“เสี่ยวหลานรับผลสอบกลับมาแล้วหรือ? สอบได้คะแนนเท่าไรกัน?”
เสื้อผ้าฤดูร้อนเป็ที่นิยมอย่างมาก หลี่เฟิ่งเหมยจึงยุ่งอยู่กับงาน กว่าที่เธอจะปิดร้านเวลาก็ล่วงเลยถึงสามทุ่ม และมาที่บ้านย่าอวี๋เพื่อรับหลิวจื่อเทาพอดี
หลิวจื่อเทาอยู่กับย่าอวี๋ไม่กี่วัน ไม่มีใครรู้ว่าหนึ่งผู้เฒ่าและหนึ่งเด็กน้อยคู่นี้มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร แต่ทุกวันนี้พอหลิวจื่อเทาเลิกเรียนก็ชอบมาที่บ้านย่าอวี๋ ย่าอวี๋แม้ปากบ่นว่ารำคาญ กลับไม่ได้จับหลิวจื่อเทาโยนออกไปจริงๆ ประจวบเหมาะกับสองสามวันนี้ธุรกิจยุ่งมาก หลี่เฟิ่งเหมยจึงขอไม่เกรงใจไหว้วานย่าอวี๋ดูแลอีกสักสองสามวัน
วันนี้หลี่เฟิ่งเหมยก็คิดถึงผลคะแนนสอบคัดเลือกรอบแรกตลอดเวลาเช่นกัน เข้าบ้านแล้วไม่แลลูกชาย สิ่งที่ถามเป็อันดับแรกคือคะแนนสอบของเซี่ยเสี่ยวหลาน
หลิวเฟินได้ใบรับแจ้งผลคะแนนมาหลายชั่วโมงแล้ว เมื่อถูกพี่สะใภ้เรียกถึงหลุดออกจากภวังค์
“พี่สะใภ้ พี่หยิกฉันที”
หลี่เฟิ่งเหมยไม่เกรงใจ หยิกแขนของหลิวเฟินเข้าจริงๆ “เธอรีบบอกมาสิ เสี่ยวหลานสอบได้ดีหรือเปล่า?”
เจ็บมาก ถ้ารู้สึกถึงความเ็ป แปลว่าไม่ได้กำลังฝัน!
หลิวเฟินยื่นใบแจ้งผลสอบให้หลี่เฟิ่งเหมย “...เห็นว่าสอบได้เป็ที่หนึ่งของทั้งเมือง”
หลิวเฟินไม่เข้าใจว่า 565 คะแนนสื่อถึงอะไร ทว่าจะไม่เข้าใจคำว่าอันดับหนึ่งประจำเมืองเชียวหรือ? ถ้ากระทั่งอันดับหนึ่งของเมืองยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าเมืองเฟิ่งเสียนในปีนี้ต้องแขวนเลขศูนย์สำหรับเกาเข่าหรอกหรือ!
อันดับหนึ่งประจำเมือง?
ใบแจ้งผลสอบบางๆ แผ่นหนึ่ง หลี่เฟิ่งเหมยกลับรู้สึกว่าสำคัญกว่าเงินเก็บทั้งหมดของครอบครัวเธอเสียอีก
ที่หนึ่งหรือ นี่คือคะแนนที่หลานสาวเธอสอบได้?
เด็กคนนี้นี่นะ ทำไมถึงได้ทำให้คนอื่นเขาตกตะลึงอยู่เรื่อย
น่ายินดีเหลือเกิน แม้แต่เธอที่เป็ป้าสะใภ้ยังไม่รู้ว่าจะแสดงปฏิกิริยาอะไรดีเลย ไม่แปลกใจที่หลิวเฟินผู้เป็มารดาจะนิ่งอึ้ง
หลี่เฟิ่งเหมยดูผลสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็ตบต้นขาอย่างแรง ‘ป้าส่งโทรเลขให้พ่อเทาเทาเขาดีกว่า ข่าวนี้ต้องบอกพ่อเทาเทาให้รู้ให้ได้’
หลิวหย่งยังตกแต่งบ้านอยู่ที่ปักกิ่ง
ถ้าไม่ได้คำสั่งงานของเส้ากวงหรงเพิ่ม เขาคงกลับซางตูแล้วเหมือนกัน เดินทางไปปักกิ่ง่กลางเดือนมีนาคม นี่เลยเวลามาถึงสองเดือน หลี่เฟิ่งเหมยคิดถึงสามีของตนเสมอ ทว่าไม่ได้รบกวนหลิวหย่งบ่อยครั้ง เธอกลัวจะทำให้เขาเป็ห่วงครอบครัวจนไม่มีกระจิตกระใจทำงาน แต่เื่นี้มันแตกต่างกัน บอกหลิวหย่งไปเขามีแต่จะดีอกดีใจเท่านั้น!
