หลังจากปรึกษากับพี่ชาย หมี่หลันเยว่ก็บอกกับพ่อแม่ว่าพรุ่งนี้เย็นจะพาน้องชายไปที่ร้าน
"พี่สาว จะพาผมไปที่ร้านจริงๆ เหรอครับ?"
หมี่หลันซิงตื่นเต้นมาก เขาอยากไปช่วยงานที่ร้านเหมือนพี่ชายกับพี่สาว แต่พ่อแม่ไม่เคยอนุญาต
"ใช่แล้ว หลันซิงอายุเก้าขวบแล้ว เป็ผู้ใหญ่แล้วนะ ต่อไปนี้ก็ต้องไปช่วยงานที่ร้านแล้ว อยากไปไหม? มันลำบากมากเลยนะ ทั้งต้องไม่ทิ้งการเรียน ทั้งต้องไม่ทิ้งงาน คนที่จะมาช่วยงานที่ร้านเราได้ ต้องสอบได้ที่หนึ่งของห้องเท่านั้นนะ"
ชาติที่แล้วของหมี่หลันซิงแพ้เพราะเรียนมาน้อยเกินไป พ่อแม่ยุ่งมาก ไม่มีใครดูแลเขา ชาตินี้หมี่หลันเยว่คอยจับตาดูเื่เรียนของเขามาตลอด ดังนั้นถึงแม้หมี่หลันซิงจะเพิ่งเข้าเรียนชั้น ป.1 เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว แต่เขาก็เรียนรู้เนื้อหาของชั้น ป.3 ไปแล้ว เพราะก่อนที่เขาจะเข้าเรียน หมี่หลันเยว่ก็เริ่มสอนการบ้านให้เขาแล้ว
"แน่นอนครับ ผมจะต้องสอบได้ที่หนึ่งอยู่แล้ว พี่สาวสอนผมมาเยอะขนาดนี้ ถ้าผมสอบไม่ได้ที่หนึ่ง จะทำให้พี่สาวเสียหน้า เพราะงั้นไม่ได้เด็ดขาดครับ"
หมี่หลันซิงพูดอย่างภาคภูมิใจเล็กน้อย สำหรับการที่ครูชมตัวเองในเวลาเรียน หมี่หลันซิงก็ รู้สึกปลื้มใจอยู่ไม่น้อย
"อย่าเพิ่งพูดจาเกินจริงไปนัก พี่จะดูผลสอบนะ"
หมี่หลันเยว่ไม่พูดเอาใจ เพราะเ้าหนูนี่ก็ขี้อวดเกินไปแล้ว หวังหย่วนฉิงเห็นลูกสาวใช้วิธีการกระตุ้นง่ายๆ แบบนี้ได้ผลดีขนาดนี้ก็ยอมใจ ลูกๆ สามคนในบ้าน เธอทุ่มเทน้อยเกินไป
"ก็ได้ พี่สาวจะรอดูหลันซิงคนเก่งของเรา หลันซิง ถ้านายรักษาที่หนึ่งของทุกปีไว้ได้ พี่ก็มีรางวัลให้ด้วยนะ"
เขารู้ว่ารางวัลของพี่สาวเป็ของจริงและใจป้ำ หลันซิงก็พยักหน้าอย่างดีใจ พร้อมรับประกัน ว่าจะทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ
"ดีมาก มีความมุ่งมั่นดี แต่พี่จะให้นายทำอะไรอีกอย่าง พรุ่งนี้ที่ร้านพี่จะรับคนงานเพิ่ม นายไปกับพี่นะ ช่วยพี่ดูว่าพวกเขาเป็คนยังไง เหมาะจะทำงานอะไร ถึงพี่จะไม่ให้นายเป็คนตัดสินใจตอนสุดท้าย แต่คำแนะนำของนายสำคัญมากนะ พี่จะลองฟังคำแนะนำของนาย"
พอได้ยินว่าตัวเองจะสำคัญขนาดนี้ หลันซิงน้อยก็รีบพยักหน้า รับปากว่าจะช่วยพี่สาว ดูแลให้ดีที่สุด หวังหย่วนฉิงและหมี่จิ้งเฉิงกลับไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
"หลันเยว่ พรุ่งนี้ลูกจะให้หลันซิงไปที่ร้านไปช่วยลูกเลือกคน?"
มันจะน่าเชื่อถือเกินไปแล้ว หลันซิงเพิ่งจะอายุเก้าขวบ จะให้เขาออกความคิดเห็นให้ร้าน หรือความคิดเห็นสำคัญๆ เื่การรับคนงาน มันจะดีจริงๆ เหรอ?
