกเขาอาจถูกองค์ชายสามและองค์ชายเก้าตำหนิเอาทีหลังได้
ผู้ชมก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อยเช่นกัน
ใช่ ไฟปีศาจกระดูกหยินน่ากลัวมาก
แต่หลัวเลี่ยมีความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวร่างกายมาก พวกเขามั่นใจว่ามันคือคุณสมบัติรวดเร็วของระดับผู้ฝึกตน
หลัวเลี่ยสามารถนำความรวดเร็วนี้มาต่อกรกับเยาวชนมากฝีมือสามคนจากตระกูลเลี่ยได้นี่
แต่ตอนนี้ไม่เพียงไม่หลบ เขายังยืนอยู่ตรงใจกลางไฟปีศาจกระดูกหยินด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นหลัวเลี่ยถูกเผาอยู่ในเปลวเพลิงสีดำ และไม่มีทางที่จะตอบโต้กลับได้ ในที่สุดเลี่ยหงหยุนก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ “ชื่อสิง ในที่สุดแม่ก็ล้างแค้นให้เ้าได้แล้ว คนที่ฆ่าเ้าบัดนี้ถูกไฟปีศาจกระดูกหยินคลอกตายแล้ว แต่เ้าวางใจเถิด ไฟปีศาจกระดูกหยินนั้นร้ายกาจยิ่งนัก เขาจะไม่มีวันตายง่ายๆ ร่างกายของเขาจะค่อยๆ ถูกเผาไปทีละน้อย เขาจะต้องค่อยๆ ทรมานด้วยความเ็ป นั่นก็คือบทลงโทษของเขา”
เมื่อได้ยินคำพูดของเลี่ยหงหยุน หลายคนรู้สึกหวาดกลัวจนอดไม่ได้ที่จะถอยห่าง เพราะพวกเขากลัวว่าจะโดนไฟปีศาจกระดูกหยินเผาไปด้วย
หากโดนไฟนี้แล้ว คงอยากตายมากกว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างทรมาน
เมื่อเห็นหลัวเลี่ยค่อยๆ ล้มลงกับพื้น ไป๋หลี่ชางก็ตื่นเต้นเช่นกัน
“เดิมทีข้าคิดว่าหลัวเลี่ยจะมีพลังมาก ที่ไหนได้เขากลับสามารถสู้ได้แค่นี้” ไป๋หลี่ชางหัวเราะเสียงดัง “เ้าจะมั่นใจเกินไปแล้ว เ้าไม่หลบแถมยังปะทะเข้ากับไฟปีศาจกระดูกหยินโดยตรง ฮ่าๆ ข้าไม่รู้จะพูดอะไรเลย ข้ายังไม่ทันได้ลงมือ เ้าก็ตายเสียแล้ว”
ทุกคนเชื่อว่าหลัวเลี่ยประมาทและมีความมั่นใจมากเกินไป ผลลัพธ์จึงออกมาเป็เช่นนี้
มีเพียงหลิวจื่ออั๋งเท่านั้นที่มองไปยังแท่นประลองด้วยความสงสัย จากนั้นเขาก็หันไปมองทางเสวี่ยปิงหนิง เยี่ยนอวิ๋นหวู่ และซูชิวเชิง
เสวี่ยปิงหนิงดูเป็กังวลเล็กน้อย เยี่ยนอวิ๋นหวู่ดูสงบนิ่ง ส่วนซูชิวเชิงเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและ้ารีบเข้าไปช่วยเหลือ
ท่าทางเ่าั้ทำให้หัวใจของหลิวจื่ออั๋งสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นเขาก็มองไปที่แท่นประลองอีกครั้ง
ที่ลานประลองค่อนข้างวุ่นวายและเสียงดัง
หลิวจื่ออั๋งดูอย่างละเอียดและฟังเสียงอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ใบหน้าของเขาก็แปลกไป จากนั้นเขาก็ะโเสียงดัง “เงียบ!”
เสียงะโอันทรงพลังของเขาทำให้ทุกคนหูอื้อชั่วคราว หลังจากนั้นทั้งหมดก็เงียบลงทันที
เมื่อเสียงพูดคุยเงียบลง เสียงอันเป็เอกลักษณ์ก็ดังขึ้นจากแท่นประลอง
“ฮู่ว...ฟู่...ฮู่ว...ฟู่...”
