แม้ลึกๆ เซี่ยโม่จะซาบซึ้งใจ แต่อีกใจก็รู้สึกกังวล
หน่ออ่อนของต้นไม้อย่างเธอสามารถรั้งผู้ชายที่แสนดีแบบพี่ซ่งได้จริงๆ หรือ?
จู่ๆ เธอนึกถึงประโยคหนึ่งในชาติที่แล้วซึ่งกล่าวไว้ได้ดีมากขึ้นมาได้ ผู้หญิงไม่ควรมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น แต่ควรมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง
ขอแค่รักตัวเองให้เป็แล้วคนอื่นก็จะรักเราเอง
คงเพราะแบบนี้ ถึงได้ดึงดูดให้ผู้ชายแบบพี่ซ่งมาสนใจเธอ
คิดได้ดังนั้นเธอเลยมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
ไม่นานทั้งสองคนก็ขี่จักรยานมาถึงบ้าน
“พี่ซ่ง ในห้องครัวมีน้ำเย็น พี่เข้าไปดื่มสักแก้วแล้วค่อยไปนะคะ” เซี่ยโม่เสนออย่างเอาใจใส่
“ดีเหมือนกัน”
เธอเอาตะกร้าที่สะพายอยู่บนหลังลง นำผลฉื่ออู่เจียออกมา เดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อหยิบกะละมังมาใส่เห็ดที่เก็บมาได้
เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูห้องครัว เห็นพี่ซ่งกำลังเงยหน้ายกแก้วน้ำขึ้นดื่ม คงเป็เพราะความรีบเลยทำให้น้ำนั้นไหลลงมาตามมุมปากลามมายังคอ
ภาพนี้ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน ดูเชิญชวนให้อยากลองััลูกกระเดือกของอีกฝ่ายสักครั้ง รวมถึงลำคอแข็งแกร่งนั้นด้วย
อาจเป็เพราะได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา พี่ซ่งถึงได้เอาแก้วลง
ซ่งมู่ไป๋หยุดดื่มน้ำ ก่อนจะหันไปมองเด็กสาวที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูห้องครัว
เขาเดินเข้าไปแล้วโน้มตัวลงต่ำ โบกไม้โบกมือก็แล้วแต่เด็กสาวไม่ตอบรับ จึงถามออกไปด้วยความสงสัย “มองอะไรอยู่ จ้องมองนิ่งเหมือนตัวโง่งมน้อยเลย แต่ก็น่ารักดี”
เซี่ยโม่หน้าแดงก่ำ
นี่เธอเป็อะไรเนี่ย
เธอปรามตัวเองในใจว่าอายุยังน้อย อย่าเพิ่งหวั่นไหวกับใครตอนนี้
“เปล่าค่ะ แค่กำลังคิดว่าปกติพี่ก็ดื่มน้ำแบบนี้เหรอ” เซี่ยโม่อึกอักตอบ
“ไม่ใช่ วันนี้ฉันหิวน้ำมากก็เลย…”
ซ่งมู่ไป๋นึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยถาม “เธอเห็นท่าทางตอนดื่มน้ำของฉันดูไม่ดีก็เลยไม่ชอบ?”
เธอส่ายศีรษะ “ก็ดูเป็ธรรมชาติดีค่ะ ฉันชอบแบบธรรมชาติมากกว่า ไม่ชอบแบบเสแสร้ง”
หัวใจของชายหนุ่มแทบจะโบยบินขึ้นไปบนฟ้าเพราะความดีใจ ที่แท้เด็กสาวชอบท่าทางตอนดื่มน้ำของเขานั่นเอง
ใบหน้าเขาซับสีแดงจาง แกล้งทำเป็กระแอมก่อนจะเอ่ยออกมา “ฉันกลับไปหาเพื่อนก่อนนะ เธอทำอาหารไปเถอะ”
เซี่ยโม่มองตามแผ่นหลังพี่ซ่งที่กำลังเดินออกจากบ้านพร้อมกับรอยยิ้ม
จากนั้นก็เริ่มลงมือทำอาหาร เธอนำเนื้อกวางกับไส้ไปตุ๋น พอเห็นว่าขนมถ้วยฟูที่นึ่งเมื่อเช้าเหลืออยู่แค่ไม่กี่ชิ้น เลยตัดสินใจทำปิ่งจากแป้งข้าวโพดเพิ่ม
เธอเดินไปที่สวน เด็ดแตงกวากับพริกหยวกมาจำนวนหนึ่งเพื่อจะทำยำแตงกวากับไข่ผัดพริกหยวก
ขณะที่เธอกำลังสาละวนกับการทำอาหาร พลันได้ยินเสียงคนะโเรียกดังมาจากหน้าบ้าน “มีใครอยู่ไหม”
เป็เสียงที่เธอไม่คุ้น เลยนึกไม่ออกว่าเ้าของเสียงคือใคร
เซี่ยโม่เดินออกจากห้องครัวแล้วปิดประตูตามหลัง จากนั้นเดินไปเปิดประตูบ้านเพื่อดูว่าใครมา ผู้มาเยือนคือผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งเธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
หญิงวัยกลางคนคนนี้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน หน้าตาก็สะสวย ดวงตาเรียวเล็กเฉียงขึ้น
เธอเอ่ยถามอย่างสงสัย “ไม่ทราบว่าคุณคือ?”