"ไม่เป็ไรหรอกค่ะ พ่อแม่ หนูแค่ให้น้องชายตามไปดู คำแนะนำของน้องชายไม่ใช่ตัวตัดสินหรอกค่ะ"
หมี่หลันเยว่ลูบหัวเล็กๆ ของหมี่หลันซิง
"แต่หนูเชื่อสายตาน้องชาย คำแนะนำของเขาก็สำคัญเหมือนกัน ถ้าน้องชายให้คำแนะนำที่สมเหตุสมผล หนูจะเอาไปใช้ค่ะ"
เธออยากให้น้องชายมีความมั่นใจมากพอ ั้แ่ตอนนี้เป็ต้นไป ให้มีเป้าหมายที่สูงส่งสำหรับตัวเอง แบบนี้เขาจะพยายามมากขึ้น ในตอนที่เขาทำไม่ได้ ก็จะพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย นั่นคือจุดประสงค์ของหมี่หลันเยว่ คนเราต้องทุ่มเทความพยายาม ต้องฝึกฝนเพิ่มเติม ถึงจะประสบความสำเร็จในอนาคตได้
"พ่อแม่ ต้องเชื่อใจผมนะครับ ผมจะพยายามให้คำแนะนำที่ดีกับพี่สาว ถึงแม้ว่าคำแนะนำ ของผมตอนนี้จะยังไม่โต หรืออาจจะไร้เดียงสา แต่ตอนนี้ผมยังเด็ก ผมจะพยายามทำให้ตัวเองโตขึ้นเร็วๆ จะได้ช่วยพี่สาวได้ครับ"
ทัศนคติแบบนี้ดีมาก ไม่คิดว่าน้องชายจะเข้าใจเร็วขนาดนี้
"พ่อแม่ ดูสิคะ หลันซิงเขามั่นใจขนาดนี้ พวกเราก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเขาด้วยสิคะ แล้วหลันซิง เขาก็จะไม่ทิ้งการเรียนด้วย อย่างนั้นก็ใช้ได้แล้ว มีหนูคอยดูแลอยู่ พ่อแม่ก็ไม่ต้องเป็ห่วงแล้วค่ะ"
หมี่หลันเยว่ยื่นมือเข้ามาแบกรับภาระในการสอนน้องชาย หมี่จิ้งเฉิงและหวังหย่วนฉิงก็ ไม่มีอะไรจะพูด พวกเขาจะพูดอะไรได้ ในเื่การศึกษาของลูกๆ ทั้งสามคน พวกเขาไม่ได้ทุ่มเท มากเท่ากับที่ทุ่มเทให้กับนักเรียนเ่าั้ พวกเขารู้สึกผิดกับลูกๆ จริงๆ
แต่ด้วยลักษณะของงานที่เป็แบบนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถดูแลบ้านได้จริงๆ แม้แต่ร้านหนังสือ ถึงแม้รายได้จะเข้าบ้าน แต่พูดกันตามจริง นอกจากหมี่จิ้งเฉิงจะช่วยขนส่งสินค้าได้บ้าง ร้านก็ได้รับการดูแลจากหมี่หลันหยางและหมี่หลันเยว่มาโดยตลอด สองสามีภรรยาแค่ช่วยดูแลบ้างเล็กน้อยใน่วันหยุด
"ก็ได้ ในเมื่อลูกพูดแบบนี้ พ่อกับแม่ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว แค่...ลำบากลูกแล้วนะ"
ทั้งต้องดูแลร้าน ทั้งต้องดูแลน้องชาย แถมยังต้องไม่ทิ้งการเรียน ลูกสาวคนนี้ของบ้าน ก็เก่งกาจเกินไปแล้วจริงๆ ในใจของหวังหย่วนฉิงทั้งสงสารและภูมิใจ
"แม่ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หลันซิงเป็น้องชายหนู ดูแลเขามันเป็สิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว จะมาพูดถึงเื่ความลำบากทำไม แล้วหลันซิงก็เป็เด็กดีขนาดนี้ ไม่ต้องให้หนูต้องเป็ห่วงอะไรเลยค่ะ"
พอได้ยินพี่สาวชมตัวเอง หลันซิงก็รีบพยักหน้า แสดงว่าตัวเองจะไม่สร้างความเดือดร้อน ให้พี่สาว
