ซ่งหานเจียงเหลือบตามองนาฬิกา จากนั้นก็คว้าเสื้อคลุมแล้วออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เขาออกไปแบบนี้เลยหรือ? จู่ๆ เขาก็ออกไปหน้าตาเฉยเลยเนี่ยนะ? แล้วการทดลองของเขาเล่า? เขาให้ความสำคัญกับการทดลองเหนือสิ่งอื่นใดไม่ใช่หรือ?
เหวินยางยางหน้าเหวอพร้อมกับยืนอึ้งอยู่ตรงที่เดิม ตามแผนของเธอแล้ว เขาควรจะปฏิเสธสิเพราะไม่มีเื่อะไรที่จะมารบกวนการทำงานของเขาได้ หลังจากนั้นเธอก็จะกลับไปหาซย่านี แล้วช่วยซย่านีบ่นเื่ที่สามีไม่ใส่ใจภรรยาสักสองสามประโยคแล้วตอนไปส่งซย่านีที่บ้าน เธอก็จะทำเป็ ‘ไม่ได้ตั้งใจ’ และเปิดเผยเื่ที่ซ่งหานเจียงดูแลเธอดีมากๆ ตอนที่พวกเขาอยู่ที่มหาวิทยาลัยด้วยกัน...เธออุตส่าห์วางแผนไว้ดิบดีแต่ทำไมซ่งหานเจียงถึงทำตัวผิดแผลกไปจากเดิมเล่า!
ในใจของซ่งหานเจียง ซย่านีมีความสำคัญมากขนาดนี้ั้แ่เมื่อไหร่กันนะ?
เหวินยางยางกัดริมฝีปากของตน ความรู้สึกไม่เต็มใจรุนแรงพลุ่งพล่านอยู่ในอก เธอกระทืบเท้าแล้วเดินตามซ่งหานเจียงไป
แต่เมื่อพวกเขามาถึงประตูมหาวิทยาลัย ก็ไม่เจอวี่แววของซย่านีแล้ว
เหวินยางยางตามซ่งหานเจียงมาจนถึงหน้าประตูมหาวิทยาลัยเช่นกัน ซ่งหานเจียงกำลังกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วถามเธอว่า “ซย่านีเล่า?”
เหวินยางยางเองก็หันมองไปรอบด้านเช่นกัน ปรากฏว่าจุดที่ซย่านีตั้งแผงลอยก่อนหน้านี้ไม่มีเงาร่างของเธออยู่อีกแล้ว พอลองกวาดตามองหาอีกรอบก็ไม่เจอเธอจริงๆ
ซย่านีคงไม่ได้หนีกลับไปก่อนหรอกนะ?!
เหวินยางยางสีหน้าแย่ลงทันที นี่มันเกินไปแล้วจริงๆ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าซย่านีตอบตกลงอย่างดีว่าจะรออยู่ที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย นี่คงไม่ได้ล้อกันเล่นหรอกใช่ไหม!
“ซย่านีบอกว่าเธอรออยู่ที่ไหนนะ?” ซ่งหานเจียงถามเหวินยางยางอีกครั้ง เขาร้อนใจมาก หากเป็เมื่อก่อนเขาคงไม่กังวลมากขนาดนี้และบางทีเขาอาจจะไม่ไปส่งซย่านีด้วยซ้ำแต่หลังจากเหตุการณ์ที่ซย่านีเพิ่งเจออันธพาล เมื่อไม่นานมานี้ซ่งหานเจียงก็รู้สึกเป็กังวลขึ้นมาจริงๆ
เหวินยางยางเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ เธอได้แค่หัวเราะแห้งๆ “น่า...น่าจะไปแล้วแหละ?”
“ไปแล้วเนี่ยนะ?”
“บางทีเธออาจจะกลัวว่านายจะดุเธอล่ะมั้ง?”
“ทำไมฉันต้องดุเธอด้วย?”