หญิงวัยกลางคนมองเด็กสาวที่มาเปิดประตูอย่างพิจารณา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “ฉันเป็ป้าของซ่งมู่ไป๋ ชื่อว่าหวางอิ๋งอิ๋ง เมื่อกี้ฉันเห็นเขาขี่จักรยานมาที่นี่ เขาไม่ได้อยู่ในบ้านเหรอ”
“ไม่ได้อยู่ค่ะ พี่ซ่งพาเพื่อนขึ้นไปตัดฟืนบนเขาให้หนู อีกเดี๋ยวคงจะกลับลงมา คุณป้าเข้ามานั่งข้างในก่อนเถอะค่ะ หนูกำลังทำอาหารเที่ยงอยู่พอดีเลย” เซี่ยโม่ตอบด้วยน้ำเสียงเป็มิตร
ขนาดตัวเองยังได้กลิ่นหอมของอาหารลอยออกมาจากในห้องครัว คาดว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้ก็คงจะได้กลิ่นเช่นกัน เธอเลยเชื้อเชิญอย่างใจกว้าง
เธอกลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะมีนิสัยแบบเดียวกับสาวใหญ่ข้างบ้าน
หญิงวัยกลางคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “ไม่เป็ไร ถ้าเขากลับมาแล้วฝากบอกเขาด้วยว่าฉันมีธุระจะคุยกับเขา”
เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก “ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูบอกให้นะคะ”
จากนั้นหญิงวัยกลางคนก็หันหลังเดินจากไป ทั้งที่เป็การพบกันครั้งแรก ไม่เคยเจอหน้าหรือพูดคุยกันมาก่อนด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูมีอคติคล้ายไม่ชอบหน้าเธอ
ทว่าเวลาต่อมาเธอก็สลัดเื่พวกนี้ทิ้งไป แล้วเดินกลับเข้าห้องครัวเพื่อทำอาหารต่อ
เมื่อเซี่ยโม่ทำอาหารเสร็จ ทุกคนก็ทยอยกลับมา
ซ่งมู่ไป๋เดินนำเพื่อนที่แบกฟืนกองใหญ่เข้ามาในบ้าน พอคุณตากับคุณปู่จ้าวเห็นก็รีบเข้าไปช่วย
ส่วนเซี่ยโม่นำน้ำล้างหน้ากับผ้าขนหนู รวมถึงน้ำดื่มไปให้
ทุกคนนั่งลงที่โต๊ะอาหาร มองกับข้าวหน้าตาน่ากินที่เรียงรายบนโต๊ะ จากนั้นก็เริ่มลงมือรับประทาน
เมื่อเช้าตอนไปส่งน้องชายที่โรงเรียน เนื่องจากกลัวว่าตอนเที่ยงจะยุ่งจนไม่มีเวลา เธอเลยให้ขนมกับไข่เค็มแก่น้องชายไว้ เที่ยงนี้เธอเลยไม่ต้องเอาอาหารไปส่ง
ขณะที่ทุกคนกำลังกินข้าว เธอนึกถึงเื่คุณป้าของซ่งมู่ไป๋ขึ้นมาได้เลยบอกธุระที่รับฝากมากับเ้าตัว “พี่ซ่งคะ ตอนฉันทำอาหาร คุณป้าพี่มาหาพี่น่ะค่ะ”
สีหน้าซ่งมู่ไป๋ขรึมลง น้ำเสียงดูไม่ค่อยพอใจอย่างเห็นได้ชัด “ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวฉันค่อยไปหาท่าน”
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพี่ซ่งดูอารมณ์ไม่ดี
เซี่ยโม่นึกเสียใจทีหลัง ตอนแรกพี่ซ่งอุตส่าห์กินอย่างมีความสุขแท้ๆ เธอน่าจะรอให้เขาอิ่มก่อนค่อยบอกเื่นี้
ชายหนุ่มไม่มีกะจิตกะใจจะกินข้าวต่อ เขาดื่มน้ำแกงของตัวเองจนหมดถ้วย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน “ทุกคนกินต่อเถอะ ผมขอออกไปข้างนอกสักครู่”
