"อะไรนะ? ข้าแต่งงานหรือยังน่ะเหรอ ฮ่าๆ" เซวียเสี่ยวหรั่นหันมาถาม พลางหัวเราะเสียงดัง เพิ่งมีคนถามคำถามแบบนี้กับเธอเป็ครั้งแรก
เธอเป็นักเรียนที่เพิ่งเข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จไปหมาดๆ จะแต่งงานแล้วได้อย่างไร
เหตุใดต้องหัวเราะ? ั์ตาของเหลียนเซวียนฉายแววสงสัยในความพร่าเลือน
ตามหลักเหตุผลแล้วสตรีอายุสิบแปดแม้ยังไม่ได้แต่งงานก็ควรจะหมั้นหมายแล้ว
แต่จิตใต้สำนึกบอกเขาว่า แม่นางผู้นี้น่าจะยังไม่แต่งงาน
เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยุดไป เธอนึกได้ว่าผู้หญิงสมัยโบราณมักแต่งงานเร็ว ถ้าอายุเท่าเธอแล้วยังไม่แต่งงานหากมาอยู่ในยุคสมัยนี้ เกรงว่าคงกลายเป็สาวเทื้อไปแล้ว
พอรู้แบบนี้ เซวียเสี่ยวหรั่นก็หงุดหงิดอยู่บ้าง
"ข้ายังไม่แต่งงาน ธรรมเนียมของเราต่างจากของพวกท่าน อายุน้อยอย่างข้า ตามกฎหมายถือว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะ ยังไม่ถึงเวลาที่จะแต่งงาน"
เซวียเสี่ยวหรั่นเบะปาก อายุอย่างเธออยู่ในวัยแรกแย้มดังวสันต์ผลิบาน แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวกลับกลายเป็่อายุที่น่าอับอายให้ผู้อื่นดูแคลนไปเสียแล้ว
ยังไม่แต่งงานจริงๆ ด้วย เหลียนเซวียนหลุบตาลงเล็กน้อยบดบังประกายเจิดจ้าที่วาบผ่านดวงตา
ว่าแต่บ้านเกิดของนางคือที่ไหนกันแน่ เหตุใดธรรมเนียมจึงแตกต่างจากที่อื่นนัก
เขาเขียนคำถามออกมาอีก
เซวียเสี่ยวหรั่นทำงานไม่หยุดมือ เสื้อถักใกล้จะเสร็จแล้ว ต้องเร่งมือให้เร็วขึ้นอีก
เธอมองคำถาม แล้วก็ตอบอย่างลวกๆ "บ้านเกิดข้าน่ะเหรอ อืม... ย่อมเป็ต้าเทียนเฉา [1] น่ะสิ"
ต้าเทียนเฉา? คือที่สถานที่ใด เหลียนเซวียนอึ้งงันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
เซวียเสี่ยวหรั่นตอบเสร็จถึงนึกได้ว่าไม่เหมาะสม ช่วยยุคสมัยนี้มีต้าเทียนเฉาเสียที่ไหน
แต่พอย้อนคิดอีกที ก็ไม่เห็นเป็ไรเลยนี่ ถึงอย่างไรหลังออกจากูเาแห่งนี้ไปได้ ต่างคนต่างต้องแยกย้ายไปตามทางของตนเอง เขาจะตามก้นเธอไปต้าเทียนเฉาที่ไหนกัน
"หญิงสาวที่นั่นต้องอายุครบยี่สิบปีก่อนถึงจะแต่งงานได้ มิเช่นนั้นก็ไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้นจะแต่งงานเร็วแบบนี้ไม่ได้"
มีกฎเกณฑ์ประหลาดเช่นนี้เชียวรึ แต่ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาลเื่พิลึกพิลั่นใดบ้างที่ไม่มี
ดวงตาของเหลียนเซวียนนิ่งขรึม เขาเชื่อว่านางพูดความจริง ว่าแต่ต้าเทียนเฉาที่ว่าตั้งอยู่ที่ไหนกัน?