เหวินยางยางดวงตาเป็ประกายขึ้นมา “พี่ซย่านีมาที่ประตูมหาวิทยาลัยของพวกเราก็เพื่อตั้งแผงขายของน่ะสิ คงกลัวว่าจะทำให้นายขายหน้าผู้คนหรือเปล่านะ? เพราะอย่างไรวันข้างหน้านายก็คงได้เข้าทำงานที่สถาบันวิจัยมีหน้าที่การงานดีๆ แต่เธอที่มีตำแหน่งเป็ภรรยาของนายกลับมาตั้งแผงขายของอยู่หน้ามหาวิทยาลัย ช่างเป็เื่ที่ไม่เชิดหน้าชูตาเลยสักนิด...หานเจียง นายก็อย่าโทษเธอเลย มันไม่ใช่เื่ง่ายสำหรับพี่ซย่านีที่เธอทำเช่นนี้ก็เพื่อลดภาระของครอบครัวนายนะ”
ซ่งหานเจียงฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจตรรกะเื้ัคำพูดของเหวินยางยางเลยสักนิด “ตั้งแผงลอยขายของ...มันน่าอายหรือไง? นี่เธอกำลังพูดอะไรเนี่ย?”
เหวินยางยางพูดไม่ออกขึ้นมาทันที “…”
เมื่อพระอาทิตย์ตกดินอุณหภูมิในตอนเย็นก็จะลดลงตามไปด้วย ทำให้อากาศหนาวมาก ลมหนาวพัดปะทะใบหน้าของซย่านี ตลอดทางเธอรีบถีบคันเหยียบอย่างรวดเร็วแล้วลัดเลาะไปตามถนนที่คนพลุกพล่านที่สุด ทางอ้อมสักหน่อยก็ไม่เป็ไรหรอก เธอกลัวก็แต่จะเจอเื่ร้ายอะไรเข้าเสียมากกว่า
บางทีสิ่งที่เธอกำลังกลัวอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ ก็ได้ อีกไม่นานก็จะถึงบ้านแล้ว ขณะที่ซย่านีเพิ่งจะโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง จู่ๆ เธอก็เห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางถนน เงาคนคนนั้นยังโบกไม้โบกมือให้เธออีกด้วยราวกับกำลังจะหยุดรถของเธอไว้อย่างนั้น
ซย่านีหูอื้ออึง ใจเต้นรัว ขนทั่วร่างลุกเกรียว
เธอรีบหันมองไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว บนถนนไม่มีคนอื่นอยู่เลยสักคน!
ไม่เป็ไรๆ ซย่านีปลอบใจตนเอง ตอนนี้เธอกำลังขี่สามล้ออยู่ ตราบใดที่เธอเร่งเดินหน้าด้วยความเร็วที่มากที่สุด คนๆ นั้นก็คงขวางเธอไว้ไม่ได้หรอก หลังจากนั้นเธอก็ถีบสามล้อให้เร็วขึ้น คนๆ นั้นจะต้องไล่ตามเธอไม่ทันแน่
ซย่านีที่ขี่รถสามล้อทวนสายลมมาตลอดทางก็คล้ายกับมีเรี่ยวแรงไม่สิ้นสุด เธอถีบคันเหยียบอย่างรวดเร็วเพื่อผ่านเงาร่างตรงนั้น แต่เมื่อเข้าใกล้แล้วซย่านีก็เหลือบตามองอีกฝ่ายแว็บหนึ่งที่แท้ก็เป็เพื่อนบ้านที่อยู่บ้านถัดจากตระกูลซ่งไปอีกสามหลังนี่เอง หล่อนมีนามว่าหลิวอิ๋งชุน พอเห็นดังนั้นซย่านีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ขอแค่ไม่ใช่โจรก็พอแล้ว
แต่ซย่านีไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อเพื่อนบ้านที่อยู่ละแวกบ้านตระกูลซ่งสักเท่าไหร่ คนพวกนี้มักจะคอยจับผิดเธออยู่ตลอด บางครั้งเวลาเจอเธอพวกเขาแทบจะเดินอ้อมเธอไปด้วยซ้ำราวกับว่าหากอยู่ใกล้เธอแล้วจะติดโรคยากจนเอาได้
หลิวอิ๋งชุนคนนี้ก็เป็หนึ่งในนั้น
ซย่านีี้เีจะเสวนากับหญิงผู้นี้จึงคิดจะถีบรถสามล้ออ้อมผ่านหล่อนไป แต่หญิงสาวคนนี้ก้าวร้าวมาก หล่อนพุ่งตัวเข้ามาคว้าแขนเสื้อของซย่านีไว้จนเสื้อของเธอเกือบขาดออกเป็สองชิ้น ทำให้ซย่านีต้องหยุดรถทันที
“นี่เธอ!”