เซี่ยเสี่ยวหลานห้ามคนที่กำลังปลาบปลื้มทั้งสองไม่ได้ จะส่งโทรเลขก็เอาเถอะ แม้การสอบคัดเลือกรอบแรกไม่อาจเทียบเท่ากับการสอบเกาเข่า แต่การสอบคัดเลือกรอบแรกก็ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานพอประเมินความแข็งแกร่งของเธอเองได้
สอบติดอันดับหนึ่งหรือเปล่าไม่สำคัญนัก ทว่าหากการครองที่หนึ่งสามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุข เซี่ยเสี่ยวหลานยอมที่จะต่อสู้สุดแรงเกิด!
----------------------------------------
หึ่งหึ่งหึ่ง
เสียงของสว่านไฟฟ้าดังไม่เคยหยุดพัก ผงเหล็กลอยฟุ้งทั่วบริเวณ พออากาศเริ่มร้อนขึ้น การสวมหน้ากากทำงานช่างไม่สบายเอาเสียเลย
หลิวหย่งเชื่อฟังคำพูดของหลานสาว ส่วนคนงานในความดูแลของเขารวมถึงกงหยางก็จำเป็ต้องเชื่อฟังเขาอีกหนึ่งต่อ เพื่อรักษาสุขภาพกาย อึดอัดขนาดไหนก็ต้องสวมหน้ากากทำงาน บ้านของคังเหว่ยกับเส้ากวงหรงเริ่มงานพร้อมกัน รีบเร่งดำเนินการทั้งวันทั้งคืน เป็เหตุให้ภายในเวลาเพียงสองเดือนก็ตกแต่งเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว
กงหยางหลงใหลงานพิเศษนี้เข้าอย่างจัง
เขาขอลาหยุดกับทางมหาวิทยาลัยมาปักกิ่งเพื่อ ‘ร่างภาพ’ สิ่งที่ทำให้ความรู้สึกประสบความสำเร็จใน่สองเดือนถัดมาของกงหยางเอ่อล้นกลับไม่ใช่กองผลงานร่างภาพของเขา
แต่เป็บ้านทั้งสองหลัง จากสภาพเก่าคร่ำครึ ค่อยๆ เปลี่ยนรูปลักษณ์ระหว่างการตกแต่งไปทีละเล็กทีละน้อย ปัจจุบันเข้าใกล้บทส่งท้ายเป็ที่เรียบร้อย
ที่แท้การตกแต่งภายในมีกลเม็ดเคล็ดลับมากมายถึงเพียงนี้
แค่ทาสีผนัง ปูกระเบื้องพื้น หรือทำตู้เสื้อผ้าสักสองหลังจะถือว่าเป็การตกแต่งภายในอะไรกัน
การตกแต่งภายในคือการนำสุนทรียศาสตร์มาประยุกต์ใช้จริง มันควรมุ่งเน้นที่รสนิยมส่วนบุคคล ควรเป็สิ่งที่เจริญตาและประโลมใจ
ไม่ใช่ผลงานวิจิตรศิลป์เท่านั้นที่สามารถส่งอิทธิพลต่อผู้คน ข้างในหัวของกงหยางมีเค้าโครงร่างรางๆ เพียงแต่ยังไม่ชัดเจนมากพอ
ระหว่างเวลาพักผ่อนจากการทำงาน กงหยางดึงหน้ากากลง “ลุงหย่งครับ มหาวิทยาลัยกำลังเร่งให้ผมกลับไป ในสองวันนี้ผมจะซื้อตั๋วกลับแล้ว”
กงหยางเสียดายมาก หลิวหย่งเองก็เสียดายอีกฝ่ายไม่แพ้กัน ไม่มีความเย่อหยิ่งของนักศึกษาสักเท่าไร ทั้งยังเป็เด็กจากครอบครัวยากจนเช่นเดียวกัน ทรหดอดทนต่องานหนักดี มือที่ใช้จับพู่กันสามารถขนย้ายอิฐได้ ถือสว่านไฟฟ้าได้ แรกเริ่มหลิวหย่งยึดค่าแรงงานย่อยให้เขา ต่อมาก็เพิ่มเป็ค่าแรงงานใหญ่ แม้ใช้งานคล่องมือแค่ไหน คนเขามาเพื่อทำงานพิเศษอยู่ดี ไม่ใช่ช่างก่อสร้างในความดูแลของเขาด้วยซ้ำ