"ที่ไหนน่ะหรือ... อืม ข้าก็บอกไม่ถูก แหะๆ เอาเป็ว่ามีสถานที่นี้อยู่ก็แล้วกัน" เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะกลบเกลื่อน แล้วเริ่มเบี่ยงเบนไปเื่อื่น "จริงสิ เหลียนเซวียน ท่านเป็คนทางเหนือหรือ"
เมื่อนางบ่ายเบี่ยงไม่เอ่ยถึง เขาก็ไม่ซักไซ้ไล่เลียงต่อ ขอแค่มีสถานที่แห่งนี้จริง เขาย่อมตรวจสอบที่ตั้งโดยละเอียดได้อยู่แล้ว
เหลียนเซวียนผงกศีรษะช้าๆ
"มิน่าล่ะ เห็นท่านไว้หนวดเครารุงรังเต็มหน้าแบบนี้ อย่างไรก็ไม่น่าจะใช่คนทางใต้" เซวียเสี่ยวหรั่นพึมพำมาหนึ่งประโยค
เหลียนเซวียนอึ้งงัน มุมปากกระตุกทันที
ไม่ได้ทำอะไรกับใบหน้ามาครึ่งปีแล้ว หนวดเคราจะไม่รุงรังได้อย่างไร
เซวียเสี่ยวหรั่นถักเสื้อตัวเองเสร็จก่อนเข้านอน เธอจึงสวมมันเข้าไปทันที เหลือแขนสองข้างยังไม่ได้ถัก รอถักกางเกงเสร็จแล้วค่อยว่ากัน
เท่ากับตอนนี้เธอสวมเสื้อกั๊กไว้สองตัว ตัวอบอุ่นขึ้นแต่แขนกับขากับยังคงหนาวเหมือนเดิม
คืนนี้มีประตูกำบังลมหนาว ภายในถ้ำจึงอบอุ่นอย่างเห็นได้ชัด
แต่เพราะมีระดู เซวียเสี่ยวหรั่นถึงหลับไม่สบายนัก
ยามตื่นขึ้นมาตอนเช้า ใบหน้าของเธอก็เริ่มบิดเบี้ยว
อาการปวดหน่วงที่ท้องเริ่มรุนแรงขึ้น ปวดบิดทรมานอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกคล้ายยามปวดท้องหนัก
ทว่าไม่ใช่ปวดแบบธรรมดา รู้สึกเหมือนพร้อมจะถ่ายท้องออกมาได้ทุกเมื่อ
เซวียเสี่ยวหรั่นกัดฟัน ตักน้ำใส่หม้อขึ้นตั้งเตาก่อน หลังจากนั้นก็หยิบแถบผ้าแผ่นใหญ่ กุมท้องเดินไปแกะเชือกฟางที่มัดประตูออก แล้ววิ่งไปริมแม่น้ำอย่างรวดเร็ว หาสถานที่ลับตาคนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน
ลมหนาวยามเช้าโชยเข้ามาทางประตูที่เปิดอ้าอยู่ เหลียนเซวียนเติมฟืนเข้าไปในเตาหินก่อนฉวยไม้เท้าลุกขึ้นมาช้าๆ แล้วเดินออกไปข้างนอก
ลิงน้อยลอบออกไปั้แ่เซวียเสี่ยวหรั่นเปิดประตูไม่นาน ยามนี้ไม่รู้ว่าวิ่งไปถึงไหนแล้ว
เหลียนเซวียนยืนอยู่ปากถ้ำ รู้สึกได้ถึงอากาศหนาวเย็นยามรุ่งอรุณ
ไม่มีฝน และไม่มีแสงแดด ลมหนาวที่พัดมาพร้อมกับความชื้นทะลุผ่านเสื้อเบาบาง เป็ความหนาวเหน็บที่เสียดแทงกระดูก
สภาพอากาศไม่ดีเท่าไร ต่อไปจะยิ่งหนาวมากขึ้นทุกวัน
สภาพแวดล้อมที่ชื้นและหนาวเกินไปไม่เป็มิตรต่อคนอย่างยิ่ง
ไหนเลยจะแค่ไม่เป็มิตร คล้ายเป็ศัตรูคู่แค้นเสียมากกว่า
ขณะที่เซวียเสี่ยวหรั่นกลับมาถึงถ้ำ ก็หนาวจนตัวสั่นระริก ใบหน้าซีดลงหลายส่วน
นั่งข้างกองไฟอยู่นานถึงจะกลับมาอุ่นเหมือนเดิม
"อากาศเลวร้ายแบบนี้น่าจะแค่สามสี่องศาเองละมั้ง อากาศหนาวเย็นประกอบกับเสื้อผ้าเบาบาง หากไม่มีกองไฟ อยู่ไม่ได้ถึงหนึ่งวันแน่นอน"
น้ำในหม้อเดือดแล้ว เธอตักน้ำร้อนออกมาสามถ้วย หลังจากนั้นก็โยนกระดูกติดเนื้อสามชิ้นลงไปในหม้อ
"อาเหลย วิ่งไปไหนแล้วล่ะเนี่ย"
เซวียเสี่ยวหรั่นออกปากถาม
อาเหลยวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะมีแค่สามขา แต่มันก็เดินเหินได้อย่างมั่นคง
มันหย่อนก้นลงนั่งเสื่อของตัวเอง แล้วหยิบผลไม้ในมือขึ้นมากิน
"เ้าไปเด็ดผลไม้หรือ มีสามขาก็ปีนต้นไม้ได้แล้ว?"