ทุกคนเดาเอาว่าชายหนุ่มน่าจะไปบ้านคุณป้า แต่พอเห็นเ้าตัวไม่พูดต่อจึงไม่มีใครซักไซ้
รอจนซ่งมู่ไป๋เดินออกไป คุณตาถึงค่อยดุหลานสาว “โม่โม่ วันหลังจะพูดอะไรคิดให้ดีซะก่อน มีอะไรค่อยพูดหลังกินข้าวเสร็จไม่ได้หรือไง”
“หนูผิดไปแล้วค่ะ” เซี่ยโม่เอ่ยด้วยสีหน้าสำนึกผิด
คุณตาพูดต่อ “เสี่ยวซ่งกลับมาเมื่อไร บอกให้เขากินข้าวเข้าไปอีกหน่อยด้วยล่ะ”
เธอพยักหน้า “ในห้องครัวมีเส้นบะหมี่อยู่ เดี๋ยวหนูเอาไปต้มกับน้ำแกงให้พี่เขากินค่ะ”
“ก็ดีเหมือนกัน” คุณยายพยักหน้าเห็นด้วย
หนึ่งในเพื่อนของซ่งมู่ไป๋นึกอะไรขึ้นมาได้ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “ผมเคยได้ยินมู่ไป๋เล่าให้ฟังว่า คุณป้าของเขาอยากให้เขาแต่งงานกับลูกสาวตัวเอง แต่เขาบอกว่าเป็ญาติกันจะแต่งงานกันได้ยังไง ต่อมาคุณป้าเลยแนะนำเขาให้รู้จักกับลูกสาวของพี่ๆ น้องๆ ฝ่ายสามี แต่เขาก็ยังไม่ยอมอีก”
ชายหนุ่มคนนี้ดูออกว่าเพื่อนของตัวเองมีความรู้สึกพิเศษต่อเซี่ยโม่ถึงได้เล่าเื่นี้ให้ฟัง
เด็กสาวต้อนรับขับสู้เขาอย่างดี เขาเลยเตือนอย่างหวังดีเป็การตอบแทน
สีหน้าของผู้ใหญ่ทั้งสามคนเปลี่ยนเป็เคร่งเครียดในทันใด
เซี่ยโม่เข้าใจในเวลานี้เองว่าทำไมคุณป้าของพี่ซ่งถึงไม่ชอบหน้าเธอ
ที่แท้มีหญิงสาวดีๆ อยากจะได้ชายหนุ่มไปมากมายถึงเพียงนี้ เธอไม่เคยรู้เลยสักนิด เธอเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีและเพียบพร้อมเท่าใดนัก
คิดแล้วก็แอบเศร้าใจ ตอนอยู่บนเขาเธอเชื่อจนหมดใจว่าพี่ซ่งจะต้องอยู่เคียงข้างกันไปตลอดจนกระทั่งเธอเติบใหญ่
ครึ่งชั่วโมงต่อมาซ่งมู่ไป๋กลับมาที่บ้านด้วยหน้าตาบึ้งตึง
เดิมทีเซี่ยโม่ไม่มีแก่ใจจะต้มบะหมี่สักเท่าใด แต่พอคิดได้ว่าเื่นี้จะโทษพี่ซ่งไม่ได้ เธอเลยแกล้งทำเป็ไม่รู้ “พี่ซ่ง เมื่อตอนเที่ยงยังกินข้าวไม่อิ่มใช่ไหมคะ เดี๋ยวฉันทำบะหมี่ให้กินดีไหมคะ”
ชายหนุ่มมองเด็กสาว คิ้วขมวดเป็ปมแน่น “ฉันกินไม่ลง ไม่ต้องต้มหรอก”
ได้ยินเช่นนั้นเธอยิ่งรู้สึกเศร้ามากขึ้นไปอีก หรือเขาจะเริ่มลังเลแต่ไม่รู้จะบอกกับเธออย่างไร?
“พี่ซ่ง พี่ดูอารมณ์ไม่ดีเลย ถ้ามีเื่ไม่สบายใจอะไรพูดกับฉันได้นะคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ป้าฉันเป็คนค่อนข้างดื้อ ฉันก็เลยเครียดนิดหน่อย”
เพียงแค่นี้ก็รู้ได้ทันทีว่าพี่ซ่งไม่มีทางเป็ฝ่ายบอกกับเธอก่อนแน่ เช่นนั้นเธอก็อย่าทำให้อีกฝ่ายลำบากใจเลย
แม้จะอาลัยอาวรณ์มากแค่ไหน แต่เธอก็พยายามรวบรวมความกล้าพูดมันออกไป “พี่ซ่ง ถ้ามีอะไรที่พี่พูดไม่ออกจะเขียนแทนก็ได้นะคะ”