นักศึกษามหาวิทยาลัยมิอาจอยู่ข้างนอกตลอดเวลา กงหยางพำนักในปักกิ่งเกินสองเดือนแล้ว มีแต่นักศึกษาศิลปกรรมนี่แหละที่เป็อิสระและทำตามใจปรารถนาแบบนี้ได้
หลิวหย่งตบบ่าของเขา “ได้ งานตรงนี้ถึง่ปิดท้ายแล้ว เธอคอยคุมงานมาโดยตลอด ผลงานที่ตกแต่งออกมากับภาพจำลองก็ไม่ได้ผิดแปลนด้วย ฉันแค่จัดเครื่องใช้กับของตกแต่งตามภาพจำลองต่อไป ตัวบ้านก็ถือว่าเสร็จสิ้นเรียบร้อย เดี๋ยวฉันจะคิดเงินเดือนให้เธอ...”
“คุณหลิวหย่ง? คนไหนคือคุณหลิวหย่ง มีโทรเลขของคุณครับ!”
เสียงคนส่งโทรเลขะโอยู่ด้านล่างของอาคาร
หลิวหย่งโผล่ศีรษะออกไป “โอ้ ผมเองครับผมเอง!”
ทั่วทั้งใบหน้าของเขาคือฝุ่น ทว่าคนส่งโทรเลขไม่ได้รังเกียจแม้แต่น้อย โทรเลขคือกระดาษบันทึกข้อความแผ่นน้อย บนนั้นเขียนไว้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานสอบคัดเลือกรอบแรกได้ 565 คะแนน อันดับหนึ่งของเมืองเฟิ่งเสียน
“ลูกสาวคุณหรือ?”
“ไม่ไม่ไม่ หลานสาวน่ะครับ...”
คนส่งโทรเลขรู้สึกอิจฉาทีเดียว หลานสาวแล้วอย่างไร อย่างไรเสียก็เป็ลูกหลานในครอบครัว ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินชื่อเมืองเฟิ่งเสียนเลย ทว่าสำหรับผลสอบ 565 คะแนน แม้แต่คนส่งโทรเลขก็เข้าใจได้
หลิวหย่งสติลอยล่องไปแล้วจริงๆ จุดบุหรี่อยู่หลายครั้งด้วยมือที่สั่นเทา
ขณะถือโทรเลขเดินขึ้นบันได กงหยางวิ่งเข้ามาหา “ลุงหย่ง โทรเลขจากซางตูหรือ?”
หลิวหย่งหัวเราะร่วนซื่อๆ “เสี่ยวหลานสอบได้ 565 คะแนน กงหยาง เธอว่าเขาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอะไรได้บ้าง?”
565 คะแนน!
กงหยางดูโทรเลขนั่น เขียนไว้ว่าอันดับหนึ่งสายวิทย์ประจำเมืองเฟิ่งเสียนในการสอบคัดเลือกรอบแรก ดวงตาของเขาลุกวาวทั้งสองข้าง
แม้เขาเป็นักศึกษาของมหาวิทยาลัยซางตู แต่เกณฑ์รับเข้าเรียนขั้นต่ำของผู้เข้าสอบสายศิลปะมีความแตกต่างกัน ถ้าสายวิทย์สอบได้ 565 คะแนน มีโอกาสเลือกมหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งเลยล่ะ! หลิวหย่งเคยบอกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานผลการเรียนดี แต่กงหยางไม่ทราบว่าดีแบบไหน
ลองคิดดูแล้วคนที่ทำธุรกิจและเรียนหนังสือพร้อมกัน แรงกายแรงใจน่าจะกระเจิดกระเจิงมากกว่า
เขาไม่คาดคิดว่าผลการเรียนจะดีได้ถึงขนาดนี้!