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกประหลาดใจ ขาหักขนาดนั้น นี่เพิ่งจะแค่กี่วันเองมันก็ปีนต้นไม้ได้แล้ว พลังการฟื้นฟูของลิงจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว
"เจี๊ยกๆ" อาเหลยฟังเธอพูดไม่รู้เื่ แต่ก็ยังตอบกลับตามความเคยชิน
เซวียเสี่ยวหรั่นเข้าไปดูใกล้ๆ ั์ตาเผยแววตื่นเต้น "โอ้โห ผลทับทิมเลยหรือ คราวก่อนพวกเ้าใช้มันปาใส่ข้า นึกแล้วเชียวว่าต้องมีต้นทับทิมอยู่แถวนี้ ดูท่าคงอยู่ไม่ไกลสินะ ฮ่าๆ เอาไว้วันหลัง อ้อ ไม่สิ พรุ่งนี้เ้าพาข้าไปเด็ดผลทับทิมได้หรือไม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นชี้ไปที่ผลทับทิมในมือของมัน
อาเหลยทำตาปริบๆ ท่าทางครุ่นคิด ก่อนยื่นผลทับทิมส่งให้เธอ
เซวียเสี่ยวหรั่นตกตะลึง พลันรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ มันคงนึกว่าเธอขอกินทับทิม ก็เลยยื่นให้
อาเหลยเคยเป็ลิงหวงของกินขนาดนั้น ตอนนี้กลับใจกว้างยกผลทับทิมให้เธอ เซวียเสี่ยวหรั่นซาบซึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
"ขอบใจนะอาเหลย นี่สาวไม่กินหรอก เอาไว้พรุ่งนี้พี่สาวหายดีแล้ว พวกเราไปเด็ดทับทิมมาตุนไว้ แล้วค่อยๆ กินดีหรือไม่"
ปรกติแล้วเธอจะปวดท้องอยู่ราวสองวัน วันที่สองเป็วันที่ปวดมากที่สุด วันที่สามก็ค่อยๆ บรรเทาลงแล้ว พรุ่งนี้่บ่ายก็น่าจะออกแรงทำอะไรได้แล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นนวดเอวที่ปวดเมื่อยพลางคำนวณเวลา
เหลียนเซวียนเดินเข้ามา ได้ยินเธอปรึกษากับลิงน้อยว่าจะไปเด็ดผลไม้พอดี
น้ำเสียงฟังดูอ่อนแอกว่าปรกติ กลับยังคิดถึงเื่ไปเด็ดผลไม้
แม่นางผู้นี้ทำให้เขาทั้งฉิวทั้งขันได้จริงๆ
เขาเพิ่งจะนั่งลง เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยื่นน้ำอุ่นส่งให้ "เหลียนเซวียน น้ำต้มแล้ว รีบดื่มก่อนที่จะเย็น"
เหลียนเซวียนรับมาเงียบๆ ชั่วขณะนั้นก็เกิดความซาบซึ้งในใจ ตัวนางเองไม่สบาย แต่ยังระลึกได้ว่าต้องเหลือน้ำอุ่นไว้ให้เขา
"อาเหลย นี่น้ำอุ่นของเ้า ดื่มแล้วค่อยกินทับทิมต่อ"
พอได้ยินว่าอาเหลยก็ได้รับการปฏิบัติอย่างเดียวกัน มือของเหลียนเซวียนที่กำลังดื่มน้ำอยู่ก็ชะงักไปชั่วขณะ
แม่นางผู้นี้คงดูแลผู้อื่นจนเคยชินเสียแล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นนวดท้อง พลางคิดว่าตนเองยังไม่ถึงกับต้องนอนพักร่าง จึงหยิบกางเกงที่ถักเปิดไว้เมื่อคืนออกมาทำต่อ
ไหนบอกว่าวันนี้จะปวดมากไม่ใช่หรือ? เหลียนเซวียนนึกสงสัย
...
[1] เป็ชื่อเก่าที่ใช้เรียกประเทศจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้