“เธอขี่เร็วอะไรขนาดนี้เนี่ย จะรีบไปเกิดใหม่หรือไงฮะ?!”
ผู้ถูกกระทำอย่างซย่านียังไม่โกรธเลยแต่หลิวอิ๋งชุนกลับหัวร้อนไปก่อนแล้ว
ซย่านีขมวดคิ้ว
หลิวอิ๋งชุนไม่ได้มองหน้าซย่านีแต่กลับเหลือบมองไปที่ท้ายรถสามล้อของเธอแทน หล่อนแสดงสีหน้าฝืนใจออกมา หลังจากนั้นก็นั่งลงบนขอบรถสามล้อ แล้วพูดว่า “เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
ซย่านีหัวเราะด้วยความโกรธ คนๆ นี้เป็ใครกันถึงมาชี้นิ้วสั่งคนอื่นได้?
“เธอจะมัวยืนนิ่งอยู่ทำไม ถีบรถออกไปสิ!” หลิวอิ๋งชุนเห็นซย่านีไม่ขยับตัว จึงเริ่มกระตุ้นเธอเล็กน้อย เธอก้มหน้ามองลงไปก็เห็นถุงกระสอบกับตะกร้าสานวางอยู่ด้านในของรถสามล้อ จากนั้นหลิวอิ๋วชุนก็ยื่นมือออกไปพลางถามว่า “เอ๊ะ นี่มันของอะไร...”
“อย่ามาจับ!” ซย่านีตะคอกเสียงดังลั่น
หลิวอิ๋งชุนใจนตัวสั่น จากนั้นก็พูดอย่างไม่พอใจ “ของอะไรเนี่ย มีลับลมคมในเสียจริงถึงขนาดไม่ยอมให้จับ”
“ถ้าเธอจะมาแตะของฉันซี้ซั้วล่ะก็ ลงไปจากรถของฉันซะ!” ซย่านีพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและไม่ตอบข้อสงสัยของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“ได้ๆๆ ไม่จับก็ไม่จับสิ” หลิวอิ๋งชุนชักมือกลับพลางเอ่ยเหน็บแหนมซย่านี จากนั้นก็เร่งเร้าเธอต่อ “ฉันบอกให้เธอรีบขี่รถไปไง ทำไมยังมัวยืนนิ่งอยู่อีก?”
ซย่านีขมวดคิ้วมุ่นจนเกือบเป็ปมเธอคิดอยู่ชั่วครู่ ในเมื่อไม่มีวิธีที่จะไล่ให้ยัยผู้หญิงหน้าหนายิ่งกว่ากำแพงเมืองจีนคนนี้ไสหัวออกไป เช่นนั้นเธอก็ต้องคิดวิธีที่จะทำให้หล่อนเป็คนที่ต้องขับพาตนเองไปเสียก็สิ้นเื่
จากมุมที่หลิวอิ๋งชุนนั่งอยู่นั้น ทำให้หล่อนมองไม่เห็นว่าซย่านีกำลังแสยะยิ้มอยู่ เธอแสร้งทำเป็ถีบคันเหยียบไม่ไป จากนั้นก็ ‘ออกแรง’ ถีบรถสามล้ออีกทีแต่รถสามล้อก็ยังไม่ขยับเขยื้อน เธอก็ลองเปลี่ยนไปใช้เท้าอีกข้างแต่รถก็ยังไม่ขยับไปไหนเหมือนเดิม
“เธอหนักเกินไป ฉันขี่พาเธอไปไม่ไหวหรอก” ซย่านีโบกมือ ทำท่าว่าตนเองก็จนปัญญาแล้ว
“แกว่าใครอ้วนกันฮะ!” สิ่งที่หลิวอิ๋งชุนเกลียดที่สุดก็คือการที่คนอื่นบอกว่าเธออ้วน แม้ซย่านีจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่ความหมายของซย่านีก็คือว่าเธออ้วนนั่นแหละ
ซย่านีกลอกตา แล้วกล่าวต่อว่า “ฉันไปบอกว่าเธออ้วนั้แ่เมื่อไหร่? ฉันหมายถึงว่าวันนี้ฉันถีบรถสามล้อคันนี้มาั้แ่มหาวิทยาลัยปักกิ่งโน้น แถมขี่ทวนลมมาอีกพอมาถึงตรงนี้ฉันก็ไม่มีแรงเหลือแล้ว ถ้าพาเธอไปด้วยอีกคน ฉันเองก็ถีบรถคันนี้ไม่ไหวจริงๆ...”