คนที่ได้ยินเสียงนี้ล้วนมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
มีคนะโขึ้นว่า “ทำไมเสียงนี้เหมือนเสียงกรนของคนนอนหลับ เสียงนี้ดังมาจากไหน ใครกันที่กล้าหลับในการต่อสู้อันดุเดือดนี้”
“ไอ้โง่ ฟังดีๆ เสียงนี้ดังมาจากบนแท่นประลอง นั่นคือหลัวเลี่ย” มีคนกล่าวขึ้น
ตอนนี้ทุกคนเงี่ยหูและตั้งใจฟัง
แน่นอนว่าเสียงนี้ดังมาจากในเปลวไฟสีดำ
ดังมาจากไฟปีศาจกระดูกหยินที่กำลังเผาไหม้อย่างร้อนแรง
เสียงกรนของหลัวเลี่ยไม่ได้เบา
เขาถูกไฟคลอกตายที่ไหนกัน เขาแค่นอนหลับไปเท่านั้น
คราวนี้ใบหน้าของเลี่ยหงหยุนและไป๋หลี่ชางล้วนบิดเบี้ยว ใบหน้าของพวกเขาเดี๋ยวขาวซีด เดี๋ยวเขียวคล้ำ พวกเขาเพิ่งดีใจที่หลัวเลี่ยถูกไฟคลอกตายได้ไม่นาน แต่ตอนนี้กลับเห็นว่าแท้จริงแล้วหลัวเลี่ยแค่หลับอยู่กลางเปลวไฟ นี่เป็การตบหน้าของพวกเขาอย่างรุนแรง
ในขณะเดียวกันผู้าุโของวัดเซียหยางก็ยืนขึ้น “ไฟปีศาจกระดูกหยินมีพลังที่ร้ายกาจ แต่เมื่อมีคนที่ไฟนี้ไม่สามารถทำอันตรายได้ คนคนนั้นย่อมต้องได้รับกระดูกแห่งวิถียุทธ์แล้วเป็แน่”
“ไม่น่าเชื่อ คนที่มีพลังระดับผู้ฝึกตนจะได้รับกระดูกแห่งวิถียุทธ์แล้วหรือ นี่ นี่ เขาสามารถได้รับมาโดยที่ไม่มีการสนับสนุนจากกองกำลังหรือภูมิหลังหรือ เขาทำได้ถึงขนาดนี้ นอกจากคำว่าอัจฉริยะแล้ว ยังจะพูดอะไรได้อีก ความสำเร็จของเด็กคนนี้ในอนาคตต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน” ผู้าุโจากแคว้นเฉียนเฮ่อเป็คนที่กล่าวออกมา
เสียงอันหนักแน่นของเผ่าัดังขึ้น การดำรงอยู่ของเผ่าันั้น แม้แต่อาณาจักรใหญ่ทั้งสองยังเกรงกลัว เทพก็ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเมตตา เขาไม่สนใจท่าทางของคนจากหอการค้าฟ้านเทียน และพูดเสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณลานประลอง “ข้าเคยสงสัยว่าทำไมเยาวชนที่อาจมีอนาคตไกลเช่นนี้ถึงไม่ใช้หยาดจันทร์นิรวาน แต่กลับนำมันมาประมูล แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้หยาดจันทร์นิรวานที่เรากำลังแย่งกันอยู่นั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลยสักนิด ตอนนี้แม้ว่าเขาจะมีพลังอยู่ในระดับผู้ฝึกตน แต่กลับเข้าใจเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดิน และยังได้รับกระดูกวิถียุทธ์ ด้วยความสามารถเช่นนี้ การไปถึงระดับกายทองคำสำหรับหลัวเลี่ยนั้นนับว่าไม่ใช่เื่ยากเลย เขานับว่าเป็อัจฉริยะอย่างแท้จริง!”