ตอนเย็นตอนเลิกเรียน หมี่หลันเยว่กับพี่ชายไปรับน้องชายที่โรงเรียนประถมข้างๆ ก่อน แล้วทั้งสามคนก็ไปที่ร้านสาขาในห้างสรรพสินค้าเสื้อผ้า ใช่แล้ว ลืมบอกไปว่า ตอนนี้ห้างสรรพสินค้าเสื้อผ้า แห่งนี้ตั้งชื่อที่ดูยิ่งใหญ่ว่า ‘ห้างสรรพสินค้าเสื้อผ้าเฉียนคุน’ มีความหมายว่า ภายในมีจักรวาล หรือ ภายในมีอะไรซ่อนอยู่อีกมาก
สำหรับชื่อนี้ หมี่หลันเยว่ไม่กล้าชมจริงๆ ไม่รู้ว่าใครเป็คนเปิดสมองขนาดนี้ จักรวาล ใหญ่โตขนาดไหนถึงจะเชื่อมโยงกับเสื้อผ้าได้ หรือว่าดูออกว่าเ้าของคนไหนในนั้นมีลักษณะของจักรพรรดิกันแน่? ทุกครั้งที่หมี่หลันเยว่คิดแบบนี้ เธอก็จะแอบหัวเราะออกมา
"พี่ ร้านของเราใหญ่จังเลยฮะ"
ทุกครั้งที่มาห้างสรรพสินค้า หมี่หลันซิงจะรู้สึกตื้นตันใจมาก เพราะตอนนี้ทั้งเมืองซวงเฉิง ร้านเสื้อผ้าของพี่สาวใหญ่ที่สุดแล้ว แม้แต่ห้างสรรพสินค้าของรัฐบาลที่อยู่ข้างๆ ที่เปิดทำการสามชั้น แต่ถ้าพูดถึงส่วนของเสื้อผ้าอย่างเดียว ก็เทียบกับห้างสรรพสินค้าของพี่สาวไม่ได้
"ใหญ่งั้นเหรอ? ต่อไปจะยิ่งใหญ่กว่านี้อีก เพราะฉะนั้นหลันซิงต้องพยายามนะ"
หมี่หลันเยว่ลูบหัวน้องชาย ผมของหมี่หลันซิงค่อนข้างแข็ง อาจจะเป็เพราะตัดสั้นเกินไป มันทิ่มแทงจนรู้สึกเจ็บมือ
"พี่หลิว มาแล้วเหรอคะ ให้รอนานเลย"
พอเข้าไปในร้านก็พบว่าหลิวชิงเวยมาถึงแล้ว หลิวลี่กำลังต้อนรับอยู่ หมี่หลันเยว่ก็รีบเดินเข้าไปต้อนรับ แล้วก็มองเด็กๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลังหลิวชิงเวยไปด้วย
เรียกว่าเด็กก็จริง แต่จริงๆ แล้วเป็หนุ่มๆ กันหมดแล้ว แค่ในสายตาของหมี่หลันเยว่ พวกนักเรียนที่จบม.ปลายอายุสิบหกสิบเจ็ดปีพวกนี้ ก็ยังถือว่าเป็เด็กอยู่ดี เพราะในใจของหมี่หลันเยว่ เธอรู้ว่าตัวเองอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว จะแกล้งทำเป็เด็กได้ยังไง อายุทางจิตใจก็หลอกตัวเองไม่ได้
"ไม่เป็ไรๆ รู้ว่าเธอเรียน พวกเรากะเวลามาพอดี เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง ไม่เชื่อถามเสี่ยวหลิวดู พวกเราเพิ่งคุยกันได้ไม่กี่คำเอง"
หลิวชิงเวยรีบอธิบาย กลัวว่าหมี่หลันเยว่จะรู้สึกเกรงใจที่มาช้า
"ใช่แล้ว เขาเพิ่งมาได้ไม่นาน พวกเธอคุยธุระกัน ไปที่ร้านที่เชื่อมกันข้างในก็ได้นะ"
คุยกันได้ไม่กี่คำจริงๆ ไม่อย่างนั้นหลิวลี่คงพาคนเข้าไปข้างในแล้ว การคุยกันที่หน้าร้านข้างนอก จะมีผลกระทบต่อการค้าจริงๆ พอดีกับที่หมี่หลันเยว่มาถึง หลิวลี่ก็เริ่มไล่คน
"ได้ค่ะ งั้นพวกเราเข้าไปคุยข้างในกัน"
ตอนที่หมี่หลันเยว่นำทุกคนเดินเข้าไปข้างใน ก็แนะนำร้านของตัวเองให้ทุกคนฟัง บอกว่า ร้านของเธอขายสินค้าอะไรบ้าง เสื้อผ้าที่ทำนั้นเหมาะกับคนอายุเท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ รูปแบบเป็อย่างไร