ในสมองของกงหยางผุดภาพที่เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังอ่านหนังสือบนรถไฟขึ้นมา ใช่ เธอหมั่นเพียรและตั้งใจมาก แต่ทุกวันนี้มีคนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยคนไหนที่ไม่หมั่นเพียรและตั้งใจบ้างเล่า? เอาเป็ว่าในหมู่ผู้คนรอบกายของกงหยาง ไม่มีใครที่เกียจคร้านเอื่อยเฉื่อยแล้วสอบติดมหาวิทยาลัย
หลิวหย่งยังคงจ้องเขาอยู่ กงหยางกลับเหม่อลอยเสียแล้ว
คังเหว่ยกับเส้ากวงหรงมาชมบ้านด้วยกันพอดี ่นี้บ้านของทั้งสองกำลังอยู่ในกระบวนการตกแต่ง เดิมทีก็เป็มิตรสหายกันอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งสนิทสนมกลมเกลียวมากกว่าเดิมเพราะมีหัวข้อสนทนาเดียวกัน
“ลุงหลิว กำลังพักผ่อนหรือครับ? ผมบอกแล้วว่าลุงไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอก... พวกลุงกำลังดูอะไรน่ะ?”
ความเป็ส่วนตัวคืออะไร คนส่วนใหญ่ในตอนนี้ยังไม่มีความตระหนักรู้ในสิ่งนั้น คังเหว่ยยืดคอมอง จากนั้นก็ร้องเสียงหลงดังลั่น
เส้ากวงหรงถึงกับตกอกใ
“เกิดเื่อะไรขึ้น?”
มีพวกหน้ามืดตามัวข่มเหงว่าที่พี่สะใภ้อีกแล้วหรือ?
เส้ากวงหรงถูมือบีบหมัดด้วยความพร้อมจะปะทะ คังเหว่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พี่สะใภ้สุดยอดเกินไปแล้ว...”
คังเหว่ยไม่โปรดการเรียนหนังสือ แต่เขารู้ว่าการเรียนให้ดีนั้นไม่ใช่เื่ง่าย เขาพอจะทราบผลการเรียนของเซี่ยเสี่ยวหลานมาตั้งนานแล้ว ตอนบังเอิญพบเซี่ยเสี่ยวหลานที่รับผลการเรียนปลายภาคในซางตูครั้งก่อน เธอสอบได้ 514 คะแนน เหมือนจะเป็อันดับสองของชั้นปี
แต่ 514 คะแนน กับ 565 คะแนน ต่างกันเกิน 50 คะแนนแล้ว!
อันดับสองของชั้นปีกับอันดับหนึ่งประจำเมือง ห่างกันไกลมากเช่นกัน
พี่สะใภ้บอกว่าจะมาเรียนในปักกิ่ง ถ้าทำคะแนนเกาเข่าสูงถึงขนาดนี้ สามารถเลือกมหาวิทยาลัยในปักกิ่งได้ตามใจชอบแน่นอน ลูกพี่ลูกน้องของพี่สะใภ้ที่ชื่อเซี่ยจื่ออวี้คนนั้น สอบติดเพียงวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งก็อาจหาญมาแย่งคนรักของพี่สะใภ้ไป คุณชายหวังไม่ใช่แค่ครอบครัวตกระกำลำบาก สายตาของเขายังกระจอกงอกง่อยอีกด้วย พอโดนไก่บ้านหลอกล่อหน่อยก็เตลิดแล้ว ทอดทิ้งหงส์ฟ้าไปเสียได้—เซี่ยเสี่ยวหลานคือบุคคลผู้เป็เลิศ ทำสิ่งใดล้วนเป็เลิศ เก่งกาจในการทำธุรกิจ ยอดเยี่ยมในด้านการเรียนไม่แพ้กัน
คังเหว่ยรู้สึกเป็เกียรติมากด้วยประการนี้ เส้ากวงหรงฟังเขาพูดจบก็หัวเราะเ้าเล่ห์ “คราวนี้ฉันจะคอยดูว่าต่งลี่ลี่ยังจองหองได้อีกหรือเปล่า”