ประโยคของผู้าุโทั้งสามทำให้หลัวเลี่ยไปสู่จุดสูงสุดของอัจฉริยะที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้
เมื่อมองไปที่ไป๋หลี่ชางอีกครั้ง ก็พบว่าใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดไปแล้ว
หลิวจื่ออั๋งเสริมอีกประโยคที่ทิ่มแทงใจยิ่งกว่า “บางคนมีตาแต่หามีแววไม่ ยังคงยืนกรานที่จะขโมยของของเขาไป ตอนแรกเ้าบอกว่าจะรับหลัวเลี่ยที่ไม่มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่เข้าหอการค้าฟ้านเทียน ต่อมาจะเอาหยาดจันทร์นิรวาน และสุดท้ายเ้าถึงขั้นจะแย่งตราราชันข่งเชวี่ย ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เ้ารังแกเขา แต่เ้าดูตอนนี้สิ สถานการณ์เช่นนี้เป็การตบเ้าจนหน้าชาหรือยัง ข้าเห็นแล้ว...สะใจจริงๆ ฮ่าๆ...”
ไป๋หลี่ชางใกล้จะคลั่งแล้ว
ทางด้านเลี่ยหงหยุน ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากจะแก้แค้นให้ลูกชาย นางะโอย่างบ้าคลั่ง “เผามัน เผามันให้ตาย หากมันไม่ตาย พวกเ้าต้องตาย คนใกล้ชิดของพวกเ้าก็จะตายตามไปด้วย”
ความบ้าคลั่งของนางทำให้เลี่ยชื่อเฟยและคนอื่นๆ สูญเสียตัวตนไปอย่างสิ้นเชิง
เดิมทีไฟปีศาจกระดูกหยินนี้สามารถครอบงำจิตใจของผู้ใช้มันได้ง่ายอยู่แล้ว หลังจากที่พวกเขาสูญเสียตัวตนไปอย่างสมบูรณ์ในครั้งนี้ พวกเขาก็เปล่งเสียงร้องโหยหวนและปล่อยพลังออกมาอย่างบ้าคลั่ง พลังจากไฟปีศาจกระดูกหยินแผดเผาร่างของพวกเขาเป็เถ้าถ่าน
จากนั้นคนทั้งสามที่ถูกไฟปีศาจกระดูกหยินเผาผลาญก็ได้กลายเป็โครงกระดูกปีศาจ และพุ่งเข้าหาหลัวเลี่ย
ตูม!
เปลวไฟสีดำปะทุขึ้นฉับพลัน มันมีพลังมากกว่าเดิมถึงสิบเท่า
นี่เป็การเผาไหม้ที่รุนแรง
หลัวเลี่ยซึ่งนอนอยู่บนแท่นประลองขยับร่างกายเล็กน้อย จากนั้นพลังภายในร่างกายของเขาก็พลุ่งพล่าน ให้ตายเถอะ ร่างกายของเขาไม่เป็ไร แต่เสื้อผ้าของเขาถูกไฟเผาจนหมด ดังนั้นเขาจึงเปลือยเปล่าต่อหน้าผู้คน
เมื่อเป็เช่นนั้นหลัวเลี่ยและคนอื่นๆ ที่มองเขาอยู่ต่างหันมามองหน้ากันด้วยความใ
พวกเขาไม่เคยได้ยินเลยว่ามีคนที่ห่วงเสื้อผ้ามากกว่าชีวิตของตัวเอง
และนั่นคือสิ่งที่หลัวเลี่ยทำ
แม้ว่าไฟปีศาจกระดูกหยินกำลังแผดเผาร่างกายของหลัวเลี่ยอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันมากไปกว่าการปกป้องเสื้อผ้า เส้นผม ขนคิ้ว และเส้นขนอื่นๆ แน่นอนมันคงผิดหากจะบอกว่าเขาเพิกเฉยไม่สนใจ จริงๆ แล้วหลัวเลี่ยคิดว่าไฟปีศาจกระดูกหยินนี้ไม่ธรรมดาเลย ตอนที่มันกำลังเผาร่างกายของเขาก็คล้ายกับว่ามันกำลังอุ่นร่างกายของเขาอยู่ ซึ่งมันช่วยในการบ่มเพาะพลังภายในของเขาได้
อา ผลของการบ่มเพาะค่อนข้างดีเลยทีเดียว
อย่างน้อยหลัวเลี่ยก็ค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ที่ออกมานี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้