ในระหว่างที่เธอแนะนำอยู่นั้น เธอก็สังเกตปฏิกิริยาของหนุ่มๆ เ่าั้ไปด้วย เห็นได้ชัด ว่าพวกเขารู้สึกตื่นเต้นและหวาดหวั่น นี่อาจจะเป็ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของเด็กๆ ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ สังคม จะรู้สึกไม่แน่นอนกับอนาคต แต่ก็มีความคาดหวังที่ไม่ยอมปล่อยทิ้ง
"หลันเยว่ ไม่คิดว่าร้านของเธอจะใหญ่ขนาดนี้ นึกว่ามีแค่ร้านข้างนอกนั่น เป็ร้านของเธอซะอีก"
คำพูดของหลิวชิงเวยทำให้หมี่หลันเยว่ตระหนักขึ้นมา หลิวชิงเวยคงไม่ค่อยได้เดินห้างสรรพสินค้า เลยไม่ได้สังเกตว่าร้านพวกนี้เป็ร้านที่เชื่อมกัน แต่คนอย่างเขาจะมีเยอะไหมนะ? ดูเหมือนว่าป้ายร้านของตัวเองยังไม่ชัดเจนพอ ต้องแก้ไขอีกหน่อย หมี่หลันเยว่จดเื่นี้ไว้ในใจ
"มาค่ะ มานั่งลงคุยกันก่อน"
หมี่หลันเยว่ให้พนักงานในร้านไปหาเก้าอี้มา หนุ่มๆ เ่าั้ถูกหมี่หลันเยว่เรียกว่า หนุ่มๆ ก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา เพราะยังไงก็เป็เด็กผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าตัวเอง
"มา พวกเธอนั่งลงก่อน หลันเยว่ เธอยังกล้าเรียกว่าหนุ่มๆ ตัวเองอายุเท่าไหร่กันเชียว?"
หลิวชิงเวยให้หนุ่มๆ นั่งลงก่อน แล้วค่อยพูดประโยคนี้กับหมี่หลันเยว่ หมี่หลันเยว่ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองลืมไปว่าตอนนี้ตัวเองเป็เด็กสาวแล้ว
"โอ้ ขอโทษนะคะ พี่ๆ ฉันเสียมารยาทไปหน่อย"
พอหมี่หลันเยว่ขอโทษแบบนี้ ทุกคนก็รีบลุกขึ้นอย่างลนลาน หมี่หลันเยว่ก็รีบปลอบใจ ให้ทุกคนนั่งลงก่อน แล้วค่อยเริ่มคุยกัน
เริ่มจากการถามถึงสภาพครอบครัวของแต่ละคน ทำไมถึงอยากออกมาทำงาน มีแผนการอะไร สำหรับอนาคตของตัวเอง อาจจะเป็เพราะหมี่หลันเยว่อายุน้อย ความเก้อเขินในตอนแรกค่อยๆ หายไป คุยกันได้สักพัก หมี่หลันเยว่ก็พบว่าหนุ่มๆ แต่ละคนมีนิสัยร่าเริง แต่ก็ไม่ใช่คนพูดมาก ตอบคำถามก็สุภาพ ผ่านการสัมภาษณ์เบื้องต้นไปได้
"พี่หลิว พวกเขาใช้ได้เลยค่ะ พรุ่งนี้พี่ช่วยพาคนไปที่ร้านใหญ่ของหนูอีกที หนูจะพาพวกเขาไปดูที่โรงงานของหนู แล้วค่อยแบ่งงานกัน ถ้าพวกเขาคิดว่าทำได้ พวกเราค่อยมาคุยเื่รายละเอียดกัน พี่ว่ายังไงคะ?"
จะมีอะไรไม่ได้ล่ะ ตัวเองพาคนมาสมัครงาน ขอแค่มีความหวังก็ต้องพยายามอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ดูเหมือนว่ามีความหวังมาก แถมหมี่หลันเยว่ก็ไม่ได้บอกว่าเธอจะเอาแค่คนเดียว สองคน ถ้าสามารถเก็บทั้งสี่คนไว้ได้ก็ดีมากๆ หลิวชิงเวยตอบตกลงโดยไม่ลังเล
ั้แ่ต้นจนจบ หมี่หลันหยางและหมี่หลันซิงไม่ได้พูดอะไรเลย หลังจากที่พี่น้องสามคน กลับถึงบ้าน ทั้งสองคนก็เริ่มแสดงความคิดเห็น หมี่หลันหยางไม่คิดเลยว่าน้องชายจะพูดอะไรออกมาได้เป็เื่เป็ราว ทำให้หมี่หลันหยางมีความคิดเห็นใหม่ๆ เกี่ยวกับอนาคตของน้องชายและสายตาของน้องสาว