จากมหาวิทยาลัยปักกิ่งมาถึงที่นี่ไม่ได้ไกลกันขนาดนั้น ดังนั้นหลิวอิ๋งชุนจึงไม่ค่อยเชื่อนัก
ซย่านีปั่นประสาทอีกฝ่านต่อ “อีกอย่างเธอเองก็ไม่อ้วนหรอก ฉันยังอิจฉาเธอเลยนะ ดูฉันนี่สิแค่ลมพัดก็จะปลิวแล้ว”
หลิวอิ๋งชุนมองพิจารณาร่างผอมกะหร่องของซย่านี แม้แต่แก้มยังไม่มีเนื้อเลย ทำให้เบ้าตาโบ๋ลึกและโหนกแก้มยื่นออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน…ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าหากซย่านีอ้วนขึ้นหน่อยก็คงจะดี ถ้าเป็อย่างนั้นจะได้ไม่ทำให้คนอื่นใกลัวเวลาที่เห็นเธอเดินไปเดินมา เหล่าเพื่อนบ้านละแวกนี้ก็คงมีโชคดีขึ้นบ้างล่ะนะ
ซย่านีกล่าวว่า “ทำไมเธอไม่ขี่รถคันนี้ แล้วให้ฉันนั่งซ้อนแทนเล่า? ยังไงฉันก็แบกเธอไม่ไหวอยู่ดี อีกอย่างฉันก็ตัวไม่หนักด้วยไม่ถ่วงรถหรอก”
ขณะที่หลิวอิ๋งชุนกำลังจะปฏิเสธ ก็ได้ยินซย่านีพูดต่ออีกว่า “หรือไม่ เธอก็รออีกหน่อยเถอะ รอดูว่าจะยังมีใครผ่านไปผ่านมาทางนี้หรือไม่แล้วก็ให้คนๆ นั้นพาเธอไปส่งก็ได้”
หลิวอิ๋งชุนเงียบเป็เป่าสาก ฤดูใบไม้ผลิรอบนี้อากาศหนาวมาก อากาศหนาวขนาดนี้ ถ้านั่งรถกลับบ้านได้ใครมันจะอยากยืนรับลมอยู่ข้างนอกกันเล่า?
หลิวอิ๋งชุนมองไปทางซย่านี
ซย่านีพูดซ้ำอีกรอบด้วยท่าทางลำบากใจ “ฉันแบกเธอไม่ไหวจริงๆนะ”
หลิวอิ๋งชุนสูดหายใจเข้าลึกๆ “อย่างนั้นก็ได้ ฉันขี่เอง”
ซย่านีะโลงจากเบาะรถอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนขอบรถสามล้อแล้วสละสิทธิ์ในการขี่รถสามล้อให้แก่หลิวอิ๋งชุนเป็ที่เรียบร้อย
หลิวอิ๋งชุนพูดไม่ออก “…” รู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกซย่านีหลอกใช้อยู่อย่างไงอย่างงั้น
